วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-281.jpg
Image-281.jpg [ 98.28 KiB | เปิดดู 2025 ครั้ง ]
การศึกษาพระพุทธศาสนานั้น ควรเข้าใจเป็นเบื้องต้นไว้ก่อนว่า
พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักเหตุผลของชีวิต
ซึ่งเป็นวัฏฏะคือส่วนที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสาร
และเหตุผลส่วนวิวัฏฏะ คืิอส่วนที่ที่อยู่เหนือความเวียนว่ายตายเกิดนั้น
อันได้แก่พระนิพพาน ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจถูกต้อง
ก็คือ ชีวิต ถ้าไม่เข้าใจชีวิต ก็ถือว่ายังไม่รู้จักพระพุทธศาสนา

ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สอนว่าชีวิตประกอบขึ้นจากส่วนสำคัญ ๕ ส่วน
อันเรียกว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือว่าโดยย่อ ได้แก่ รูป นาม หรือรูปขันธ์ นามขันธ์ และในขันธ์ ๕ นี้
เป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ จึงเป็นอนิจจัง คือเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
เมื่อเป็นอนิจจัง ก็ต้องเป็นทุกขัง คือสิ่งที่ไม่คงทน เป็นของว่างเปล่า
เมื่อเป็นทุกขัง ก็ต้องเป็นอนัตตา คือ เป็นสิ่งที่ปราศจากอัตตา คือ ตัวตน
โดยเหตุนี้ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ชีวิตคือกองแห่งทุกข์

แม้ตามหลักอริยสัจจธรรม พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
ฉะนั้น ชีวิตนี้จึงได้แก่กองทุกข์ ไม่ใช่อะไรที่ไหนเลย แม้บางคราวเราจะมีความสบายใจ
อันนับว่าเป็นความสุข แต่ก็เป็นความสุขบนกองทุกข์ ที่เป็นสุขเวทนาเท่านั้น
ซึ่งว่าโดยสภาพอันแท้จริงแล้ว ก็คือกองทุกข์นั่นเอง เพราะเวทนาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกข์เท่านั้นแหละเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นแหละตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นแหละที่ดับไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2013, 06:00 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนาสาธุค่ะ ลุงหมาน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-5062.jpg
Image-5062.jpg [ 99.16 KiB | เปิดดู 2025 ครั้ง ]
Duangtip เขียน:
ขอโมทนาสาธุค่ะ ลุงหมาน :b8:

ขอขอบคุณครับ Duangtip ที่ติดตามอ่าน

ชีวิต ว่าตามหลักปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นอยู่และเป็นไปตามกฎแห่งเหตุผล
ไม่มีใครสร้างหรือกำหนดขึ้น เป็นอยู่และเป็นไปโดยความสำพันธ์กันเป็นลูกโซ่
แห่งเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกันตลอดเวลา เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี เมื่อผลมี เหตุก็มี....
รวมความว่าเมื่อสิ่งหนึ่งมีก็เป็นเหตุให้อีกสิ่งมี ชีวิตจึงดำเนินการอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
ดังมีเรื่องจากพระดำรัสตรัสตอบท่านอเจลกัสสปะ ดังต่อไปนี้

ครั้งหนึ่ง ท่านอเจลกัสสปะทูลถามพระพุทธองค์ว่า
ท่านพระโคดม! ทุกข์(ชีวิต)นี้ ตัวเองสร้างขึ้นมาหรือ?

พระพุทธองค์ตอบว่า
กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.

ถ้าอย่างนั้น ทุกข์คนอื่นสร้างมาหรือ?

กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.

ถ้าเช่นนั้นทุกข์นั้น ทั้งตัวเองและคนอื่นสร้างมาหรือ?

กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย.

เมือตัวเองก็ไม่ได้สร้าง คนอื่นก็ไม่ได้สร้างแล้ว ทุกข์เกิดขึ้นมาลอยๆ อย่างนั้นหรือ

กัสสปะ! เธออย่าว่าอย่างนั้นเลย
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสตอบอย่างนี้ ท่านอเจลกัสสปะก็ยังไม่เข้าใจ จึงทูลถามต่อไปว่า

ท่านพระโคดม! ถ้าอย่างนั้น ความทุกข์ก็ไม่มีล่ะซิ?

กัสสปะ! เรารู้จักทุกข์ด้วย และเห็นทุกข์ด้วย
เมื่ออเจลกัสสปะได้ฟังพุทธดำรัสเช่นนั้นก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงทูลถามต่อไป
ท่านพระโคดม! ขอได้บอกข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์ได้ทราบด้วยว่า ทุกข์(ชีวิต) นั้นเป็นอย่างไร

พระองค์จึงทรงชี้แจงแก่ท่านกัสสปะว่า
กัสสปะ! เมื่อยึดถือตั้งแต่แรกว่าผู้สร้างกับผู้เสวยเป็นคนๆเดียวกัน
จึงมีลัทธิที่ถือว่า ทุกข์นั้นตัวเองสร้างขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นสัสสตทิฎฐิ
(คือเห็นว่าตนและโลกเที่ยง)
เมื่อยึดถือตั้งแต่แรกว่าผู้สร้างกับผู้เสวยเป็นคนละคน
จึงมีลัทธิที่ถือว่าทุกข์นั้นคนอื่นสร้างขึ้น เมื่ออย่างนี้ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ
(คือเห็นว่าตนและโลกสูญ)
กัสสปะ! เราตถาคตแสดงธรรมเป็นกลางๆ ไม่ข้องแวะกับลัทธิสุดโต่งทั้งสองนั้น
คือเราตถาถตแสดงว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ.....
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมอาศัยกันและกันดังกล่าวนี้
จากพระพุทธพจน์นี้ จึงเห็นได้ว่า ชีวิตนี้คือกองทุกข์ซึ่งเกิดขึ้น เป็นอยู่ และเป็นไป
ตามกฎแห่งเหตุผล หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร