วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 21:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2011, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการทำบุญหลายๆวิธีเช่นสวดมนต์ไหว้พระให้ทานรักษาศีลปฏิบัติธรรมๆลๆ แล้วมาอธิฐานพร้อมเปล่งวาจาว่าขอให้รวยๆๆๆๆโคตรรวยรวยโคตรๆ...หรือขอให้สวยๆๆๆขอให้หล่อๆๆๆ..เช่นนี้นี้จิตจะเจือด้วยเจตสิกที่เป็นอกุศลดวงโลภะเป็นต้นหรืออกุศลจิตอื่นๆอีกหรือไม่และจะส่งผลเสวยวิบากอย่างไร
อยากให้คุณเช่นนั้นมาตอบอย่างละเอียดจริงๆ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2012, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ในการทำบุญหลายๆวิธีเช่นสวดมนต์ไหว้พระให้ทานรักษาศีลปฏิบัติธรรมๆลๆ แล้วมาอธิฐานพร้อมเปล่งวาจาว่าขอให้รวยๆๆๆๆโคตรรวยรวยโคตรๆ...หรือขอให้สวยๆๆๆขอให้หล่อๆๆๆ..เช่นนี้นี้จิตจะเจือด้วยเจตสิกที่เป็นอกุศลดวงโลภะเป็นต้นหรืออกุศลจิตอื่นๆอีกหรือไม่และจะส่งผลเสวยวิบากอย่างไร
อยากให้คุณเช่นนั้นมาตอบอย่างละเอียดจริงๆ smiley

ตามที่ จขกท. ตั้งไว้นั้น จิตที่เกิดครั้งแรกนั้นเป็นจิตโลภะหรือตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดทำกุศลขึ้น
จิตที่เป็นอกุศลจิตดับไปจึงเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น ซึ่งเป็นคนละวิถีกัน อกุศลจิต กับ กุศลจิต
จึงไม่ปะปนกัน ฉะนั้นกุศลจิตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา
เพราะมีตัณหาเป็นตัวนำเป็นประธานในการทำกุศล ฉะนั้นจึงจัดได้ว่าเป็นกุศลชั้นต่ำไม่มีปัญญาประกอบ
การส่งผลของกุศลชนิดก็ทำให้ รวยให้ สวยได้ แต่ไม่ฉลาด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2012, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตที่เป็นดวงโลภจะโตขึ้นและติดเป็นอนุสัยข้ามภพข้ามชาติไปด้วยหรือเปล่า smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2012, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
จิตที่เป็นดวงโลภจะโตขึ้นและติดเป็นอนุสัยข้ามภพข้ามชาติไปด้วยหรือเปล่า smiley

แน่นอนครับ โลภะก็เป็น"อนุสัยกิเลส"ที่ตามนอนเนื่องจนกว่าจะถึงอรหันตมรรค
ไม่ว่าจะเกิดชาติใดภพใด อนุสัยจะตามนอนเนื่องตลอดเวลาแม้ทั้งเวลาหลับและตื่น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2012, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นไปได้ไหม ว่า เมื่อผลบุญก็ให้ผล ทำให้เกิด มา เช่น ร่ำรวย มีอำนาจ และดวงโลภก็ให้ผล ทำให้ เป็นคนร่ำรวย มีอำนาจ แต่ มาเบียดเบียน คนอื่น
เชิญลุงหมาน วิเคราะห์ดู smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2012, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
เป็นไปได้ไหม ว่า เมื่อผลบุญก็ให้ผล ทำให้เกิด มา เช่น ร่ำรวย มีอำนาจ และดวงโลภก็ให้ผล ทำให้ เป็นคนร่ำรวย มีอำนาจ แต่ มาเบียดเบียน คนอื่น
เชิญลุงหมาน วิเคราะห์ดู smiley


การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ด้วยผลของมหาวิบาก ๘ ดวงใดดวงหนึ่ง และหลังจากนั้น ผลของกุศลที่ยังไม่ให้ผลก็จะคอยส่งผลในปวัตติกาลคือหลังจากเกิดจกระทั่งตาย บางคนเกิดมาร่ำรวย บางคนร่ำรวยตั้งแต่อยู่ในท้อง บางคนต้องขวนขวายหาเอาเองจึงจะร่ำรวย บางคนบุญหล่นทับคือได้สามีภรรยาที่ร่ำรวย บางคนโดนแจ็กพ็อต เหล่านี้ล้วนแล้วเป็นผลของมหากุศลที่เคยได้ทำไว้แล้วในอดีตที่มาส่งผลให้ร่ำรวย

บางคนทำบุญไว้ในอดีตชาติมาดี แต่พอจุติได้จิตที่เป็นอเหตุกอกุศลวิบากนำไปปฏิสนธิเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียก็มากมาย เช่นได้เกิดเป็นสุนัข แต่หลังจากเกิดนั้นก็มีผู้คอยดูแลปรนนิบัติให้อาหารเป็นอย่างดี อันนี้เป็นผลของบุญที่คอยส่งผลมาหลังจากเกิดแล้ว

บางคนเกิดมาด้วยมหาวิบาก ๘ ดวงๆใดดวงหนึ่ง คือได้เกิดเป็นคนคือตอนเกิดนั้นดี แต่พอหลังจากเกิดผลของบาปกลับมาให้ผลก็มี เช่น อาจเกิดในตระกูลที่ที่ร่ำรวยแต่ก็ต้องมาหมดตัวเพราะภัยต่างๆ เช่น เล่นการพนัน ถูกเขาโกง ลงทุนค้าขายขาดทุน เป็นต้น ตรงนี้หมายถึงผลของอกุศลมาส่งผลในปวัตติกาล

บางคนในอดีตชาติทำแต่บาป ไม่ค่อยได้ทำกุศลเลย เรียกว่าผิดศีลเป็นประจำ แต่พอตายโชคดีได้มหาวิบาก ๘ นำมาปฏิสนธิจนได้เกิดมาเป็นคน แต่ก็ต้องเกิดในตระกูลที่ยากจน และพอหลังจากเกิดแล้ว ก็เป็นคนที่ขี้เหร่บ้าง ยากจนขัดสน ขี้โรค พิกลพิกาล ปัญญาทึบ หากินฝืดเคือง เป็นต้น

อาจจะถามว่าคนที่ทำแต่บาปมาตลอดชีวิต แต่ทำไมจึงได้มหาวิบาก ๘ จึงได้เกิดมาเป็นคน
ขอตอบว่า สัตว์โลกมีผลที่เป็นทั้งบุญทั้งบาปติดตัวมาจนนับชาติไม่ถ้วนคอยส่งผลอยู่ เมื่อมีโอกาสส่งผลก็จะส่งผลทันที ทั้งผลบุญและผลบาป
ฉะนั้นคนทำบุญมามากก็ไม่ได้หมายความว่าตายแล้วจะต้องขึ้นสวรรคอย่างเดียว ตรงกันข้ามคนที่ทำบาปมามากก็ไม่ได้หมายความว่าจะตกนรกหรือลงอบายภูมิ ๔ อย่างเดี๋ยว เหตุผลก็คือเพราะเขามีทั้งกรรมดีกรรมชั่วคอยส่งผลเขาอยู่นั่นเอง ที่เรียกกันว่าแล้วแต่บุญแต่กรรมนั่นแหละครับ

* โลภก็ให้ผล ทำให้ เป็นคนร่ำรวย มีอำนาจ แต่ มาเบียดเบียน คนอื่น ?
ตรงนี้ไม่ใช่ผลครับ เป็นเหตุใหม่ที่กำลังทำ และก็จะเป็นผลในอดีตที่คอยตามส่งผลในกาลข้างหน้าไม่ว่าในชาตินี้ หรืออาจจะเป็นชาติใดชาติหนึ่งก็ได้ครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2012, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมหมายถึง เกิดมารวยเพราะผลบุญที่ทำ และดวงโลภก็ให้ผล เช่น รวยแล้วเพราะผลบุญก็ยังไม่พอ (โลภติดมาจากนิสัยในชาติก่อน)
ทำให้ รวยแล้วยังโลภ คิดหรือลงมือเบียดเบียนเพื่อการกอบโกยอีก ประมาณนี้ครับ
โลภยิ่งขึ้นเพราะเหตุเก่าเป็นเหตุ s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ผมหมายถึง เกิดมารวยเพราะผลบุญที่ทำ และดวงโลภก็ให้ผล เช่น รวยแล้วเพราะผลบุญก็ยังไม่พอ (โลภติดมาจากนิสัยในชาติก่อน)
ทำให้ รวยแล้วยังโลภ คิดหรือลงมือเบียดเบียนเพื่อการกอบโกยอีก ประมาณนี้ครับ
โลภยิ่งขึ้นเพราะเหตุเก่าเป็นเหตุ s002

โลภะก็ติดตามมาโดยเป็นอนุสัยซึ่งนอนเนื่องมาแต่ชาติก่อนและภพก่อนๆ
เช่น กามราคานุสัย ทิฏฐานุสัย มานานุสัย อวิชชานุสัย เหล่านี้ เป็นต้น
เมื่อได้ปัจจัยในชาตินี้ก็ผลงฤทธิ์ทันที ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดผลในชาติต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2012, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


หลับอยุ่ เขียน:
ในการทำบุญหลายๆวิธีเช่นสวดมนต์ไหว้พระให้ทานรักษาศีลปฏิบัติธรรมๆลๆ แล้วมาอธิฐานพร้อมเปล่งวาจาว่าขอให้รวยๆๆๆๆโคตรรวยรวยโคตรๆ...หรือขอให้สวยๆๆๆขอให้หล่อๆๆๆ..เช่นนี้นี้จิตจะเจือด้วยเจตสิกที่เป็นอกุศลดวงโลภะเป็นต้นหรืออกุศลจิตอื่นๆอีกหรือไม่และจะส่งผลเสวยวิบากอย่างไร
อยากให้คุณเช่นนั้นมาตอบอย่างละเอียดจริงๆ smiley


แบบนี้เรียกว่าบุญที่ประกอบด้วยมิจฉา คือบุญไม่บริสุทธิ์ ยิ่งทำยิ่งบาปกรรม ไม่ได้บุญ ทำแล้วจุด
หมายคือนรกภูมิ เพราะที่ทำ ทำด้วยจิตอกุศล ทำด้วยความโลภ ทำด้วยตัณหา ต้องการสิ่งแลก
เปลี่ยนมาปรณเปรอหากเปรียบการกระทำอย่างนี้เหมือนการใส่บาตร ก็เปรียบดังว่า ใส่บาตรแล้ว
ขอเงินจากพระเป็นสิ่งตอบแทน คือไม่ได้ทำด้วยใจ แต่หวังผล บางคนทำน้อย แต่หวังผลตอบแทน
คืนเป็นล้านๆเท่า ร้อยล้านเท่าก็มี นี่เรียกว่าโลภ เห็นการทำบุญคือธุรกิจ คือการแลกเปลี่ยน สิ่งนี้เป็น
อบายบุญ คือทำแล้วได้บาป ไม่ได้บุญ ทำแล้วได้ไปนรกภูมิแน่นอน

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2012, 06:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
แบบนี้เรียกว่าบุญที่ประกอบด้วยมิจฉา คือบุญไม่บริสุทธิ์ ยิ่งทำยิ่งบาปกรรม ไม่ได้บุญ ทำแล้วจุด
หมายคือนรกภูมิ เพราะที่ทำ ทำด้วยจิตอกุศล ทำด้วยความโลภ ทำด้วยตัณหา ต้องการสิ่งแลก
เปลี่ยนมาปรณเปรอหากเปรียบการกระทำอย่างนี้เหมือนการใส่บาตร ก็เปรียบดังว่า ใส่บาตรแล้ว
ขอเงินจากพระเป็นสิ่งตอบแทน คือไม่ได้ทำด้วยใจ แต่หวังผล บางคนทำน้อย แต่หวังผลตอบแทน
คืนเป็นล้านๆเท่า ร้อยล้านเท่าก็มี นี่เรียกว่าโลภ เห็นการทำบุญคือธุรกิจ คือการแลกเปลี่ยน สิ่งนี้เป็น
อบายบุญ คือทำแล้วได้บาป ไม่ได้บุญ ทำแล้วได้ไปนรกภูมิแน่นอน


ผมว่าน่าจะไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจนะครับ ทำบุญแล้วไปอบายภูมิคงไม่มีแน่ แต่เพราะการทำบุญเพื่อหวังร่ำรวยเหล่านี้ เป็นการทำบุญที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นมหากุศลญานวิปปยุตตจิต เป็นการทำบุญด้วยตัณหานำหรือตัณหาเป็นปัจจัยให้ทำ เช่นอยากได้บุญจึงได้ทำบุญ ทำบุญเกิดชาติหน้าจะได้มีกินมีใช้ เป็นต้น เป็นการทำบุญที่เจือด้วยตัณหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการทำบุญจึงชื่อขาดปัญญา เราจะเห็นได้ว่าโลภะนั้นมี ๘ ดวง ที่นำไปสูอบายภูมิก็มี ไม่นำไปสู่อบายภูมิก็มี เช่นโลภะทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ นี้นำไปสู่อบายภูมิแน่นอน ทิฏฐินี้เป็นการผิดศีล มีความอยากได้จึงได้ไปขโมยสิ่งที่เราอยากได้ เป็นต้น ส่วนโลภะวิปยุตตจิต ๔ ไม่ไปสู่อบายภูมิ คือมีอยากได้จึงชื้อเอาหรือขอเอา หรือขอแลกเปลี่ยนกัน เป็นต้น
ฉะนั้น ก็เช่นเดียวกันทำบุญเพื่อหวังร่ำรวย ก็มีโลภะที่เป็นวิปปยุตตจิตเป็นปัจจัย มหากุศลที่ทำจึงเป็นมหากุศลญานวิปปยุตตจิตครับ :b19:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2012, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อได้ปัจจัยก็แผลงฤทธิ์ ทันที Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2012, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
เมื่อได้ปัจจัยในชาตินี้ก็ผลงฤทธิ์ทันที ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดผลในชาติต่อไป

Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2012, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณีทึ่คุณพุทธคุณกล่าว มีสิทธิ์เป็นไปได้นะครับ ลุงหมาน ลองวิเคราะห์รอบๆด้านดู smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2012, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลุงหมาน เขียน:
ผมว่าน่าจะไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจนะครับ ทำบุญแล้วไปอบายภูมิคงไม่มีแน่ แต่เพราะการทำบุญเพื่อหวังร่ำรวยเหล่านี้ เป็นการทำบุญที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นมหากุศลญานวิปปยุตตจิต เป็นการทำบุญด้วยตัณหานำหรือตัณหาเป็นปัจจัยให้ทำ เช่นอยากได้บุญจึงได้ทำบุญ ทำบุญเกิดชาติหน้าจะได้มีกินมีใช้ เป็นต้น เป็นการทำบุญที่เจือด้วยตัณหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการทำบุญจึงชื่อขาดปัญญา เราจะเห็นได้ว่าโลภะนั้นมี ๘ ดวง ที่นำไปสูอบายภูมิก็มี ไม่นำไปสู่อบายภูมิก็มี เช่นโลภะทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ นี้นำไปสู่อบายภูมิแน่นอน ทิฏฐินี้เป็นการผิดศีล มีความอยากได้จึงได้ไปขโมยสิ่งที่เราอยากได้ เป็นต้น ส่วนโลภะวิปยุตตจิต ๔ ไม่ไปสู่อบายภูมิ คือมีอยากได้จึงชื้อเอาหรือขอเอา หรือขอแลกเปลี่ยนกัน เป็นต้น
ฉะนั้น ก็เช่นเดียวกันทำบุญเพื่อหวังร่ำรวย ก็มีโลภะที่เป็นวิปปยุตตจิตเป็นปัจจัย มหากุศลที่ทำจึงเป็นมหากุศลญานวิปปยุตตจิตครับ :b19:


จะขอยกตัวอย่างให้คุณลุงหมานพิจารณาซัก 3 เรื่อง แบ่งเป็น 2 ประเด็น

ประเด็นที่ 1 ทำบุญด้วยความไม่รอบคอบ ไม่มีความรู้

การทำบุญนั้น ไม่ใช้สักแต่ว่าทำตามๆกันมา ถูกหรือผิดไม่รู้ล่ะ แต่เห็นคนอื่นทำจึงทำตาม โดยไม่ทราบถึงเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำสิ่งเหล่านั้นเพื่ออะไร คือทำโดยไม่มีสติ ไม่เข้าใจ ขาดความรู้ คือเห็นคนอื่นบอกว่าทำแบบนั้นแบบนี้แล้วได้บุญ จึงทำตามโดยขาดการตรึกตรอง แบบนี้เรียกว่าไม่ใช้สติ สิ่งนี้เรียกว่าบุญไม่บริสุทธิ์ เพราะทำแล้วอาจได้บาปแทน

ยกตัวอย่าง: การปล่อยสัตว์ เช่น นกที่อยู่ตามธรรมชาติ มีคนจับเขามา เมื่อเราซื้อมาปล่อย เดี๋ยวคนขายเขาก็ไปจับมาขายให้คนอื่นอีก นกที่จับมาก็อาจจะเป็นตัวเดิมนั่นล่ะ แบบนี้เรียกว่าบ่วงเวร ปล่ยไปแล้วก็ไม่จบซะที เวรกรรมตกที่คนขาย เวรกรรมตกที่เราในฐานะอุดหนุนคนขาย ถึงเราทำด้วยใจเมตตา แต่เราก็ทำด้วยความไม่รู้ ไม่ตรึกตรอง เช่นเดียวกับการกินเนื้อสัตว์ เราซื้อก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า หากเราไม่ซื้อ เขาจะฆ่ามาขายให้ใคร เพราะฆ่าไปก็ไม่ได้เงิน เพราะฉนั้นเราจึงบาปเช่นกัน แต่พระท่านฉันท์เนื้อบาปหรือเปล่า ขอตอบว่าไม่บาป เพราะพระท่านไม่ได้มีความต้องการ ท่านฉันท์เนื้อสัตว์เพราะโยมถวาย ภิกษุนั้นแปลว่า ผู้ขอ มิอาจปฏิเสธโยมได้ เพราะจะเป็นการรบกวนโยมมากเกินไป ทำให้โยมเดือดร้อนจัดหามาให้ เพราะฉนั้นพระท่านจึงกินง่ายอยู่ง่าย ซึ่งนี่คือคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญเพียร ผู้ละทางโลก

อีกตัวอย่าง คือ การปล่อยเต่า ปล่อยปลา เต่านั้นมีหลายชนิด มีทั้งเต่าบก เต่าน้ำ เต่าทะเล หากเราปล่อยโดยที่ไม่มีความรู้ก็อาจเป็นการสร้างบาปให้แก่ตนเอง เช่น ด้วยความที่เราไม่รู้ เห็นคนขายเต่า เราจึงซื้อมาปล่อยโดยที่ไม่รู้ว่าเต่าที่เราปล่อยเป็นเต่าชนิดไหน เราอาจปล่อยผิด เอาเต่าทำเลไปปล่อยน้ำจืด เอาเต่าบกไปปล่อยลงน้ำจืด เต่าก็อยู่ไม่ได้ ตายในสระน้ำ ในบ่อน้ำ อยุธยามีเต่าตายเยอะมาก เพราะคนที่ไปทำบุญ ซื้อเต่ามาปล่อยโดยที่ไม่รู้จักประเภทของเต่า นี่คือบาปโดยไม่มีความรู้ หรือเรียกว่าบุญไม่บริสุทธิ์

ปลาก็เช่นกัน บางครั้งผู้ค้านำปลามาขาย ดูไม่เป็นว่าเป็นปลาทะเลหรือปลาน้ำจืด ไม่รู้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ดันเอาปลาทะเลไปปล่อยน้ำจืด ปลาก็ตาย อยู่ไม่ได้

เรียกได้ว่าสักแต่ทำตามๆกันมา โดยที่ขาดความเข้าใจ ไม่มีความรู้ การทำอะไรโดยขาดความรู้ความเข้าใจแล้วยังฝืนทำ นี่เรียกว่าขาดสติ คือบุญไม่บริสุทธิ์ คือหนทางสู่อเวจี

ประเด็นที่ 2 ทำบุญโดยหวังลาภยศสรรเสริญ หวังชื่อเสียง

ยกตัวอย่าง: ในช่วงน้ำท่วม(ปีไหนจำไม่ได้ แต่นานแล้ว) ผู้คนอดอยากหิวโหย เดือดร้อน มีกลุ่มแม่บ้านข้าราชการ...นำข้าวกล่องไปแจกชาวบ้านผู้เดือดร้อน แต่ด้วยความอยากได้หน้าจึงโทรไปบอกให้นักข่าวมาทำข่าว แต่รอนานมากนักข่าวก็ยังไม่มา กว่านักข่าวจะมาข้าวก็เย็นหมดแล้ว ข้าวเย็น อากาศร้อน ขนข้าวใส่รถบรรทุกไป กว่าจะไปถึงข้าวก็บูด ส่งกลิ่นเหม็น กินไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าซ้ำเติมหรือเปล่า เป็นการซ้ำเติมถึงจะไม่มีเจตนาก็ตาม นี่คือบุญไม่บริสุทธิ์ ทำแล้วได้บาปแทน คือไม่ได้ทำเพราะห่วงเพื่อนมนุษย์ แต่ทำเพราะชื่อเสียงลวงตา อยากได้หน้า เป็นการสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ผู้ที่ประสพเคราะห์หนักเข้าไปอีก

อีกเรื่อง คือทำบุญเอาหน้า เช่น นักการเมืองต้องการจะไปทำบุญ แต่อยากได้หน้า อยากให้สังคมรับรู้ว่าเขาเป็นผู้ใจบุญ จึงจ้างนักข่าวให้ไปทำข่าว โดยมีการนัดแนะว่าจะไปวัดวันไหน เวลาไหน แบบนี้เรียกว่าสวมหน้ากาก คือไม่ได้ทำด้วยความจริงใจและเต็มใจ แต่ต้องการตบตาผู้คนในสังคมให้คนอื่นมองว่าตัวเองเป็นคนดีธัมมะธัมโมบังหน้าเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองบางอย่าง เมื่อเกิดปัญหาผู้คนจะได้ไม่สงสัย เพราะสร้างเปลือกนอกว่าตัวเองเป็นคนมีคุณธรรมบังหน้า แบบนี้เรียกว่าบุญไม่บริสุทธิ์ บุญที่เจือด้วยตัณหา แบบนี้ได้ไปอบายภูมิแน่นอน

และที่กล่าวมานี้คือตัวอย่างที่มาของคำกล่าวที่ว่าบุญไม่บริสุทธิ์ เจือด้วยตัณหา นำพาสู่อบายภูมิแน่นอน

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2012, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรณีกินเนื้อสัตว์ มนุษย์ชอบคิดว่าสัตว์คืออาหาร แต่สัตว์เองคิดว่ามันคืออาหารของมนุษย์หรือเปล่า คงไม่ใช่ ทุกชีวิตล้วนเกิดมาต้องพึ่งพาอาศัยกัน เราอาศัยชีวิตของสัตว์เพื่อดำรงชีพของเรา เราเองก็เป็นอาหารของปรสิต ของหนอน แมลง เมื่อเราตาย นี่คือวัฏจักร การที่เรากินเนื้อสัตว์เพื่อประทังชีวิตนั้นเป็นการเบียดเบียน บาปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเราตายเราก็เป็นอาหารของสัตว์เช่นกัน จึงถือว่าพึ่งพากัน ถือว่าสัตว์นั้นเอาคืนจากเรา หายกัน

แต่มันบาปตรงที่เราฆ่าเพื่อการค้า คนฆ่าบาปมาก คนซื้อก็บาปเหมือนกัน แบบเดียวกัน แต่โทษก็ต่างกัน เพราะยังไงก็ถือว่าเราส่งเสริมให้มีการฆ่า จะบอกว่าเราไม่ได้ฆ่าแล้วทำไม่รู้ไม่เห็รจึงไม่บาป คงไม่ใช่ แต่เป็นบาปที่จำใจ เพราะเราต้องอาศัยเนื้อเพื่อดำรงชีพ ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่มีเนื้อกิน เราจึงควรแผ่เมตตาให้กับชีวิตที่เรากินอยู่เป็นประจำ เพราะเขาเสียสละชีวิตเพื่อให้เราได้มีชีวิต

อีกอย่างนะ การกินเนื้อสัตว์มากๆก็ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะฉนั้นกินผักมากๆ กินเนื้อสัตว์น้อยๆจะทำให้เราสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว และยังอาจช่วยลดการฆ่าให้น้อยลงได้อีกด้วยนะ

.....................................................
รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร