วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2023, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1687160305965.jpg
FB_IMG_1687160305965.jpg [ 69.84 KiB | เปิดดู 569 ครั้ง ]
๒. นามรูปปัจจยปริคคหญาณ
การค้นหาเหตุของรูปนาม

ปัญญาที่กำหนดรู้เหตุปัจจัยของรูปนามตามความเป็นจริงนั้นผู้ปรารถนาบรรลุ
กังขาวิตรณวิสุทธิควรค้นหาเหตุปัจจัยของรูปนาม อุปมาเหมือนนายแพทย์
ชาญฉลาดเมื่อพบโรคแล้วก็ค้นหาสมุฏฐานของโรคนั้นต่อไป หรือเหมือนบุรุษที่มี
เมตตาเมื่อพบเห็นทารกนอนแบเบาะอยู่ในตรอกจึงรำพึงว่า เด็กนี้เป็นถูกของใครหนอ

รูปนามเป็นสภาวธรรมที่มีเหตุ จะบังเกิดโดยไม่มีเหตุมีได้ จะกล่าวว่าหตุของ
รูปนาม คือ เทพเจ้านั้น ก็ไม่เป็นจริง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะนอกไปจากรูปนามนั้น
ไม่มี หรือจะกล่าวว่า รูปนามก็คือเทพเจ้า แม้กล่าวอย่างนี้รูปนามก็คงต้องมีเทตุอยู่
นั่นแหละ

เมื่อจักคันหาเหตุของรูปนามก็ควรพิจารณาเหตุของรูปกายก่อนว่า กายนี้มิได้
เกิดในดอกบัวชนิดต่างๆ มิได้เกิดในแก้วมณีต่างๆ หากแต่เกิดขึ้นระหว่างกระเพาะ
อาหารใหม่และเก่า ด้านหลังเป็นพื้นท้อง ด้านหน้าเป็นกระดูก ล้อมรอบด้วยไส้ใหญ่
และไส้น้อยเต็มไปด้วยของปฏิกูล กลิ่นเหม็นดุจตัวหนอนที่เกิดขึ้นในขนมบูด น้ำครำ
หลุมโสโครก

รูปธรรมนี้มีเหตุมีปัจจัยให้เกิดขึ้น ๕ อย่างคือ อวิชชา ๑ ตัณหา ๑ อุปาทาน
๑ กรรม ๑ อาหาร ๑ ก็ธรรม ๔ อย่างคือ อวิชชา ๑ ตัณหา ๑ อุปาทาน ๑ กรรม
จัดเป็นเหตุ เพราะเป็นตัวทำให้เกิด อาหารจัดเป็นปัจจัยเพราะเป็นตัวอุปถัมภ์ อนึ่ง
ในธรรม ๕ นั้น ท่านจัดดังนี้ คือ
อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นที่อาศัยของรูป เปรียบเหมือนมารดาเป็น
อาศัยของทารก

กรรม เป็นผู้ให้เกิด เปรียบเหมือนบิดาเป็นผู้ทำให้บุตรเกิด
อาหาร เป็นผู้ค้ำจุนให้รูปกายนี้ดำรงอยู่ เปรียบเหมือนพี่เลี้ยงคอยอุ้มชูทารก
เมื่อกำหนดเหตุปังจัยของรูปได้ดังนี้แล้ว จึงกำหนดเหตุปัจจัยของนามต่อไป
ว่า - จักขุวิญญาณจิตอาศัยจักขุปสาท และรูปารมณ์เกิดขึ้นดังนี้เป็นต้น เมื่อเห็นเหตุ
ปัจจัยของรูปนามตามความเป็นจริงเนืองๆ เสมอว่ารูปนามในปัจจุบันก็มีเหตุปัจจัย
เช่นนี้ แม้ในอดีตและอนาคตก็มีเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน เมื่อทราบดังนี้ก็สามารถ
ละความสงสัย ๑๖ อย่างได้ที่เกี่ยวกับกาล ๓ เสียได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2023, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1687160341255.jpg
FB_IMG_1687160341255.jpg [ 67.55 KiB | เปิดดู 464 ครั้ง ]
เหตุปัจจัยของรูปนามตามนัยอภิธรรม

เหตุปัจจัยของนามมี ๒ อย่างคือ ๑. สาธารณปัจจัย ๒. อสาธารปัจจัย
คือ ทวาร ๓ และอารมณ์ 6 เป็นสาธารณปัจจัยของนามเพราะเป็นไปแก่นามทุกประเภท
ส่วนธรรมอื่นๆ มี มนสิการเป็นต้น เป็นอสาธารณปัจจัยของนามเพราะเป็นไปเฉพาะ
นามเท่านั้นเช่น โยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัยแก่นามที่เป็นกุศล และอโยนิโสมนสิการ
เป็นปัจจัยแก่นามที่เป็นอกุศล กรรมเป็นปัจจัยแก่นามที่เป็นวิบาก และธรรมมีภวังค์
เป็นต้น เป็นปัจจัยแก่นามที่เป็นกิริยา

กรรม จิต อุตุ และอาหาร เป็นเหตุปัจจัยของรูป กรรมที่เป็นอดีตเท่านั้น
ที่เป็นสมุฏฐานของกัมมชรูป จิตเป็นเหตุปัจจัยของจิตตชรูป
อุตุชรูป อาหารเป็นเหตุปัจจัยของอาหารชรูป ในปวัตติกาลเมื่อพิจารณาถึงเหตุปัจจัย
ของรูปนามอยู่ดังนี้เรื่อยไป ก็ทำให้ทราบว่ารูปนามในอดีตหรืออนาดตก็จะเป็นไป
เช่นนี้ และสามารถละความสงสัย ๑๖ ประการได้

การกำหนดรู้เหตุปัจจัยของรูปนามทางปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลม

เมื่อเห็นความชราและแตกดับของสังขารคือ มรณะ แล้วก็พิจารณาว่า ชรา
มรณะเกิด เพราะมีชาติ, ชาติเกิดมีเพราะมีภพ, ภพมีเพราะมีอุปาทาน, อุปาทานมี
เพราะมีตัณหา, ตัณหามีเพราะมีเวทนา, เวทนามีเพราะมีผัสสะ, ผัสสะมีเพราะอายตนะ
๖, อายตนะ ๖ มีเพราะมีรูปนาม, รูปนามมีเพราะมีวิญญาณ, วิญญาณมีเพราะมีสังขาร,
สังขารมีเพราะมีอวิชชา, ก็จะละความสงสัยได้ นี้เป็นการพิจารณาโดยปฏิโลมแต่จะ
พิจารณาโดยอนุโลมก็ได้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ฯลฯ เพราะชาติ
เป็นปัจจัย จึงเกิดชรา มรณะ ก็จะละความสงสัยได้เช่นกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2023, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


การกำหนดรู้เหตุปัจจัยของรูปนามทางกรรมและวิบาก
ธรรม ๕ อย่าง ในภพก่อนคือ อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และกัมมภพ
เป็นเหตุปัจจัยของปฏิสนธิในภพนี้
ปฏิสนธิในภพนี้ใด้แก่ วิญญาณ รูปนาม สพายตนะ ผัสสะ และเวทนา
เป็นผลของกรรมที่ทำไว้ในภพก่อน
เมื่ออายตนะทั้งหลายแก่กล้าแล้วในภพนี้ ธรรม ๕ อย่างคือ ตัณหา อุปาทาน
กัมมภพ อวิซชา และสังขาร ก็เป็นเหตุปังจัยของปฏิสนธิไนภพต่อไป

รูปนาม ก็คือ ผลแห่งกรรม เพราะฉะนั้นเหตุปังจัยของรูปนาม ก็คือ กัมมวัฏ
นั่นเอง เมื่อพิจารณาเหตุปัจจัยของรูปนามโดยกัมมวัฏและวิปากวัฏดังนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า
รูปนามในขณะนี้เป็นไปด้วยเหตุปัจจัยแม้ในอดีตและอนาคตก็เป็นไปเช่นเดียวกัน อีกทั้ง
กรรมและวิบากของกรรม, กัมมวัฏและวิปากวัฏ, ความเป็นไปของกรรมและความเป็น
ไปของวิบาก, ความสืบต่อของกรรมและความสืบต่อของวิปากทั้งกิริยา อนันตรปัจจัย)
และผลของกิริยา (อนันตรปัจยุปบัน) ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน

กมฺมวิปากา วตฺตนฺติ วิปาโก กมฺมสมฺภโว
กมฺมา ปุนพฺภโว โหติ. เอวํ โลโก ปวตฺตติ

วิปากทั้งหลาย เป็นไปเพราะกรรม วิบากเกิดขึ้นจาก
กรรม และภพใหม่ก็เกิดขึ้นจากกรรม โลกหมุนเวียนอยู่
ด้วยกรรมและวิบาก อย่างนี้
เมื่อพิจารณาถึงเหตุปัจจัยของรูปนามทางกรรมและวิบากอยู่เนืองๆ ความ
สงสัย ๑๖ อย่างเป็นต้นว่าข้าพเจ้าได้มีมาแล้วหรือ ? ก็จะหมดไปได้ คงปรากฎมีอยู่
แต่รูปนาม ที่เป็นไปในภพ ๓ โยนิ ๔ คติ ๕ ฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ เท่านั้นที่เป็น
ไปด้วยความสัมพันธ์ของเหตุและผล มิได้มีผู้สร้าง และผู้เสวยแต่อย่างใดเมื่อเห็นได้
อย่างนี้ชื่อว่าเห็นด้วยปัญญาอันชอบ แต่เมื่อมีเหตุและผลบัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าว
กันเพียงเพื่อให้หมายรู้ร่วมกันว่า "มีผู้สร้าง" "มีผู้เสวย" ฉะนั้นท่านผู้รู้แต่โบราณจึง
กล่าวว่า
กมฺมสฺส การโก นตฺถิ. วิปากสฺส จ เวทโก
สุทฺธธมฺมา ปวตฺตนฺติ. เอเวตํ สมฺมทสฺสนํ

ผู้สร้างกรรมไม่มี และผู้เสวยผลก็ไม่มี ธรรมะล้วนๆ เป็นไป
อย่างเดียวเท่านั้นนี่เป็น สัมมทัสสนะ (ความเห็นชอบ)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 53 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร