วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2013, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อายุของสัตว์

๑. อายุของสัตว์นรก มีแสดงไว้ในชินาลังการฎีกา และในธัมมหทยวิภังค อนุฎีกา เป็นการกำหนดอายุ
ของสัตว์นรกแต่ละขุม แต่อย่างไรก็ดี มีสาธกบาลีแสดง ไว้ในวิภาวนีฎีกาว่า

อปาเยสุ หิ กมฺมเมว ปมาณํ

แปลเป็นใจความว่า ในอบายภูมิ นั้น อกุสลกรรมนั่นแหละเป็นเครื่องประมาณอายุ หมายความว่า
ถ้าอกุสลกรรมนั้น หนักมาก ก็ต้องทนเสวยทุกข์อยู่ถึงอสงขัยปี ถ้าอกุสลกรรมนั้นเบา ก็ต้องเสวยทุกข์
น้อยลงมาตามลำดับ และหากว่าขณะที่กำลังเสวยทุกข์ทรมานอยู่ สัตว์นรกนั้นเกิด ระลึกนึกถึงกุสล
ที่ตนได้สร้างสมไว้แต่ปางก่อนขึ้นมาได้ ก็สามารถพ้นจากสัตว์นรก ไปบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทวดาได้
ทันทีก็มีมาก เรียกว่าเป็นการจุติจากสัตว์นรก เพราะหมดกรรมในชาตินั้น ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่จนสิ้นอายุขัย

๒. อายุของเปรต ก็ไม่แน่นอนเหมือนสัตว์นรกเช่นเดียวกัน ในเปตวัตถุพระ บาลีก็แสดงไว้ว่า เปรต
และอสุรกาย ๒ จำพวกนี้ ต้องเสวยกรรมในระยะเวลา อันสั้นก็มีได้
๓. อายุของอสุรกาย ก็ไม่แน่นอนเช่นเดียวกัน ต้องรับกรรมเป็นเวลาช้านาน จนประมาณไม่ได้ก็มี
ทนทุกข์อยู่เป็นเวลาไม่นานนักก็มี แล้วแต่กรรมที่ได้ทำมาแต่ ปางก่อน

๔. อายุของสัตว์ดิรัจฉาน บางอย่างก็น้อยนับวัน เช่น ยุงอายุประมาณ ๗ วัน บางอย่างก็นานนับเป็นร้อยปี
เช่น เต่า อายุประมาณ ๓๐๐ ปี เป็นต้น แล้วแต่เผ่า พันธุ์ นอกจากนั้นแล้ว สัตว์ดิรัจฉานที่มีอายุยังไม่ถึงที่
ควร ก็มีเหตุที่ทำให้ตายได้ หลายประการ เช่น อดอยาก ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เป็นโรคระบาด หรือถูกฆ่า
เป็นต้น ทั้งนี้ไม่แคล้วไปจากกรรมนั้นเลย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2013, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๕. อายุของมนุษย์ กล่าวเฉพาะในชมภูทวีปที่เราท่านอยู่กันนี้ ก็ไม่แน่นอน
ในสุตตันตมหาวัคคพระบาลีว่า บุคคลใดมีอายุยืน ย่อมมีอายุถึง ๑๐๐ ปี
และเกิน กว่า ๑๐๐ ปีไปเล็กน้อย ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึง ๒๐๐ ปี
และในโลกบัญญัติปกรณ์ก็แสดงว่า อายุขัยของมนุษย์กำหนดร้อยปีนี้ เป็นมา
ตั้งแต่สมัยพระเวสสันดร จนถึงสมัยสมเด็จพระสมณโคดมนี้ และนับแต่นั้นมา ๑๐๐ ปี
อายุขัยก็ลดลง ๑ ปี ดังนั้นบัดนี้ (พ.ศ.๒๕๓๘) อายุขัยของมนุษย์จึงลดลงเหลือ
เพียง ๗๕ ปีเท่านั้น ผู้ที่มีอายุยืนเป็นพิเศษ ก็ไม่เกิน ๒ เท่าอายุขัย คือไม่เกิน ๑๕๐ ปี
นอกจากนั้นก็มีอันตรายที่ทำให้ถึงตายไม่น้อยเลย

๖. อายุของเทวดาในจาตุมมหาราชิกาภูมิ เฉพาะวินิปาติกอสุรา, เวมานิก เปรต
เป็นภุมมัฏฐเทวดา(คือเทวดาที่อาศัยพื้นแผ่นดินและต้นไม้อยู่)เหล่านี้ จัดเป็น เทวดาชั้นต่ำ
มีอายุไม่แน่นอนเหมือนกัน ดังมีบาลีแสดงไว้ว่า ภุมฺมเทวานํปิ กมฺมเมว ปมาณํ แปลเป็นใจความว่า
แม้พวกภุมมัฏฐเทวดาทั้งหลาย ก็มีกำหนด อายุไม่แน่นอน กรรมเท่านั้นแหละเป็นประมาณ
ของอายุเทวดาเหล่านั้น เท่าที่กล่าวมาแล้วทั้ง ๖ ข้อนี้ ล้วนแต่เป็นสัตว์ที่มีอายุ
ไม่แน่นอนทั้งนั้น แล้ว แต่บุญทำกรรมแต่ง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2013, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๗. เทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาภูมิ (เว้นเทวดาชั้นต่ำที่กล่าวในข้อ ๖)
มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ เทียบกับปีในมนุษย์ก็เท่ากับ ๙ ล้านปี คิดดังนี้
๑ วันทิพย์ ชั้นจาตุมมหาราชิกา เท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์
๓๐ วันทิพย์ เป็น ๑ เดือนทิพย์ ๕๐x๓๐ = ๑,๕๐๐ ปีมนุษย์
๑๒ เดือนทิพย์ เป็น ๑ ปีทิพย์ ๑,๕๐๐x๑๒ = ๑๘,๐๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๕๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๑๘,๐๐๐x๕๐๐ = ๙,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์

๘. เทวดาชั้นดาวดึงส์ มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์
ในชั้นนี้ ๑ วันทิพย์ เท่ากับ ๑๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์

๙. เทวดาชั้นยามา มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์
ในชั้นนี้ ๑ วันทิพย์ เท่ากับ ๒๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์

๑๐. เทวดาชั้นดุสิต มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์
ในชั้นนี้ ๑ วันทิพย์ เท่ากับ ๔๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์

๑๑. เทวดาชั้นนิมมานรตี มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์
ในชั้นนี้ ๑ วันทิพย์ เท่ากับ ๘๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์

๑๒. เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์
ในชั้นนี้ ๑ วันทิพย์ เท่ากับ ๑,๖๐๐ ปีมนุษย์
ดังนั้น ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ จึงเท่ากับ ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ดังมีคาถาสังคหะเป็นคาถาที่ ๔ แสดงว่า

๔. นวสตญฺเจกวีส วสฺสานํ โกฏิโย ตถา
วสฺสสตสหสฺสานิ สฏฺฐ จ วสวตฺตึสุ ฯ


แปลความว่า เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏกับหกสิบแสนปี (โดยมนุษย์) เป็นประมาณอายุพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์

๑๓. อายุของพรหมนั้น นับเป็นมหากัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจน เหลือที่จะคณานับ แต่ก็มีหลักเกณฑ์ที่ควรจะทราบพอเป็นเค้าไว้ดังนี้
กัปป์ ถือเกณฑ์อายุขัยของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า อายุกัปป์ เหตุนั้นอายุของมนุษย์ สมัยหนึ่ง ๆ นั้น จึงเรียกว่า กัปป์ บางทีก็เรียก กัลป์
อันตรกัปป์ ถือเกณฑ์ของอายุมนุษย์ตั้งแต่สมัยที่อายุยืนที่สุด คือ อสงขัยปี แล้วลดน้อยลงมาตามลำดับจนถึงอายุกัปป์ ๑๐ ปี แล้วกลับค่อย ๆ ขึ้นไปอีกจนถึง อสงขัยปี นับจากอสงขัยปีลงมาจนถึง ๑๐ ปี แล้วนับจาก ๑๐ ปีขึ้นไปจนถึง อสงขัยปี ลงเที่ยวหนึ่ง และขึ้นอีกเที่ยวหนึ่ง เช่นนี้แหละ เรียกว่า ๑ อันตรกัปป์
ครบ ๖๔ อันตรกัปป์ นับเป็น ๑ อสงขัยกัปป์ ครบ ๔ อสงขัยกัปป์ จึงเป็น ๑ มหากัปป์

๑๔. อายุของรูปพรหมในปฐมฌานภูมิ ๓ นั้น ปาริสัชชาพรหม อายุ ๑ ใน ๓ มหากัปป์
ปุโรหิตพรหม อายุกึ่งมหากัปป์ มหาพรหมา มีอายุ ๑ มหากัปป์

๑๕. อายุของรูปพรหมในทุติยฌานภูมิ ๓ นั้น ปริตตาภาพรหม อายุ ๒ มหากัปป์
อัปปมาณาภาพรหม อายุ ๔ มหากัปป์ อาภัสราพรหม อายุ ๘ มหากัปป์

๑๖. อายุของรูปพรหมในตติยฌานภูมิ ๓ นั้น ปริตตสุภาพรหมอายุ ๑๖ มหากัปป์
อัปปมาณสุภาพรหม อายุ ๓๒ มหากัปป์ สุภกิณหาพรหม อายุ ๖๔ มหากัปป์

๑๗. อายุของรูปพรหมในจตุตถฌานภูมิ เฉพาะเวหัปผลาพรหม
และอสัญญ สัตตพรหม มีอายุ ๕๐๐ มหากัปป์ เท่ากันทั้ง ๒ ภูมิ

๑๘. อายุของพรหมอริยในสุทธาวาสภูมิ คือ
อวิหา ๑,๐๐๐ มหากัปป์
อตัปปา ๒,๐๐๐ มหากัปป์
สุทัสสา ๔,๐๐๐ มหากัปป์
สุทัสสี ๘,๐๐๐ มหากัปป์
อกนิฏฐา ๑๖,๐๐๐ มหากัปป์

๑๙. อายุของอรูปพรหม คือ
อากาสานัญจายตนพรหม ๒๐,๐๐๐ มหากัปป์
วิญญาณัญจายตนพรหม ๔๐,๐๐๐ มหากัปป์
อากิญจัญญายตนพรหม ๖๐,๐๐๐ มหากัปป์
เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ๘๔,๐๐๐ มหากัปป์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิสนธิ ภวังค จุติ เป็นจิตเดียวกัน

คาถาสังคหะที่ ๕ ได้กล่าวไว้ว่า

๕. ปฏิสนฺธิ ภวงฺคญฺเจ ตถา จวนมานสํ
เอกเมว ตเถเวก วิสยญฺเจกชาติยํ ฯ


แปลความว่า ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต มีวิสยะ (อารมณ์) อันเดียวกัน
และย่อมเป็น อย่างเดียวกันในชาติหนึ่ง ๆ โดยแท้ หมายความว่า ในภพในชาติเดียวกัน
บุคคลใดปฏิสนธิมาด้วยจิตดวงใด มี อารมณ์อะไร ภวังคจิตของบุคคล ผู้นั้นก็เป็นจิตดวงนั้น
มีอารมณ์อย่างนั้น ตลอดจน จุติจิตของผู้นั้นก็เป็นจิตดวงเดียวกัน มีอารมณ์อย่างเดียวกันกับ
ปฏิสนธิจิตนั่นเอง ไม่ผิดไม่แปลกกันเลย เหมือนกันโดยภูมิ โดยชาติ โดยสัมปยุตต
โดยเวทนา โดยสังขาร ด้วยประการทั้งปวง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ
กรรม คือ อะไรนั้น มีพุทธพจน์ดังปรากฏในอัฏฐสาลินีอรรถกถาว่า

เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา
กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา


แปลเป็น ใจความว่า ภิกษุทั้งหลาย เรา(ตถาคต)กล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม
เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมทำกรรมโดย ทางกาย ทางวาจา และทางใจ
หมายความว่า เจตนา คือ ความตั้งใจกระทำที่เกี่ยวด้วย กาย วาจา ใจ ทั้ง ทางดีและทางชั่ว
นั่นแหละเป็นตัวกรรมและเจตนาที่เป็นกรรม ก็หมายเฉพาะแต่ กรรมในวัฏฏะ อันได้แก่ เจตนา
ในอกุสลจิต ๑๒ และในโลกียกุสลจิต ๑๗ รวม เจตนา ๒๙ จัดเป็นกรรม ๒๙ เท่านั้นเอง เว้น
เจตนาในโลกุตตรกุสล ๔ คือ เจตนา ในมัคคจิต ๔
ที่เว้น เพราะเจตนาในมัคคกรรม ๔ เป็นกรรมที่ตัดวัฏฏะ ตัดความเวียน ว่ายตายเกิดจึงเหลือกรรม
ในวัฏฏะ อันทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพียง ๒๙ เท่านั้น
ส่วนเจตนาในวิบากจิต ๓๖ ก็จัดเป็นกรรมไม่ได้ เพราะเจตนาในวิบากจิต เป็นผลของกรรม
ไม่ใช่ตัวกรรม และเจตนาในกิริยาจิต ๒๐ ก็ไม่จัดเป็นกรรมในที่นี้ เพราะเจตนาในกิริยาจิตนั้นเป็นจิต
ที่สักแต่ว่ากระทำ ไม่เป็นบุญเป็นบาป จึงไม่อาจก่อให้เกิดผลอย่างใดขึ้นมาได้
ดังนั้นจึงไม่จัดเป็นกรรมในที่นี้อีกเหมือนกัน

กรรมจตุกะนี้ ท่านจัดเป็น ๔ พวก คือ
ก. ชนกาทิกิจจ กิจการงานของกรรม มีชนกกรรม เป็นต้น
ข. ปากทาน ลำดับการให้ผลของกรรม
ค. ปากกาล กำหนดเวลาให้ผลของกรรม
ง. ปากฐาน ฐานที่ให้เกิดผลของกรรม
ชนกาทิกิจจก็ดี ปากทานก็ดี และปากกาลก็ดี รวม ๓ จำพวกนี้ เป็นการ
แสดงตาม " สุตตันตนัย " คือตามนัยแห่งพระสูตร อันเป็นการแสดงว่าโดยส่วนมาก
เป็นไปอย่างนั้น ไม่จำกัดลงไปแน่นอนว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป
ส่วนจำพวก ที่ ๔ คือ ปากฐาน เป็นการแสดงตามอภิธัมมนัย คือตามนัยแห่งพระอภิธรรม
อันเป็นการแสดงว่า จะต้องเป็นไปตามหลักนั้น ๆ เสมอไปอย่างแน่นอน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ก. ชนกาทิกิจจ

กิจการงานของกรรม หรือหน้าที่ของกรรมที่จะต้องกระทำอันเรียกว่า ชนกาทิ กิจจนั้น มี ๔ อย่าง คือ
(๑) ชนกกรรม กรรมที่ทำให้เกิด
(๒) อุปถัมภกกรรม กรรมอุดหนุน หรือส่งเสริม
(๓) อุปปีฬกกรรม กรรมที่เบียดเบียน
(๔) อุปฆาตกกรรม กรรมที่ตัดรอน

๑. ชนกกรรม

ชนกกรรม เป็นกรรมที่มีหน้าที่ทำให้เกิดซึ่งวิบากจิต และกัมมชรูป ทั้งในปฏิสนธิกาล และปวัตติกาล

ก. ทำให้วิบากเกิด และกัมมชรูปเกิดในปฏิสนธิกาล ก็ได้แก่ ทำให้เกิดเป็น สัตว์ดิรัจฉาน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นต้น ชนกกรรมที่นำปฏิสนธินี้ ส่วนมาก ต้องเป็นกรรมที่ ครบองค์ กล่าวคือ ถ้าเป็นอกุสลกรรมก็ต้องครบองค์แห่งกัมมบถ ถ้าเป็นกุสลกรรมก็ต้องครบองค์ของเจตนา

ข. ทำให้วิบากจิต และกัมมชรูปเกิดในปวัตติกาล ก็ได้แก่ ทำให้เกิดตา หู จมูก และอวัยวะน้อยใหญ่
ตลอดจนการให้เห็น การได้ยิน เป็นต้น กรรมที่นำให้ เกิดในปวัตติกาลนี้ จะเป็นกรรมที่ครบองค์แห่ง
กัมมบถหรือไม่ก็ตาม ย่อมให้ผลได้ ทั้งนั้น
วิมาน อันเป็นที่อยู่ของเทวดา ของพรหม หรือไฟและเครื่องทรมานพวก สัตว์นรก ก็จัดเป็น
กัมมปัจจยอุตุชรูป ที่เกิดจากชนกกรรมด้วยเหมือนกัน
ชนกกรรมที่ทำให้เกิดวิบากจิต และกัมมชรูปนี้ ได้แก่ อกุสลกรรม ๑๒ และ โลกียกุสลกรรม ๑๗

๒. อุปถัมภกกรรม

อุปถัมภกกรรม คำบาลีว่า อุปัตถัมภกกัมม เป็นกรรมที่มีหน้าที่อุดหนุน หรือ ส่งเสริมกุสลกรรม
และ อกุสลกรรม การอุดหนุน ส่งเสริมนั้น อุดหนุนส่งเสริมทั้งในทางดี และทางชั่ว กล่าวคือ
ในทางดีก็ส่งเสริมให้กุสลกรรมส่งผลให้ดียิ่งขึ้น ในทางชั่วก็ส่งเสริมให้อกุสลกรรม ส่งผลให้เลวร้าย
ต่ำทรามมากลง
อุปถัมภกกรรมนี้ มีอัตถาธิบายอย่างพิศดารมากมาย แต่พอสรุปได้เป็น ๓ ประการ คือ

(ก) ช่วยอุดหนุนส่งเสริมชนกกรรมที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสส่งผล
(ข) ช่วยอุดหนุนส่งเสริมชนกกรรมที่กำลังให้ผลอยู่นั้น ให้มีกำลังในการให้ ผลนั้นยิ่งขึ้น
(ค) ช่วยอุดหนุนรูปนามที่เป็นวิบากของชนกกรรมให้เจริญ และตั้งอยู่ได้นาน
อุปถัมภกกรรมที่มีหน้าที่อุดหนุนส่งเสริมนี้ ได้แก่ อกุสลกรรม ๑๒ และ มหากุสลกรรม ๘ เท่านั้น
สำหรับมหัคคตกุสลกรรม ๙ นั้น มีหน้าที่เป็นชนกกรรมนำให้ปฏิสนธิเป็น พรหม บุคคลในพรหมภูมิ
แต่อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีหน้าที่อุปถัมภ์ คือ อุดหนุน ส่งเสริมกรรมอื่น ๆ แต่อย่างใดเลย เมื่อมหัคคต
กุสลกรรม ๙ ไม่มีโอกาสได้ส่งผลให้ปฏิสนธิแล้ว ก็เป็นอโหสิกรรมไป ไม่มีฐานะที่จะเป็นอุปถัมภกกรรมได้

๓. อุปปีฬกกรรม

อุปปีฬกกรรม เป็นกรรมที่มีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่น ๆ และรูปนามที่เกิด จากกรรมอื่น ๆ นั้น
มีความหมายเป็น ๒ นัย คือ
๑. เป็นกรรมที่เบียดเบียนชนกกรรมอื่น ๆ ที่มีสภาพตรงข้ามกับตน มีชื่อ เรียกว่า กัมมันตรอุปปีฬก
๒. เป็นกรรมที่เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้น ๆ มีชื่อเรียกว่า กัมมนิพพัตตขันธสันตาน
อุปปีฬกรรม การเบียดเบียนนี้ เมื่อสรุปแล้ว ก็มี ๓ ประการ คือ
(ก) เบียดเบียน ขัดขวางชนกกรรม เพื่อไม่ให้มีโอกาสได้ส่งผล
(ข) เบียดเบียนชนกกรรมที่มีโอกาสส่งผลอยู่แล้ว ให้มีกำลังลดน้อยถอยลง ได้ผลไม่เต็มที่
(ค) เบียดเบียน ผลที่ได้รับอยู่ คือ รูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้นให้เสื่อม ถอย ไม่ให้เจริญต่อไป
หรือไม่ให้ตั้งอยู่ได้นาน

อุปปีฬกกรรมนี้ก็ได้แก่อุปถัมภกกรรมนั่นเอง คืออกุสลกรรมอุดหนุนส่งเสริม อกุสลกรรมให้มีกำลังกล้าแข็งขึ้นเพียงใด ก็ย่อมเป็นการเบียดเบียนกุสลกรรม (อัน มีสภาพตรงกันข้ามกับอกุสลกรรม) นั้น ให้กุสลกรรมมีกำลังลดน้อยถอยลงเพียงนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อกุสลกรรมอุปถัมภ์อกุสลกรรมให้ได้ส่งผล ก็เป็นการเบียด เบียนขัดขวางไม่ให้กุสลกรรมได้โอกาสส่งผลไปในตัว ดังนั้น องค์ธรรมของอุปปีฬก กรรม จึงได้แก่ อกุสลกรรม ๑๒ และ มหากุสลกรรม ๘ เหมือนกับของอุปถัมภก กรรม
สำหรับมหัคคตกุสลกรรม ๙ เป็นกรรมที่ไม่นับว่าเป็นอุปปีฬกกรรม ไม่นับว่า เป็นกรรมที่เบียดเบียนขัดขวางอกุสลกรรม แต่จัดเป็นกรรมตัดรอนอกุสลกรรม คือ จัดเป็นอุปฆาตกกรรมเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่เบียดเบียนกีดกัน แต่ข่มไว้จนอยู่มือ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๔. อุปฆาตกกรรม

อุปฆาตกกรรม เป็นกรรมที่มีหน้าที่ตัดรอนกรรมอื่น ๆ และวิบากของกรรม อื่นนั้นให้สิ้นลง
เป็นการตัดให้ขาดสะบั้นไปเลย
การตัดรอนของอุปฆาตกกรรม เมื่อสรุปแล้วก็มี ๔ ประการ คือ

(ก) กุสลอุปฆาตกกรรม ตัดรอนกุสลชนกกรรม และรูปนามที่เป็นกุสลวิบาก เช่น ผู้เจริญสมถภาวนาจนถึงรูปาวจรปัญจมฌานกุสล เมื่อตายไปก็ไปบังเกิดเป็น จตุตถฌานพรหมตัดรอนไม่ให้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน มีโอกาสให้ ผล เป็นต้น

(ข) กุสลอุปฆาตกกรรม ตัดรอนอกุสลชนกกรรม และรูปนามที่เป็นอกุสล วิบาก เช่น พระองคุลิมาล
ฆ่าคนเป็นจำนวนมากมาย น่าที่จะต้องตกนรกแน่นอน แต่เมื่อได้กลับใจมาเจริญภาวนาจนถึงอรหัตตมัคค อรหัตตผลด้วยอำนาจเพียงโสดา ปัตติมัคคจิต ก็เป็นกุสลอุปฆาตกกรรม ตัดรอนอกุสลชนกกรรมเหล่านั้น
ได้หมดสิ้น ไม่ให้มีโอกาสได้ส่งผลให้ไปตกนรกได้ตลอดไปเลย เป็นต้น

(ค) อกุสลอุปฆาตกกรรม ตัดรอนอกุสลกรรมชนกกรรม และรูปนามที่เป็น อกุสลวิบาก ตัวอย่างเช่น เกิด
เป็นสุนัข ซึ่งเป็นอกุสลวิบากแล้วยังกลับมาถูกรถทับ ตายอีก การถูกรถทับก็เป็นอกุสลกรรมที่ตามมาทัน โดยทำหน้าที่เป็นอุปฆาตกกรรม ทำให้รูปนามขาดสะบั้นไปเลย

(ง) อกุสลอุปฆาตกกรรม ตัดรอนกุสลชนกกรรม และรูปนามที่เป็นกุสล วิบาก เช่น พระเทวทัตเป็นผู้ที่
ได้ฌานอภิญญา แต่ต่อมาได้กระทำโลหิตุปปาท และ สังฆเภทกกรรมอีกด้วยอันเป็นอนันตริยกรรม ดังนั้นอนันตริยกรรม จึงเป็นอุปฆาตก กรรมตัดรอนมหัคคตกุสลกรรมเสียสิ้นเชิง จนต้องไปเกิดในนรก ดังนี้เป็นต้น
อุปฆาตกกรรม อันมีหน้าที่ตัดรอนกรรมอื่น ๆ ให้ขาดสะบั้นไปนั้น ก็ได้แก่ อกุสลกรรม ๑๒ และ กุสลกรรมทั้ง ๒๑

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ข. ปากทาน

ลำดับการให้ผลของกรรมเรียกว่า ปากทาน อันมาจาก คำเต็มว่า
ปากทาน ปริยาย ปาก(ปฏิสนธิ) + ทาน(การให้) + ปริยาย(ลำดับหรือวาระ)
มีความหมาย ว่า กรรมที่ให้ผลปฏิสนธิตามลำดับ กล่าวเฉพาะการให้ผลในชาติที่ ๒ คือ
ชาติที่ต่อ จากปัจจุบันชาตินี้ เพียงชาติเดียวเท่านั้น
ปากทาน คือ ลำดับการให้ผลของกรรมนั้น มี ๔ อย่าง ได้แก่
(๑) ครุกรรม กรรมหนัก
(๒) อาสันนกรรม กรรมที่กระทำใกล้ตาย
(๓) อาจิณณกรรม กรรมที่กระทำเสมอเป็นเนืองนิจ
(๔) กฏัตตากรรม กรรมเล็กน้อย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ครุกรรม

ครุกรรม คือ กรรมที่หนัก มีความหมายว่า เป็นกรรมที่แรง เป็นกรรมที่มี กำลังมาก
ต้องส่งให้ได้รับผลก่อนกรรมอื่น ๆ ทั้งนั้น กล่าวคือ ถ้าเป็นฝ่ายกุสล ก็มี ผลานิสงส์(ผลดี)
ให้คุณหนักมาก เป็นฝ่ายอกุสลก็มีอาทีนพะ (ผลชั่ว) ให้โทษหนัก มาก ถึงกับกรรมอื่น ๆ
ไม่สามารถที่จะตัดขัดขวาง หรือยับยั้งได้ ครุกรรมเป็นต้อง ให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ
และให้ผลในชาติที่ ๒ แน่นอน

กรรมที่จัดเป็นครุกรรมนี้ มีทั้งที่เป็นอกุสลครุกรรม และกุสลครุกรรม คือ

(ก) ทิฏฐิคตสัมปยุตตจิต ๔ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจ นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม อันมีอยู่ ๓ คือ
นัตถิกทิฏฐิ เห็นว่าทำอะไรก็ตาม ผลที่ได้รับย่อมไม่มี(ไม่เชื่อผล)
๑, อเหตุกทิฏฐิ เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็นไปอยู่นั้น ไม่ได้อาศัยเนื่องกันมาจาก
เหตุอย่างใด (ไม่เชื่อเหตุ) ๑, และ อกริยทิฏฐิ เห็นว่าการกระทำต่าง ๆ ของสัตว์ ทั้งหลายนั้น
ไม่เป็นบุญเป็นบาปอย่างใดเลย (ไม่เชื่อทั้งเหตุทั้งผล) อีก ๑

(ข) โทสมูลจิต ๒ ที่เป็นปัญจานันตริยกรรม คือฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่า พระอรหันต์
ทำให้พระพุทธเจ้า ถึงกับห้อพระโลหิตและสังฆเภท สังฆเภทกกรรม หนักกว่าเพื่อน
สมมุติว่ามีผู้ทำปัญจานันตริยกรรมครบ ๕ อย่าง สังฆเภทกกรรม จะเป็นผู้ส่งผลแก่ผู้นั้น
ส่วนกรรมที่เหลืออีก ๔ ก็ทำหน้าที่สนับสนุนในการให้ผล ของสังฆเภทกกรรม

(ค) มหัคคตกุสลกรรม ๙ ฌานที่สูงมีคุณธรรมมากกว่าฌานต่ำ ฌานสูงจึงให้ ผล
เมื่อฌานสูงให้ผลแล้ว ฌานที่ต่ำก็หมดโอกาสที่จะให้ผล กลายเป็นอโหสิกรรมไป
ไม่มีหน้าที่แม้แต่จะอุดหนุนส่งเสริมฌานที่สูงกว่าให้ผลนั้น ดังที่ได้กล่าวแล้วในตอน
อุปถัมภกกรรม
อนึ่ง โลกุตตรกุสลกรรม ๔ นั้น ก็เป็นครุกรรมเหมือนกัน แต่ไม่กล่าวในที่นี้ ด้วย เพราะว่า
ในที่นี้กล่าวเฉพาะกรรมที่ส่งผลให้เกิดในชาติที่ ๒ เท่านั้น โลกุตตร กุสลกรรมไม่มีหน้าที่ให้เกิด
มีหน้าที่แต่จะทำลายการเกิดตามควรแก่กำลังของตน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๒. อาสันนกรรม

อาสันนกรรม คือ กรรมที่ได้กระทำในเวลาใกล้จะตาย กระชั้นชิดกับเวลาตาย หมายความว่า
ในเวลาใกล้ตายได้กระทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ชั่ว หรือแม้แต่ระลึกถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ชั่ว ก็เรียกว่า เป็นอาสันนกรรม
มีอำนาจส่งให้ได้รับผลได้ทั้งนั้น กุสลอาสันนกรรม มีอำนาจส่งให้ได้รับผลที่เป็นสุคติ
อกุสลอาสันนกรรมก็มี อำนาจส่งให้ได้รับผลที่เป็นทุคคติ

อาสันนกรรมนี้ จะส่งให้ได้รับผลก่อนตายก็ต่อเมื่อไม่มีครุกรรม หมายความว่า บุคคลใดไม่เคย
ได้กระทำครุกรรม มีแต่อาสันนกรรมนี้ อาสันนกรรมก็ให้ผลก่อน อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม
อาสันนกรรม ก็ได้แก่ อกุสลกรรม ๑๒ (เว้นนิยตมิจฉาทิฏฐิ และปัญจา นันตริยกรรม) และ
มหากุสลกรรม ๘
สำหรับมหัคคตกุสลกรรม ๙ ไม่จัดเข้าเป็นอาสันนกรรม เพราะเป็นครุกรรม แต่ฝ่ายเดียว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๓. อาจิณณกรรม

อาจิณณกรรม คือ กรรมที่กระทำเสมอเป็นเนืองนิจ เป็นการสั่งสมไว้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น
การกระทำทางกาย ทางวาจา หรือแม้แต่ครุ่นคิดทางใจ ทั้งทางที่เป็น กุสล และอกุสล
ตลอดจนการกระทำเหล่านั้นจะเป็นอาชีพหรือไม่ก็ตาม ถ้าได้ทำอยู่ เนือง ๆ แล้ว ก็นับว่า
เป็นอาจิณณกรรมทั้งนั้น
อาจิณณกรรมนี้ ตามปกติก็ให้ผลในปวัตติกาล เว้นแต่เมื่อบุคคลผู้ใกล้จะตาย
ไม่เคยได้กระทำครุกรรม และไม่มีอาสันนกรรมแล้วอาจิณณกรรมนี้จึงจะส่งให้ได้รับ ผล
ในชาติที่ ๒ ไปเกิดเป็นเทวดา มนุษย์ หรืออบายสัตว์ ตามควรแก่กรรมของตน
กรรมที่ทำเสมอ ๆ คืออาจิณณกรรมนี้ ก็ได้แก่อกุสลกรรม ๑๒ และมหากุสล กรรม ๘ เท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๔. กฏัตตากรรม

กฏัตตากรรม คือ กรรมเล็กน้อย มีความหมายถึงกรรม ๒ ประการ คือ

ประการที่ ๑ หมายถึง กรรมที่กระทำในภพนี้ แต่ว่าการกระทำอกุสลกรรม นั้นไม่ครบองค์แห่งกัมมบถ
หรือกุสลกรรมนั้นไม่ครบองค์แห่งเจตนา จึงไม่เข้าถึงซึ่ง ความเป็นครุกรรม อาสันนกรรม หรืออาจิณณกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด

ประการที่ ๒ หมายถึง กรรมที่ได้กระทำมาแล้วในภพก่อน ๆ ซึ่งได้แก่ อปราปริยเวทนียกรรม
อันคอยติดตามจะส่งให้ผลเกิดอยู่

เมื่อกรรมทั้ง ๓ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือ ครุกรรม อาสันนกรรม อาจิณณ กรรมไม่มีที่จะให้ผลแล้ว
ก็กฏัตตากรรมนี้แหละจึงจะเป็นผู้ให้ผลปฏิสนธิเป็นเทวดา มนุษย์ หรืออบายสัตว์ ตามกรรมของตน
สัตว์ทั้งหลายที่จะไม่มีกฏัตตากรรมนั้นหาไม่ได้เลย อย่างไรเสียก็จะต้องมีเป็นแน่ กฏัตตากรรมก็ได้แก่
อกุสลกรรม ๑๒ มหากุสลกรรม ๘

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ค. ปากกาล

ปากกาล กำหนดเวลาให้ผลของกรรม หมายความว่ากรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำ
นั้นจะสนองผลให้เมื่อใด จะเป็นในชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไป คราวหรือ
วาระที่กรรมจะให้ผลนั้น จำแนกเป็น ๔ อย่าง คือ

(๑) ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม สนองผลในชาติปัจจุบัน
(๒) อุปปัชชเวทนียกรรม สนองผลในชาติที่ ๒
(๓) อปราปริยเวทนียกรรม สนองผลในชาติที่ ๓ เป็นต้นไป
(๔) อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ไม่สนองผล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เป็นกรรมที่สนองผลในปัจจุบันชาติ คำว่า ทิฏฐธรรม หมายความว่า ผลที่ได้
ประจักษ์แก่ตน เวทนีย แปลว่า การเสวยต่อผลนั้น รวม หมายความว่า ได้เสวยผลที่ประจักษ์แก่ตน
ในภพนี้ชาตินี้

การได้เสวยผลของกรรมประจักษ์แก่ตนในภพนี้ในชาติปัจจุบันนี้ ก็คือ กรรม ที่ได้กระทำในภพนี้
นั่นแหละให้ผลในปวัตติกาลในชาตินี้นั่นเอง ไม่ติดตามข้ามภพ ข้ามชาติไปให้ผลในชาติที่ ๒
หรือชาติต่อ ๆ ไปได้อีก
เมื่อได้กระทำกรรมลงไปแล้ว และได้ผลภายใน ๗ วัน เรียกว่า ปริปักกทิฏฐ ธรรมเวทนียกรรม
แต่ถ้าได้ผลภายหลัง ๗ วันไปแล้วเรียกว่า อปริปักกทิฏฐธรรม เวทนียกรรม
ตัวอย่างเช่น มหาทุคคตะได้ถวายภัตตาหารแก่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า และ นายปุณณะกับภริยา
ซึ่งเป็นคนยากจน ได้ถวายภัตตาหารแก่พระสารีบุตร ต่างก็ ร่ำรวย เป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน

พระเทวทัตที่กระทำโลหิตุปบาท กระทำสังฆเภทกกรรมก็ดี นันทมานพที่ ทำลายพระอุบลวัณณาเถรี
ผู้เป็นพระอรหันต์ก็ดี โกกาลิกพราหมณ์ที่บริภาษพระอัคร สาวกทั้ง ๒ ก็ดีต่างก็ถูกธรณีสูบ เหล่านี้
ล้วนแต่เป็น ปริปักกทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ทั้งนั้น
ส่วนอปริปักกทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้นทางกุสลก็ได้รับผลคือ เกียรติคุณแพร่ หลายมีบุญญาภินิหาร
และได้รับความยกย่องสรรเสริญ ในทางอกุสลก็ตรงกันข้าม
อนึ่ง ในธรรมบทอรรถกถาแสดงว่า ที่จะได้รับผลสนองเป็นปริปักกทิฏฐธรรม เวทนียกรรมนั้น
ต้องถึงพร้อมด้วยสัมปทาทั้ง ๔ คือ

๑. เจตนาสัมปทา มีเจตนาอันแรงกล้ายิ่งในการทำกุสลนั้น
๒. ปัจจยสัมปทา ปัจจัยที่ทำกุสลนั้นได้มาด้วยความบริสุทธิ์
๓. วัตถุสัมปทา บุคคลที่รับทานนั้นเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์
๔. คุณติเรกสัมปทา พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ที่รับทานนั้น ถึงพร้อม ด้วยคุณอันพิเศษ
คือ เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ

การได้รับผลในชาตินี้ ที่เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนี้ ด้วยอำนาจของ เจตนาในกุสลชวนกรรม
หรือกุสลชวนกรรมดวงที่ ๑ ในชวนะ ๗ ดวง ของแต่ละ วิถี แต่ว่าถ้าเจตนากรรมในชวนะดวงที่ ๑
ไม่มีโอกาสให้ผลแล้ว ก็เป็นอโหสิกรรม แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของเจตนากรรมในชวนะ ดวงที่ ๗
จะให้ผลในชาติที่ ๒ หรือ เป็นหน้าที่ของเจตนากรรมในชวนะดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๖ จะให้ผล
ในชาติที่ ๓ เป็นต้นไป ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างอื่น ดังจะกล่าวต่อไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron