วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2012, 12:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2012, 14:59
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


1.จากพระอภิธรรมที่บอกว่า "ภูเขาสิเนรุ เป็นศูนย์กลางของ มงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะอุบัติขึ้นเฉพาะ ในมงคลจักรวาลนี้เท่านั้น เป็นเขาที่ละเอียดมองไม่เห็นด้วยตา มนุษยภูมิ หมายถึง ที่อยู่อาศัยของมนุษย์หรือของคน มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้อยู่ในทวีปใหญ่ ๆ ๔ ทวีป ด้วยกัน อยู่ในทิศทั้ง ๔ ของเขาสิเนรุ" ขอถามว่า
1.1 จักรวาลทางวิทยาศาสตร์กับจักรวาลทางพุทธศาสนา แตกต่างกันอย่างไรคะ แล้วมงคลจักรวาลครอบคลุมไปถึงไหนคะ
1.2 ดาวโลกในทางวิทยาศาสตร์ สัมพันธ์กับมนุษยภูิมิทางพุทธศาสนาอย่างไรคะ เช่น เขาสิเนรุอยู่ตรงไหนบนโลกของเรา ระบบสุริยะของเรา และกาแล็คซี่ของเรา หรือโลกของเรา ระบบสุริยะของเรา และกาแล็คซี่ของเรา อยู่ตรงไหนของเขาสิเนรุคะ

2.กรณีมนุษย์ต่างดาว ทางพุทธศาสนามองว่าอย่างไรคะ เป็นมนุษยภูมิด้วยหรือไม่คะ

อาจจะถามแปลก ๆ แต่ก็สงสัยค่ะ และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความเห็นนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 06:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 เม.ย. 2007, 05:03
โพสต์: 214

ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว




จักรวาลย่อ.jpg
จักรวาลย่อ.jpg [ 54.68 KiB | เปิดดู 4119 ครั้ง ]
ขอนำการบรรยาย เรื่องจักรวาล ประกอบการศึกษาพระอภิธรรม โดยท่านอาจารย์บุญมี เมธางกูร ดังนี้

สสารและพลังงานในพระพุทธศาสนา
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 84189.html

บรรดาชื่อเหล่านั้น ชื่อว่า ปรมาณู เป็นส่วนแห่งอากาศ


(อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งเห็นด้วยตาเนื้อไม่ได้ เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ) ไม่มาสู่


คลองแห่งตาเนื้อ ย่อมมาสู่คลองแห่งทิพยจักษุเท่านั้น. ชื่อว่า อณู คือ


รัศมีแห่งพระอาทิตย์ที่ส่องเข้าไปตามช่องฝา ช่องลูกดาล เป็นวงกลม ๆ


ด้วยดี ปรากฏ หมุนไปอยู่.
========================================

จักรวาล ในทางพระพุทธศาสนา
http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 30770.html
แม้คลื่นของเสียงที่มากระทบหูทำให้ได้ยิน เราก็ได้ยินกันอยู่ทุกๆ วัน แต่เราก็เห็นมันไม่ได้ หรือเชื้อโรคบางชนิดเราก็ต้องขยายด้วยกล้องตั้งมามกายจึงมองเห็นมันได้


ผีสางเทวดาที่เกิดมามีร่างกายละเอียดมาก เพราะเป็นการประชุมของรูปปรมาณูโดยอำนาจของกัมมชรูป จึงสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในกำแพงก็ได้ เข้าไปอยู่ในคนก็ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงขอแสดงเฉพาะรูปปรมาณู

จากภาพก็จะเห็นเป็นเส้นรอบวง เรียกว่าภูเขากั้นจักรวาล ภูเขากั้นจักรวาลเป็นรูปปรมาณู แล้วก็มีภูเขาอื่นอีกหลายยอดเรียกว่าสัตตบรรพต แปลว่ามีเจ็ดยอดกั้นอยู่เป็นชั้นๆ ส่วนตรงกลางที่จุดศูนย์กลางเรียกว่า ภูเขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงใหญ่อยู่ท่ามกลางจักรวาล ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นรูปปรมาณูทั้งสิ้น


โลกของเราคือโลกที่เราอาศัยอยู่นี้(เป็นรูปหยาบภายในจักรวาลนี้) อยู่ทางใต้เรียกว่า ชมพูทวีป แล้วยังมีอีก ๓ โลก คือปุพพวิเทหะอยู่ทางตะวันออก อปรโคยานะอยู่ทางตะวันตก และอุตตรกุรุทวีปอยู่ทางเหนือ


ทั้ง ๔ โลกนี้เป็นรูปหยาบที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แล้วมีดวงอาทิตย์พร้อมด้วยดาวพระเคราะห์เป็นอันมากแวดล้อมอยู่ หมุนเวียนรอบๆ อยู่ทั่วไปอีกมากมายเป็นชั้นๆ ไป


ท่านทั้งหลาย จากจุดศูนย์กลางนั้นคือภูเขาสิเนรุอันสูงใหญ่ เพราะเป็นภูเขาของจักรวาลมาจนถึงขอบจักรวาล จะมีภูเขา ต้นไม้ ลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร เหมือนอย่างโลกของเรานี้ แต่เป็นรูปปรมาณูทั้งหมด


ลองคิดดูสิว่าจากจุดศูนย์กลางคือภูเขาสิเนรุไปจนถึงขอบจักรวาลซึ่งผ่านป่า ผ่านภูเขา ผ่านทะเลนั้นจะไกลแสนไกลสักเท่าใด ในที่บางแห่งมีแสดงไว้ว่าปลาบางตัวมีตัวยาวตั้งโยชน์ คนอ่านก็ร้องว่าเป็นไปไม่ได้เขาแต่งขึ้นมาเอง หารู้ไม่ว่าเป็นปลาเป็นรูปปรมาณู แต่มิได้อยู่ในมหาสมุทรของโลก หากแต่อยู่ในมหาสมุทรของจักรวาลที่เป็นรูปปรมาณู แล้วอยู่ในจักรวาล


ในมหาสมุทรของโลกเรานี้เองก็กว้างใหญ่มิใช่น้อย จะมีแต่ปลาซิว ปลาสร้อยได้อย่างไร จึงมีปลาใหญ่ คือปลาวาฬตัวยาวตั้ง ๑๕๐ ฟิตอาศัยอยู่จึงเหมาะสมกับความใหญ่โตของมหาสมุทร แล้วในมหาสมุทรของจักรวาลซึ่งเป็นรูปปรมาณูอันกว้างใหญ่ไพศาลนับคำนวณไม่ได้ จะให้มีปลารูปปรมาณูตัวยาว ๑๕๐ ฟิตเท่ากับปลาวาฬของโลกเราจะได้

=======================================
จักรวาล
http://www.sriprawat.net/5.7.htm

ขุนเขาสิเนรุ สูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์
จมอยู่ในมหาสมุทรสีทันดรครึ่งหนึ่ง
คือหยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
วัดรอบเขาได้ ๒๕๒,๐๐๐ โยชน์ พื้นดินยอดเขาประกอบด้วย
รัตนะ ๗ ตามไหล่เขา ๔ ด้าน...ด้านตะวันออกเป็น เงิน
ด้านตะวันตก เป็น แก้วผลึก...ด้านใต้ เป็นแก้ว มรกต
ด้านเหนือเป็น ทอง...น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ ใบไม้
ที่อยู่ในด้านนั้น ๆ จะเป็น สีน้ำเงิน สีผลึก สีเขียว สีทอง
ตามสีของไหล่เขานั้นด้วย กลางเขาสิเนรุ

------------------------------------
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 07:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 เม.ย. 2007, 05:03
โพสต์: 214

ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว




จักรวาลผ่าซีก.jpg
จักรวาลผ่าซีก.jpg [ 26.81 KiB | เปิดดู 4119 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

จูฬนีสูตร
พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกร
อานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ
สว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์
พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มี
อปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มี
มหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี
เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพัน
หนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มี
พรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก
คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ
อย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้าน
จักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์
ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้
ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๙๘๕ - ๖๐๕๖. หน้าที่ ๒๕๖ - ๒๕๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=520
----------------------------------------------

พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแกเทวดาตลอดทั้งจักรวาลครั้งใหญ่ได้จาก

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๗. มหาสมัยสูตร (๒๐)

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=235


-----------------------------------------------------------------


อ้างคำพูด:
1.1 จักรวาลทางวิทยาศาสตร์กับจักรวาลทางพุทธศาสนา แตกต่างกันอย่างไรคะ แล้วมงคลจักรวาลครอบคลุมไปถึงไหนคะ


ผมเห็นว่า แตกต่างกันตรง จักรวาลทางพุทธศาสนา แสดงด้วยอำนาจสัพพัญญู แม้ รูปบางอย่างจะละเอียดเพียงใด ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ หรือ กล้องของวิทยาศาสตร์ทางโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 07:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 เม.ย. 2007, 05:03
โพสต์: 214

ที่อยู่: ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว




จักรวาลเดี่ยว.jpg
จักรวาลเดี่ยว.jpg [ 23.46 KiB | เปิดดู 4119 ครั้ง ]
เรื่องมนุษย์จาก ทวีปอื่น ที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก อรรถกถา

----------------------------------------------------
พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี

พระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร ทรงสดับว่า "ได้ยินว่า ปราสาท ๗ ชั้นซึ่งสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นแล้วเพื่อโชติกะ, กำแพง ๗ ชั้น ซุ้มประตู ๗ ซุ้ม ขุมทรัพย์ ๔ ขุมก็ผุดขึ้นแล้ว (เพื่อโชติกะเหมือนกัน)" ทรงส่งฉัตรตำแหน่งเศรษฐีไป (ให้) แล้ว, เขาได้เป็นผู้ชื่อว่า โชติกเศรษฐี. ก็กรรมอันหญิงผู้มีบุญทำไว้แล้วกับโชติกเศรษฐีนั้น เกิดแล้วในอุตตรกุรุทวีป.

ครั้งนั้น เทพดานำนางมาจากอุตตรกุรุทวีปนั้นแล้ว ให้นั่งในห้องอันเป็นสิริ.
หญิงนั้นเมื่อมา ถือเอาทะนานข้าวสารทะนานหนึ่ง และแผ่นศิลาอันลุกโพลง ๓ แผ่น (มา), ภัตของชนทั้งสองนั้นได้มีแล้วด้วยทะนานข้าวสารนั้นนั่นเทียว ตลอดชีวิต.
ดังได้สดับมา ถ้าชนเหล่านั้นเป็นผู้มีประสงค์จะยังแม้เกวียน ๑๐๐ เล่มให้เต็มด้วยข้าวสาร, มันก็คงปรากฏเป็นทะนานอันเต็มด้วยข้าวสารอยู่นั่นเอง. ในเวลาหุงภัต พวกเขาใส่ข้าวสารในหม้อ แล้ววางไว้เบื้องบนแผ่นศิลาเหล่านั้น. แผ่นศิลาก็ลุกโพลงขึ้นในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อภัตสักว่าสุกแล้ว ย่อมดับไป พวกเขารู้ความที่ภัตสุกแล้ว ด้วยสัญญาณนั้นนั่นแหละ. แม้ในเวลาแกงของควรแกงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
เขาทั้งสองย่อมหุงต้มอาหารด้วยแผ่นศิลาอันลุกโพลงด้วยอาการอย่างนี้.
ชนเหล่านั้นย่อมอยู่ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี ไม่รู้แสงสว่างของไฟหรือประทีปเลย.

ที่มา:

http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... &i=36&p=33
-------------------------------------------------------

จากสารานุกรม พระไตรปิฏกฉบับธรรมทาน (cd)

ทวีป ๔,พื้นที่ในจักรวาล
จักรวาลหนึ่ง ๆ ซึ่งประดับด้วยทวีปใหญ่ ๔ ทวีป และ
ทวีปน้อย ๒ พันทวีป อย่างนี้ คือ
๑. ปุพพวิเทหทวีป ซึ่งมีปริมณฑลถึง ๗ พันโยชน์
ซึ่งประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๒. อุตตรกุรุทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๘ พันโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๓. อมรโคยานทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๗ พันโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.
๔. ชมพูทวีป ซึ่งมีปริมณฑล ๑ หมื่นโยชน์
ประดับด้วยทวีปน้อย ๕๐๐.

#ขุทฺทก.อ. ๑/๖/๓๕-๓
-----------------------------------------------------------------
จากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ วิถีวิมุตตสังคหวิภาค ของพระอาจารย์บุญมี เมธางกูร แห่ง อภิธรรมมูลนิธิ ได้อธิบายเกี่ยวกับทวีปทั้ง ๔ ไว้ดังนี้

ทวีปใหญ่ในทิศทั้ง ๔ ของภูเขาสิเนรุ แต่ละทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ทิศนั้น แลดล้อมด้วยทวีปน้อยเป็นบริวาร อีกทวีปละ ๕๐๐ รวมทวีปน้อยมี ๒๐๐๐ ทวีป
ทวีปใหญ่ หรือพื้นแผ่นดินทั้ง ๔ ทิศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์นั้น มีชื่อเรียกกันดังนี้คือ
๑. อุตตรกุรุทวีป อยู่ทางทิศเหนือของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ
๑) ไม่ยึดถือเอาทรัพย์สินเงินทองว่าเป็นของตน
๒) ไม่มีการยึดถือในบุตร, ภริยา, สามี ว่าเป็นของตน
๓) มีอายุยืนถึง ๑๐๐๐ ปี
มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล ๕ เป็นนิจ เมื่อตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลก แน่นอน ดังสารัตถทีปนีฏีกา แสดงว่า
คติปิ นิพฺพตฺถา มโต สคฺเคเยว นิพฺพตฺตนฺติ
แปลความว่า มนุษย์อุตตกุรุนี้ เมื่อตายแล้ว ย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกอย่างแน่นอน
หมายความว่า เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้วย่อมไปบังเกิดในชั้นเทวโลกแต่ถึงเวลาที่จุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ ๔ หรือมนุษย์ในทวีปอื่นใดก็ได้ จะไม่ไปสู่อบายภูมิเพียงชั่วภพถัดไปจากที่กำลังเป็นมนุษย์อุตตรกุรุเท่านั้น

๒. ปุพพวิเทหทวีป อยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลงส่วนล่างคล้ายบาตร มีอายุยืนถึง ๗๐๐ ปี

๓. อปรโคยานทวีป อยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ากลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปี

๔. ชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของภูเขาสิเนรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปไข่ กำหนดอายุขัยไม่แน่นอน โดยความยิ่งหย่อนในคุณธรรม สมัยใดคนชมพูทวีปมีกาย วาจา ใจ เพียบพร้อมยิ่งด้วยคุณธรรมสมัยนั้นคนชมพูทวีปมีอายุยืนถึงอสงไขยปี สมัยใด คนชมพูทวีป กาย วาจา ใจ ย่อหย่อนด้วยคุณธรรม สมัยนั้นมีอายุลดน้อยถอยลงมาเพียง ๑๐ ปี เป็นอายุขัย
กำหนดเกณฑ์อายุขัยของผู้เกิดใน ๔ ทวีปนี้มาใน สังยุตตนิกายอรรถกถา ว่า
ชมฺพูทีปวาสีนํ อายุปฺปมาณํ นตฺถิ, ปุพฺพวิเทหานํ สตฺตวสฺสสตายุกา, อปรโคยานวาสีนํ ปญฺจวสฺสสตายุกา อุตฺตรกุรุวาสีนํ วสฺสสหสฺสายุกา เตสํ เตสํ ปริตฺตทีปวา สีนมฺปิ ตทนุคติกาล
ในมนุษย์ภูมินี้ มุ่งหมายเอามนุษย์ที่เกิดในชมพูทวีป เป็นมุขยนัย (โดยตรง) โดยสทิสูปจารนัย (โดยอ้อม) ได้แก่มนุษย์ในทวีป ทั้ง ๓ อีกด้วย คุณสมบัติของมนุษย์ชมพูทวีป มีแสดงไว้หลายนัย ตามวจนัตถะ ดังต่อไปนี้
๑. มโน อุสฺสนฺตํ เอเตสนฺติ = มนุสฺสา
คนทั้งหลาย ที่ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีใจรุ่งเรืองและกล้าแข็ง
หมายความว่า จิตใจของคนชมพูทวีปนั้น กล้าแข็งทั้งฝ่ายดีและไม่ดี คือฝ่ายดีนั้นสามารถสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้า, อัครสาวก, มหาสาวก, ปกติสาวก, สำเร็จอภิญญาลาภีหรือฌานลาภีบุคคล, ตลอดจนเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ข้างฝ่ายไม่ดีนั้น ให้กระทำการวิบัติตัดชีวิต บิดามารดา, พระอรหันต์, กระทำโลหิตุปบาท, และสังฆเภท
๒. การณากรณํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีความเข้าใจในเหตุอันควรและไม่ควร
หมายความว่า คนชมพูทวีป ย่อมมีความสามารถค้นหาเหตุผลของธรรมได้โดยเฉพาะ เช่นการเห็น เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยจักขุปสาท กับรูปารมณ์ กระทบกันเป็นต้น ตลอดจนรู้ภาวะของรูป – นาม ตามความเป็นจริงได้ เพราะอาศัยมีความเข้าใจในเหตุอันควรและไม่ควร นั่นเอง
๓. อตฺถานตฺตตํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์
ข้อนี้หมายความว่า บรรดาสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่สัตว์โลกได้รับ จะเป็นที่น่ายินดีพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ตาม ย่อมเกิดจากการทำ การพูด การคิด ของสัตว์ทั้งหลายนั้นเอง
ถ้าการทำ การพูด การคิด ที่ดี ก็ได้ผลดี มีประโยชน์ แต่ถ้าการทำ การพูด การคิดที่ไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี ไม่มีประโยชน์

คนชมพูทวีปย่อมมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์นี้ได้อย่างดีว่า การทำ การพูด การคิด อย่างนี้ให้ผลเป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในชาตินี้ หรือ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในชาติหน้า หรือ ปรมัตถประโยชน์คือประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้โดยเด็ดขาด

๔. กุสลากุสลํ มนติ ชานาตีติ = มนุสฺโส
คนชมพูทวีป ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเข้าใจในสิ่งที่เป็นกุศล และอกุศล
หมายถึง ความเข้าใจในการทำดี ทำชั่ว คือการงานใดที่เนื่องด้วยความโลภ, ด้วยความโกรธ, ความหลงเหล่านี้เป็นความชั่ว เป็นอกุศล แต่ถ้าการงานใดไม่ได้ประกอบด้วยความโลภ, ความโกรธ, ความหลง แต่กลับเนื่องด้วยความไม่โลภ, ไม่โกรธ และความมีปัญญา และสามารถเข้าใจในกุศล - อกุศลได้เป็นอย่างดี เหล่านี้เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ชมพูทวีป

๕. มนุโน อปจฺจาตี = มนุสฺสา
คนทั้งหลายชื่อว่า มนุษย์ เพราะเป็นลูกของพระเจ้ามนุ
ที่ว่า มนุษย์เป็นลูกหลานของพระเจ้ามนุนั้น มีตำนานดังนี้ คือ ในสมัยต้นกัปป์ ประชาชนได้เลือกพระโพธิสัตว์ ซึ่งขณะนั้นเป็นมนุษย์มีชื่อว่า มนุ ให้ครองราชย์ เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศและถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสัมมตะ พระองค์ทรงอายุ และระเบียบแบบแผน กฎ ข้อบังคับ อย่างเที่ยงธรรม ให้ประชาชนได้ประพฤติปฏิบัติตามอย่างมิได้มีใครฝ่าฝืนเลย เหมือนหนึ่งบุตรที่ดีทั้งหลายประพฤติอยู่ในโอวาทแห่งบิดา เหตุนี้จึงได้ชื่อว่า มนุษย์ เพราะเป็นบุตรของพระเจ้ามนุ


------------------------------------------------------------------
จากหนังสือ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะตรัสรู้ต่อจาก "เจ้าชายสิทธัตถะ" ได้อ้างอิง อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ รจนาโดย พระอุปติสสะเถระ พระอรรถกถาจารย์ แห่งลังกาทวีป อธิบายว่า


ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวใน ๔ ทวีปที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเลือกลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอายุขัยของมนุษย์ในชมพูทวีปมีกำหนดไม่แน่นอน มนุษย์ในชมพูทวีปนี้ จึงไม่ประมาทมากนัก พอที่พระพุทธเจ้าจะแสดงพระธรรมเทสนาสั่งสอนให้ตรัสรู้ตามได้ ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ในทวีปอื่นที่เหลืออีก ๓ ทวีป คือ มนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป มีอายุยืนได้ ๑๐๐ ปีจึงตาย มนุษย์ในอมรโคยานทวีปมีอายุยืนได้ ๔๐๐ ปีจึงตาย มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป มีอายุยืนได้ ๑,๐๐๐ ปีจึงตาย และเหตุที่มนุษย์ทั้ง ๓ ทวีปนี้ มีอายุยืนและมีกำหนดแน่นอนเพราะมนุษย์ทั้งหลายมีปกติรักษาศีล ๕ อยู่เสมอ

ชมพูทวีปตั้งอยู่ในมหาสมุทรโสณสาคร ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีทวีปเป็นเกาะใหญ่ มีสัณฐานเป็นรูปเรือนเกวียนหรือรูปไข่ ใบหน้าของมนุษย์ในทวีปนี้ ก็เป็นรูปไข่ด้วย ทวีปนี้มีไม้ชมพู หรือ ไม้หว้า เป็นไม้ประจำทวีป เหตุนี้จึงเรียกว่า “ชมพูทวีป”

--------------------------------------------------------

จากหนังสือ ซอกตู้พระไตรปิฏก ที่เล่าถึงภพภูมิต่าง ๆ (จากการบรรยายของท่านอาจารย์วิชิต ธรรมรังษี เรื่องภพภูมิต่าง ๆ ประกอบการบรรยายพระอภิธัมมัตสังคหะ ปริเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค ในหมวดที่ ๑ ภูมิจตุกะ)

พระอภิธัมมัตถสังคหะ
http://abhidhamonline.org/aphi/p5/009.htm

อุตตรกุรุทวีป อายุขัย ๑,๐๐๐ ปี มีความเป็นอยู่สุขสบายมาก เพราะเกิดด้วยอำนาจบุญอันแรง คือ ทำบุญแก่กล้ามาก แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ข้าวก็ไม่ต้องปลูก(เมล็ดใหญ่มาก ๆ เมล็ดเดียวอิ่ม) เมื่อเด็ดไป ก็งอกขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องปรุง ที่นั้นมีหินชนิดหนึ่ง กลางวันให้ความร้อน นำไปปรุงอาหารได้ กลางคืนให้ความสว่าง ใบหน้าของเขาเป็นรูปสี่เหลี่ยมตัดหมด

เมื่อจุติจากอุตตรกุรุทวีปจะปฏิสนธิเป็นเทวดาหรือไม่ก็นางฟ้าไปเป็นภูมิรองรับแน่นอนเลย ในชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ ๒ ชั้นเท่านั้น เพราะบุญที่ทำไว้นี่แรงมาก แล้วอยู่ที่นั่นมีโมหะ แต่ไม่มีโอกาสทำบาป เมื่อหมดบุญจากเทวดา ส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะชีวิตที่เป็นอยู่เป็นโมหะตลอด

คนที่นี้ความเป็นอยู่สุขสบาย เพราะว่าเกิดด้วยอำนาจบุญอันแรง คือทำบุญแก่กล้ามาก แต่เป็นบุญที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ทำบุญสร้างโบสถ์คนเดียวไม่ยอมให้ใครร่วมเลย



บุพเพวิทหทวีป อายุขัย ๗๐๐ ปี ใบหน้ารูปทรงบาตรหน้าตัด ชีวิตความเป็นอยู่ต้องดิ้นรน มีแต่ภูเขา ส่วนใหญ่เป็นกลางคืนและมืดมากเนื่องจากได้รับแสงอาทิตย์ค่อนข้างน้อย ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สมสู่กันตลอดเวลา ออกลูกแฝดและเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่

ตายจากที่นี้จะไปนรกเสียมาก เพราะการเกิดได้ที่บุพพวิเทหทวีปนี่มีปัญญาพอดี แต่เป็นปัญญาทางโลก คือนักวิจัย นักค้นคว้า แล้วก็ไม่มีบุญ เพราะพวกนี้เห็นไหม การทำนี่มันจะต้องทุ่มเทชีวิตอยู่ในห้องวิจัย โอกาสจะแสวงหาบุญก็ไม่มี

อปรโคยานทวีป ไม่มีบุญแล้วก็ไม่มีปัญญา ความเป็นอยู่แบบป่าเถื่อน ชอบกินของสด ๆ คาว ๆ ชอบกินเนื้อคน ไม่กินเนื้อสัตว์อื่น ออกลูกแล้วกินลูกตัวเองเป็นอาหาร บางคนต้องหลบหนีไปออกลูกบนเขา

สองพวกนี้ คือมนุษย์ในบุพพวิเทหทวีป และ อปรโคยานทวีป ในพระไตรปิฏกไม่ได้อธิบายมากมาย เพราะว่าไม่เป็นเรื่องน่านิยม อุตตรกุรุทวีปนี่เป็นเรื่องน่าศึกษาเพราะไปด้วยบุญและมีโอกาสไปเป็นเทวดา และเผื่อตั้งตนไว้ชอบ ไปเจออาจารย์ดีมันก็มีโอกาสเปลี่ยนจริต ส่วนอีก ๒ ทวีปนั้นมีโมหจริตและวิตกจริตเสียมาก ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไข ห่างไกลรัศมีพระธรรม ถึงมีโอกาสเกิดในชมพูทวีป ตอนพระพุทธเจ้าประกาสศาสนาก็จะเป็นพวกเดียรถีย์หรือไม่ก็นิยตมิจฉาทิฏฐิเสียมาก
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร