ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ญาณ ๑๖ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=51757 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ก.พ. 2016, 16:49 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ | ||
ในญาณ ๑๖ นั้นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพนะพุทธเจ้า เขาจะบำเพ็ญบารมีมาแค่ญาณที่ ๑๑ คือสังขารุเบกขาญาณ ไม่เกินไปถึงญานที่ ๑๒ คืออนุโลมญาน เพราะจะทำให้โคตรภูญาณเกิดขึ้น ซึ่งจะทำสำเร็จมรรคผล ซึ่งเป็นวิสัยของพระโพธิสัตว์ ที่จะไม่พึงกระทำ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 ก.พ. 2018, 08:18 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ | ||
. ๑. นามรูปปริเฉทญาณ นามรูปปริเฉทญาณ ปัญญาที่กำหนดรู้เห็นรูปนามตามสภาวะที่แท้จริง ของสมถยานิกบุคคลสำหรับบุคคลผู้ปรารถนาถึงขั้นความเห็นบริสุทธิ์ (ทิฏฐิวิสุทธิ)ถ้าเคยปฏิบัติสมถกรรมฐานมาก่อนเมื่อออกจากรูปาวจรฌานจิต ๕ หรืออรูปาวจรฌานจิต ๓ (เว้นเนวสัญญา)ฌานใดฌานหนึ่งมาแล้ว ต้องกำหนดองค์ฌานมี วิตก วิจาร เป็นต้น หรือกำหนดสภาวธรรมทั้งหลาย ที่ประกอบกับองค์ฌานมี ผัสสะ เวทนา สัญญา เป็นต้น
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 18 ก.พ. 2018, 06:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ |
การกำหนดองค์ฌาน หรือสภาวธรรมทั้งหลายที่ประกอบด้วยองค์ฌานนั้น ก่อนอื่นต้องกำหนดสภาวธรรมนั้นโดยสภาวลักษณะ (ลักษณะ) หน้าทื่ หรือกิจ (รส) อาการที่ปรากฏ (ปัจจุปัฏฐาน)ต่อไปจึงจะกำหนดสภาวธรรม ทั้งหมดเหล่านั้น ว่าเป็นธรรมชาติที่น้อมไป (นาม)มุ่งหน้าไปสู่อารมณ์ เมื่อพิจารณาดูนามธรรมเหล่านั้นให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น จึงติดตามนาธรรมเหล่านั้น อาศัยอะไรก็ทราบว่าอาศัยหทยวัตถุรูป เปรียบเหมือนบุรุษที่เห็นงูภายในเรือนแล้ว จึงติดตามมันไปก็พบที่อาศัยของมัน เมื่อทราบว่าหทยวัตถุรูปเป็นที่อาศัยของนามธรรมเหล่านั้นแล้วก็พิจารณาต่อไปว่า แม้หทยวัตถุก็ต้องอาศัยมหาภูตรูป ๔ คือ ปถวี อาโป เตโช วาโย เกิดขึ้น และอุปาทายรูปทั้ง ๒๓ (เว้นหทยวัตถุรูป) ก็คืออาศัยมหาภูตรูป ๔ เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับสมถยานิกบุคคล ครั้นออกจากฌานจิตแล้ว จะพิจารณากำหนดนามธรรมว่า มีอาการน้อมไปสู่อารมณ์เป็นลักษณะ หรือกำหนดรูปธรรมว่า มีอาการเสื่อมสิ้นสลายไปเป็นลักษณะก็ได้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.พ. 2018, 06:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑ |
การกำหนดรูปนามทางขันธ์ ๕ สำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเมื่อกำหนดรูปนามทางขันธ์ ๕ ก็กำหนดดังนี้ ในสรีระร่างกายนั้นนิปผันนรูป ๑๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น และ อนิปผันนรูป ๑๐ มีปริเฉทรูป เป็นต้น กำหนดเป็นรูปขันธ์ เวทนาเจตสิกที่ ประกอบกับโลกียจิต ๘๑ กำหนดเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกที่ ประกอบกับโลกียจิต ๘๑ กำหนดเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือ ๕๐ (เว้นเวทนา สัญญา) ที่ประกอบกับโลกียจิต ๘๑ กำหนดเป็นสังขารขันธ์ โลกียจิต ๘๑ กำหนดเป็น วิญญาณขันธ์ ในลำดับต่อมาผู้ปฏิบัติจะพิจารณารูปขันธ์ว่าเป็นรูปธรรม และพิจารณานามขันธ์ ๔ ที่เหลือว่า เป็นนามธรรม การกำหนดรูปนาม ทางขันธ์ ๕ เป็นหลัก ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ก.พ. 2018, 06:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ |
การกำหนดรูปนามทางธาตุ ๑๘ สำหรับผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาเมื่อจะกำหนดรูปนามทางธาตุ ๑๘ พึงพิจารณาดังนี้ว่า ในอัตภาพนี้มี จักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ เป็นต้น แล้วก็ไม่เห็นว่าเป็นก้อนเนื้อที่สายเอ็นยึดไว้ในเบ้าตา ที่มีลักษณะยาวและกว้าง วิจิตรด้วยวง สีขาว สีดำ และสีดำมากนั้นที่ชาวโลกที่เเข้าใจว่าจักษุ แต่แท้ที่จริงแล้วที่จักษุที่ชาวโลกเข้าใจกันก็คือ กลุ่มของรูป ๕๔ รูปคือ จักขุทสกลาป ๑๐ กายทสกกลาป ๑๐ ภาวทสกกลาป ๑๐ สุทธัฏฐกกลาปที่เกิดกับจิต ๘ เกิดจากอุตุ ๘ และเกิดจากอาหาร ๘ ในจำนวนรูปทั้ง ๕๔ รูปนี้จักขุปสาทเท่านั้นที่ชื่อว่า จักขุ หรือจักขุธาตุ ส่วนรูปอีก ๕๓ นั้นมิใช่จักขุ เมื่อพิจารณาจยทราบว่าจักขุปสาทรูปเป็นสภาวธรรมที่ชื่อว่า จักษุ แล้วก็จะทราบว่าลักษณะของจักขุปสาท นั้นคือ อาการเสื่อมสิ้นสลายไปซึ่งเป็นอาการเสื่อมสิ้นสลายไปนั่นเอง ถึงแม้ในโสตธาตุจนถึงชิวหาธาตุ ก็เป็นไปเหมือนกันกับจักขุธาตุ ส่วนกายธาตุนั้นประกอบด้วยรูป ๔๓ รูปคือ กายทสกกลาป ๙ (เว้นกายปสาท) ภาวทสกกลาป ๑๐ สัททนวกกลาป ๑๐ สุทธัฏฐกกลาปที่เกิดจากจิต ๘ เกิดจากอุตุ ๘ และเกิดจากอาหาร ๘ แต่เกจิอาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่าประกอบด้วย ๔๕ รูป คือกายทสกกลาป ๙ (เว้นกายปสาทรูป) ภาวทสกกลาป ๑๐ สัททนวกกลาปที่เกิดจากจิต ๙ และเกิดจากอุตุ ๙ (อวินิพโภครูป ๘ และสัททรูป ๑) และเกิดจากอาร ๘ รูป ๑๒ รูปคือ ปสาทรูป ๕ เป็นจักขุธาตุ โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ กายธาตุ และวิสยรูป ๗ เป็นรูปธาตุ สัททธาตุ คันธธาตุ รสธาตุ โผฏฐัพพธาตุ ส่วนรูปที่เหลือ คือ สุขุมรูป ๑๖ เป็นธัมมธาตุบางส่วน สำหรับนามธรรมที่เป็นจิตคือ ทวิปัญญจวิญญาณจิต ๑๐ เป้นทวิปัญญจวิญญาธาตุ ๕ มีจักขุวิญญาณธาตุเป็นต้น ปัญจทวารวัชชนจิต ๑ กับสัมปฏิจฉนจิต ๒ เป็นมโนธาตุ ส่วนโลกียจิตที่เหลือ ๖๘ เป็นมโนวิญญาณธาตุ ส่วนนามธรรมที่เป็นเจตสิก คือ เจตสิก ๕๒ ที่ประกอบกับโลกียจิต ๘๑ นั้น เป็นธรรมธาตุบางส่วน ฉะนั้น ในธาตุ ๑๘ ยี้ ธาตุ ๑๐ กับธัมมธาตุบางส่วน(สุขุมรูป ๑๖) เป็นรูปธรรม และธาตุ ๗ กับธัมมธาตุอีกบางส่วน(เจตสิก ๕๒) เป็นนามธรรม การกำหนดรูปธรรมและนามธรรมทางธาตุ ๑๘ เป็นหลักก็มีด้วยประการดังกล่าว |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ก.พ. 2018, 16:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ |
การกำหนดรูปนามทางอายตนะ ๑๒ สำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาเมื่อจะกำหนดรูปนามทางอายตนะ ๑๒ ก็กำหนดทำนองเดียวกันกับธาตุ ๑๘ นั่นเอง ต่างกันตรงโลกียจิต ๘๑ หรือวิญญาณธาตุ ๗ นั้น เป็นมนายตนะ ๑๒ อายตนะ ๑๐ กับธัมมธาตุบางส่วน คือสุขุมรูป ๑๖ เป็นรูปธรรมและอายตนะ ๑ กับธัมมธาตุบางส่วน เจตสิก ๕๒ เป็นนามธรรม การกำหนดรูปนามทางอายตนะ ๑๒ ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 ก.พ. 2018, 07:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ |
การกำหนดรูป ให้นามปรากฏ เมื่อผู้ปฏิบัติกำหนดรูปธรรมแล้ว ก็ย้อนมากำหนดนามธรรม แต่นามธรรมนั้นยังมิได้ปรากฎ ก็อย่าท้อถอยเลิกละกำหนดความเพียรเสีย ควรใส่ใจใคร่ครวญในรูปธรรม เหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะว่ารูปธรรมเหล่านั้นที่พิจารณาดีแล้ว สะสางชำระออกแล้วบริสุทธิแล้ว เห็นจนชัดแจ้งดีแล้ว นามธรรมซึ่งมีรูปธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ก็จะปรากฏขึ้นเอง มีอุปมาดังนี้ ๑. บุรุษมองดูเงาในหน้ากระจกมัว เงาหน้าไม่ปรากฎ แต่บุรุษนั้นไม่ทิ้งกระจกไป กลับเช็ดถูกระจกนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนใสสะอาดบริสุทธิ์ เงาหน้าของบุรุษนั้นก็จะปรากฏขึ้นมาเอง ๒. บุรุษต้องการทำน้ำให้ใสก็หยิบเอาเมล็ดกตกะ(หรือสารส้ม) หย่อนลงในน้ำแกว่งไป แกว่งมา ๒ หรือ ๓ ครั้ง น้ำก็ยังไม่ใสบุรุษก็ยังไม่่ทิ้งเมล็ดกตกะ กลับเอาเมล็ดกตกะแกว่งไปมาซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนโคลนตมจมลง น้ำก็ใสสะอาดขึ้นมาเอง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 26 ก.พ. 2018, 11:57 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ | ||
ญาณ ๑๖ หรือ โสฬสญาณ (ความหยั่งรู้ ในที่นี้หมายถึงญาณที่เกิดขึ้น แก่ผู้เจริญวิปัสสนาตามลำดับ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ (ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป คือ รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีแต่รูปธรรมและนามธรรม และกำหนดแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม ๒. ปัจจยปริคคหญาณ (ญาณกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป คือรู้ว่า รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยและเป็น ปัจจัยแก่กัน อาศัยกัน โดยรู้ตามแนวปฏิจจสมุปบาท ก็ดี ตามแนว กฏแห่งกรรม ก็ดี ตามแนววัฏฏะ ๓ ก็ดี เป็นต้น ๓. สัมมสนญาณ (ญาณกำหนดรู้ด้วยพิจารณาเห็นนามและรูป โดยไตรลักษณ์ คือ ยกรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นพิจารณา โดยเห็นตามลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน ๔-๑๒. ได้แก่ วิปัสสนาญาณ ๙ ๑๓. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นหัวต่อ แห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยบุคคล ๑๔. มัคคญาณ (ญาณในอริยมรรค คือ ความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จ ภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น ๑๕. ผลญาณ (ญาณในอริยผล คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จ ของพระอริยบุคคลชั้นนั้นๆ ๑๖. ปัจจเวกขณญาณ (ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สำรวจรู้มรรค ผล กิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่ และนิพพาน เว้นแต่ว่าพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่ ในญาณ ๑๖ นี้ ๑๔ อย่าง (ข้อ ๑-๑๓ และ ๑๖) เป็น โลกียญาณ, ๒ อย่าง (ข้อ ๑๔ และ ๑๕) เป็น โลกุตตรญาณ ญาณ ๑๖ (บางทีเรียกว่า โสฬสญาณ ซึ่งก็แปลว่าญาณ ๑๖ นั่นเอง) ที่จัดลำดับเป็นชุดและเรียกชื่อเฉพาะอย่างนี้ มิใช่มาในพระบาลีเดิม โดยตรง พระอาจารย์ในสายวงการวิปัสสนาธุระได้สอนสืบกันมา โดยประมวลจากคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และวิสุทธิมรรค ในกาลต่อมา
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 26 ก.พ. 2023, 03:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ | ||
.....?.
|
เจ้าของ: | sirinpho [ 23 ต.ค. 2023, 15:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ญาณ ๑๖ |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |