วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 18:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2015, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 62.81 KiB | เปิดดู 3164 ครั้ง ]
สังขาร ๓
มหากุศลจิต ๘ รูปาวจรกุศลจิต ๕ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร
อกุศลจิต ๑๒ ได้แก่ อปุญญาภิสังขาร
อรูปกุศลจิต ๔ ได้แก่ อเนญชาภิสังขาร

กุศลกรรม ๘ ให้ผล ๑๖ พรุ่งนี้จะมาอธิบายให้ฟังโปรดติดตามตอนต่อไปครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2015, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 28.62 KiB | เปิดดู 3091 ครั้ง ]
เจตนาเจตสิก เป็นครื่องชี้และกระตุ้นเตือนให้เกิดกรรมและวิบาก
ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกรรม ๒๙ (กามาวจรกรรม ๒๐ ที่เป็นกุศลและอกุศล มหัคคตกุศล ๙)
และวิบาก ๓๒ (อเหตุจิต ๑๕ มหาวิบาก ๘ มหัคคตวิบาก ๙) (ดูภาพประกอบ)

กรรมย่อมปรากฏทางทวาร ๓ ได้แก่ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร
วิบากย่อมปรากฏทางทวาร ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อกุศลกรรมในกามภูมิ ได้อาศัยปัจจัยนั้นๆ (มีความบริบูรณ์แห่งกาลเป็นต้น) ย่อมมีผล
หลากหลาย โดยความเป็น (โสมนัส อุเบกขา สเหตุกจิต อเหตุกจิต อสังขาริก และสสังขาริก)
ในปฏิสนธิกาล และในปวัตติกาล กรรม ๘ อย่างให้ผล ๑๖ อย่าง

พระพุทธองค์ทรงแสดงปฏิสนธิหนึ่งในเจตนา ที่เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม
และอปราปริยเวทนียกรรมปฏิสนธิต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมต่างกัน กรรมในติเหตุกะ(มีเหตุ ๓)
ย่อมให้ผล เป็นติเหตุกะ(มีเหตุ ๓) ทวิเหตุกะ(มีเหตุ ๒) และอเหตุกะ(ไม่มีเหตุ)

กรรมที่เป็นทวิเหตุกะ กรรมนั้นย่อมจะไม่ให้ผลเป็นติเหตุกะ(เหตุ๓) แต่จะให้ผลของตน
เป็นทวิเหตุกะ(เหตุ๒) และอเหตุกะ(ไม่มีเหตุ)

ปฏิสนธิที่เป็นติเหตุกะย่อมเกิดขึ้นด้วยกรรมที่เป็นติเหตุกะ แม้แต่ปฏิสนธิทวิเหตุกะ
ก็เกิดขึ้นได้ด้วย แต่ปฏิสนธิเป็อเหตุกะย่อมไม่มี

ปฏิสนธิที่เป็นทวิเหตุกะ ย่อมเกิดขึ้นด้วยกรรมที่เป็นเป็นทวิเหตุกะ
แม้แต่ปฏิสนธิที่เป็นอเหตุกะก็เกิดขึ้นได้ แต่ปฏิสนธิที่เป็นติเหตุกะย่อมไม่มี

กรรมที่เป็นอสังขาร ย่อมให้ผลที่เป็นอสังขารและสสังขาร
เช่นเดียวกันนี้ กรรมที่เป็นสสังขาร ย่อมให้ผลที่เป็นอสังขารและสสังขาร
เจตนาดวงหนึ่งก่อให้เกิดวิปากจิต ๑๖ ดวง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 19.07 KiB | เปิดดู 3095 ครั้ง ]
เจตนา ๘ อย่างในมหากุศลจิต ที่ชื่อว่า ปุญญาภิสังขาร ในกามภูมิ
เป็นปัจจัย ๒ อย่างคือโดย นานาขณิกกรรมปัจจัย และ อุปนิสสยปัจจัย (สุคติปฏิสนธิ)
วิปากจิต ๙ ดวงที่เป็นอเหตุกะ คือ
กุศลวิบากอุเบกขาสันตีรณจิต ๑ และสเหตุกะ คือ มหาวิปากจิต ๘
ในปฏิสนธิกาลในกามภูมิ

อธิบาย นานาขณิกกรรมปัจจัย
(นานักขณิกกัมมปัจจัย เมื่อขณะกระทำทุจจริตก็ดี สุจริตก็ดี เจตนาที่เกิดพร้อมกับอกุสลจิตหรือกุสล
จิตนั้น เป็นสหชาตกัมมปัจจัย ครั้นอกุสลจิตหรือกุสลจิตพร้อมด้วยเจตนานั้น ๆ ดับ ไปแล้ว
เจตนานั้นก็มีสภาพกลับกลายเป็น นานักขณิกกัมมปัจจัย มีอำนาจหน้าที่ ให้บังคับผลแก่ผู้นั้นในอนาคตกาล
ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้งในปวัตติกาล และ ปฏิสนธิกาล

นานักขณิกกรรม ที่เป็นกุสล อกุสลนั้น มีอยู่ในสันดานด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อ ขณะที่จะส่งผลให้ปรากฏขึ้น
ย่อมอาศัย กาล คติ อุปธิ และ ปโยคะ เป็นเครื่อง ประกอบด้วย)


อธิบายอุปนิสสยปัจจัย
ธรรมที่เป็นกุศลก่อน ๆ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งธรรมที่เป็นกุศลหลัง ๆ โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยโดยสืบต่อกันมา. ต่อจากนี้มีข้อความคล้ายกับข้อ ๔ ต่างแต่เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย . แม้บุคคลก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา . แม้เสนาสนะก็เป็นปัจจัย โดยฐานะเป็นอุปนิสสยปัจจัย คือเป็นเครื่องสนับสนุนที่เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา .

คำว่า นิสสยปัจจัย กับ อุปนิสสยปัจจัย มีคำใกล้กัน นิสสย แปลว่า เป็นที่อาศัย อุปนิสสยะ แปลว่า ใกล้จะเป็นที่อาศัย แต่แปลหักตามเนื้อหาว่า เป็นที่อาศัยสืบต่อกันมา คืออาศัยพอเป็นเค้า เป็นเชื้อ มีความหนักแน่นน้อยกว่า นิสสยะ ).


ความเป็นปัจจัยของปุญญาภิสังขาร

กาเม ปุญฺญาภิสงฺขาร สญฺญิตา อฏฺฐ เจตนา
นวนฺนํ ปากจิตฺตานํ กาเม สุคติยํ ปน.

นานากฺขนิกกมฺมูป- นิสฺสยปจฺจเยหิ จ
เทฺว หิ ปจฺจยา เตสํ ภวนฺติ ปฏิสนฺธิยํ.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 22.77 KiB | เปิดดู 3090 ครั้ง ]
มหากุศลเจตนา ๘ นั้นเป็นปัจจัย ๒ อย่าง
ในปวัตติกาลกามาวจรอเหตุกวิปากจิต คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉนจิต โสมสันตีรณกุศลวิปากจิต
(เว้นอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่ประกอบที่ประกอบกับอุเบกขา)กุศลวิบากอุเบกขาสันตีรณจิต ๑
ในขณะทำหน้าที่ ปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 19.25 KiB | เปิดดู 3081 ครั้ง ]
มหากุศลเจตนาเหล่านั้นเป็นปัจจัย ๒ อย่างแก่วิปากจิต ๕ ดวง
กุศลวิบากจักขุวิญญาณ กุศลวิบากโสตวิญญาณ สัมปฏิจฉนจิต สัณตีรณจิต ๒
ในปวัตติกาลในรูปภูมิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 20.06 KiB | เปิดดู 3080 ครั้ง ]
มหากุศลเจตนาเหล่านั้นเป็นปัจจัยแก่กามาวจรวิปากจิต (อเหตุกกุศลวิปากจิต) ๘ ดวง
ในปวัตติกาลในกามทุคคติภูมิได้เช่นกัน แต่ไม่เป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 20.34 KiB | เปิดดู 3079 ครั้ง ]
cats.jpg
cats.jpg [ 20.47 KiB | เปิดดู 3078 ครั้ง ]
มหากูศลเจตนาเหล่านั้นเป็นปัจจัยในปวัตติกาลแก่วิปากจิต ๑๖ ดวง
(อเหตุกกุศลวิปากจิต ๘ มหาวิปากจิต ๘)

และเป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาลแก่วิปาจิต ๙ ดวง
(อุเบกขาสันตีรณจิต ๑ มหาวิปากจิต ๘ ) ในกามสุคติภูมิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2015, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 13.41 KiB | เปิดดู 3077 ครั้ง ]
ปุญญาภิสังขาร ๕ (เว้นอภิญญา) ในรูปภูมิเป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาลแก่
รูปาวจรวิปากจิต ๕ ในรูปภูมิ

(การเว้นอภิญญาเจตนาในที่นี้ ก็เพราะว่าอภิญญาเจตนาให้ผลปฏิสนธิไม่ได้ เนื่องจากเป็นเพียง
อานิสงส์ของจตุตถฌานสมาธิ จึงมีผลเสมอกับสมาธิข้างต้น หรือเนื่องจากกำลังน้อยโดยไม่ได้รับ
อาเสวนปัจจัยจากชวนจิตดวงก่อนที่เป็นมหัคคตภูมิเหมือนกัน เพราะเกิดขึ้นครั้งเดียว หรือเนื่องจาก
ไม่เป็นเหตุของผลที่เป็นวิญญาณจิต)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 19.88 KiB | เปิดดู 3057 ครั้ง ]
ความเป็นปัจจัยของอปุญญาภิสังขาร

อปุญญาภิสังขารในกามทุคติภูมิ (อกุศลจิต ๑๑ (เว้นอุทธัจจสัมปยุตตเจตนา)
เป็นปัจจัย ๒ อย่าง ในปฏิสนธิกาลแก่ปฏิสนธิวิญญาณดวงหนึ่ง
(อกุศลวิปากอุเบกขาสันตีรณจิต)
วิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อุเบกขาสันตีรณอกุสลวิบาก ๑ ดวง
ให้ปฏิสนธิในอบายภูมิทั้ง ๔ เป็นพวกทุคคติ อเหตุกบุคคล ซึ่งมักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ทุคคติบุคคล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 06:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 18.32 KiB | เปิดดู 3057 ครั้ง ]
เจตนาในอกุศลจิต ๑๒ นั้น เป็นปัจจัยแก่อกุศลวิปากจิตทั้ง ๗
ในปวัตติกาลในกามสุคติภูมิ แต่ไม่เป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 06:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 18.82 KiB | เปิดดู 3057 ครั้ง ]
เจตนาในอกุศลจิต ๑๒ นั้นเป็นปัจจัยแก่จิต ๔ ดวง
(อกุศลวิบาก จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ สัมปฏิจฉนจิต สันตีรณจิต)
ในปวัตติกาล แต่ไม่เป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาลในรูปภูมิ

อนึ่ง ความเป็นปัจจัยนั้นย่อมมีได้ในการรับรูปารมณ์เป็นต้น ที่ไม่น่าปรารถนา
ในกามภูมิ เพราะรูปารมณ์เป็นต้นที่ไม่น่าปรารถนาย่อมไม่ปรากฎในพรหมโลก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2015, 06:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




cats.jpg
cats.jpg [ 13.26 KiB | เปิดดู 3057 ครั้ง ]
เช่นเดียวกันนี้ อาเนญชาภิสังขาร เป็นปัจจัยแก่ อรูปาวจรวิปากจิต ๔ ดวง
ในอรูปภูมิ ในปฏิสนธิกาล และในปวัตติกาล สังขารเหล่านั้นเป็นปัจจัยในปฏิสนธิกาล
และในปวัตติกาลในภูมิทั้งหลายโดยประการใด ย่อมเป็นปัจจัยแก่วิบากนั้น

ที่กล่าวมานั้นเป็นการจบการเป็นปัจจัยของสังขาร ๓ มี
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2015, 06:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




catsCA3PK4PE.jpg
catsCA3PK4PE.jpg [ 51.84 KiB | เปิดดู 2953 ครั้ง ]
สังขาร ๓ ได้แก่เจตนาเจตสิกที่เกิดในจิต ๒๙ ดวง
เจตนาทั้ง ๒๙ ดวงเหล่านี้ที่ทำให้สัตว์เกิดขึ้น ในภพภูมิที่แตกต่างกันไป
โดยความไม่รู้คือตัว "อวิชชา" เป็นปัจจัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร