| ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
| สติสัมปชัญญะ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=59241 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ส.ค. 2020, 11:22 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: สติสัมปชัญญะ |
ค.) โคจรสัมปชัญญะ คือปัญญาที่เข้าถึงอารมณ์ปัจจุบันที่ควรใส่ใจขณะปฎิบัติ จึงสามารถปรารภอารมณ์กรรมฐานได้สม่ำเสมอติดต่อกันไป โดยไม่หลงไปจากความจริงและไม่ทอดทิ้งอารมณ์กรรมฐาน สติ สัมปชัญญะ เมื่อเกิดขึ้น รู้อารมณ์แล้วย่อมหมดไป ต้องน้อมใจให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นใหม่เนืองๆ มีอุบายที่ทำให้โคจรสัมปชัญญะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้ใหม่ ก็คือทำไว้ในใจว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่ กำลังรู้อะไรอยู่เป็นการใส่ใจนาม ผู้ดูว่ากำลังรู้รูปอะไร นามอะไร เป็นปัญญาที่ใส่ใจความรู้สึก ใส่ใจผู้ดูอารมณ์กรรมฐาน รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่ คือรู้ทั้งนามผู้ดู และอารมณ์กรรมฐานที่ถูกดู จึงแยกได้ว่า ผู้ดูก็อย่างหนึ่ง อารมณ์ กรรมฐานที่ถูกดูก็อย่างหนึ่ง ไม่ปะปนกัน “โคจร” ในที่นี้หมายถึงอารมณ์กรรมฐาน ปัญญาที่ไม่ทอดทิ้งอารมณ์กรรมฐาน จึงชื่อว่า “โคจรสัมปชัญญะ” ไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบทได้ก็ตามจึงต้องมีโคจรสัมปชัญญะกำกับไปตลอดเวลา |
|
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 ส.ค. 2020, 11:12 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: สติสัมปชัญญะ |
ง.) อสัมโมหสัมปชัญญะ คือปัญญาที่รู้ตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม ว่าสภาวธรรมนี้เป็นรูปธรรม สภาวธรรมนี้เป็นนามธรรม หยั่งเห็นสภาวะลักษณะของรูป ของนาม ว่ารูปแต่ละรูป มีความแตกต่าง นามแต่ละนามมีความแตกต่างกัน รูปอย่างหนึ่ง นามก็อย่างหนึ่ง แต่รู้ถึงสามัญลักษณะว่ารูปธรรม นามธรรม ที่เป็นสังขตธรรม เป็นธรรมที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อดับไปมีสภาวะที่เสมอเหมือนกัน คือความ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นปัญญาที่ไม่ลุ่มหลง สามารถรู้ถูกต้องตรงต่อความจริงของสภาวธรรม รู้เท่าทันอารมณ์ปัจจุบันทุกๆอารมณ์ว่าเป็นรูปหรือนาม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลทไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงขันธ์ ๕ คือ รูป นาม อันว่างจากอัตตาโดยประการทั้งปวง เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับสาระของอสัมโมหสัมปชัญญะนี้ได้แจ่มแจ้งขึ้น จึงควรทราบความแตกต่างกันของปัญญา ๓ อย่างคือ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา ที่เป็นไปเกี่ยวกับความรู้ว่าเป็นนาม เป็นรูป |
|
| เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 16 ส.ค. 2020, 12:07 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: สติสัมปชัญญะ |
ความรู้นามรูปของปัญญามี ๓ ขั้นคือ ก.) สุตมยปัญญา หมายถึงปัญญาที่สำเร็จเพราะคำชี้แจงที่ได้สดับแล้ว คือ เป็นปัญญาที่ได้มาเพราะฟังจากคนอื่น ได้เรียน ได้ศึกษา ได้อ่านตำรับตำราอยู่ในรูปของบัญญัติ เป็นสำนวนโวหารที่ผู้อื่นแสดงเป็นปริยัติแล้ว เกิดปัญญา ปัญญานี้ต้องอาศัยกัลยาณมิตร เป็นความรู้รูป รู้นาม ที่ได้มาจากการฟัง เพื่อกำหนด นาม รูป ได้ถูกต้องในภายหลัง ในการปฏิบัติการที่ผู้ปฏิบัติและกำหนดอารมณ์กรรมฐานคือ นามรูป ได้ถูกต้องนั้น ในเบื้องต้นต้องมีการฟังจากครูอาจารย์ว่าอะไร เป็นรูป อะไรเป็นนามก่อน จึงจะมีโอกาสกำหนด นามรูป ได้ถูกต้องในคราวปฏิบัติ ข.) จินตามยปัญญา หมายถึง ปัญญาความรู้ที่ได้จากการพิสูจน์ รูปนาม แล้วด้วยตนเอง เพราะได้ใส่ใจลักษณะของนามหรือรูปนั้นว่าเป็นนามอะไรรูปอะไร ในเวลาที่มีสติเข้าไปตั้งไว้ที่นามที่รูปที่เป็นปัจจุบันอารมณ์นั้น การใส่ใจลักษณะที่แตกต่างกันแห่งนาม รูป เหล่านั้น ย่อมทำปัญญาให้เกิดขึ้นรู้ว่า นี้เป็นนามอะไร รูปอะไร ตรงต่อความเป็นจริงสามารถทำให้สภาวะของรูป นามจริงๆ ปรากฏขึ้นในความรู้สึกได้ โดยอาศัยความรู้ที่ได้จากสุตมยปัญญา เป็นปัจจัยเท่านั้น ความรู้นาม รูป ขั้นนี้เป็นความรู้ที่ได้ สัมผัสกับสภาวะของจริงที่เป็นนาม เป็นรูปนั้นๆ เพียงแต่ว่ายังมีการอิงอาศัยบัญญัติอยู่ เพราะเป็นความรู้ที่ทำขึ้นให้ตรงกับบัญญัติ ตรงกับชื่อที่เรียนรู้มา ไม่ใช่คิดเอาเองลอยๆ บุคคลชื่อว่ามีการปฏิบัติ ก็เมื่อเขาได้ใช้ความเพียรทำความรู้นามรูป ขั้นจินตามยปัญญานี้ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ฉะนั้นความรู้ขั้นจินตามยปัญญาอย่างนี้นับว่าเป็นความรู้ขั้นปฏิบัติ ความรู้นี้ยังกำลังน้อย ต้องหมั่นใส่ใจ ทำความรู้สึกตัวไปที่ รูปนาม ที่เป็นอารมณ์อยู่เสมอๆ จนรู้ความจริงของรูปนาม ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะโดยมีโคจรสัมปชัญญะเป็นไปอยู่บ่อยๆ เป็นปัจจัย ค.) ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่สำเร็จเพราะการเจริญ อบรมให้สติ สัมปชัญญะ เจริญงอกงามให้ยิ่งๆขึ้นไป จนปัญญาแกล้วกล้า กล่าวคือ มีความชำนาญยิ่งแม้ไม่ต้องขนขวายทำให้เกิดก็ย่อมเกิดขึ้น จิตเกิดปรารภอารมณ์ที่ปรากฏเฉพาะหน้าอันใดก็ตาม สติเข้าไปตั้งอยู่ในอารมณ์นั้นแล้ว ความรู้ว่าเป็นนามรูปก็เกิดขึ้นทันที ใส่ใจครั้งใดก็เห็นความจริงจนบรรลุถึงความเป็นยอด คือมรรคอันเป็นที่สุดแห่งการเจริญได้ เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา และ มรรคปัญญา เมื่อผู้ปฏิบัติ ทำเหตุปัจจัยให้ความรู้จริงเกิดขึ้นได้บ่อยๆ จนชำนาญอันเป็นผลมาจากการชำระกิเลสให้บริสุทธิ์ได้แล้ว จึงเป็นปัจจัยต่อความรู้แจ้ง ความรู้นี้ไม่ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ เพียงแต่ปรารภอารมณ์ด้วยสติ ความรู้ว่าเป็นรูปเป็นนามก็เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องตั้งใจสำเหนียกลักษณะเหมือนแต่ก่อนในขั้นจินตามยปัญญา ความรู้ทั้ง ๓ อย่างนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อกัน ความรู้ขั้นสุตมยปัญญาอันเป็นความรู้ขั้นปริยัติ เป็นปัจจัยให้ความรู้ รูปนาม ขั้นจินตามยปัญญา อันเป็นความรู้ขั้นปฏิบัติ และความรู้ขั้นปฏิบัติ เป็นปัจจัยให้ความรู้ขั้นภาวนามยปัญญา อันเป็นความรู้ขั้นปฏิเวธ แม้เบื้องต้นจะเป็นความรู้สึก ขั้นญาณก็ตาม อันเป็นผลแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า “นามรูปปริจเฉทปริเฉทญาณ” ก็นับว่าเป็นวิปัสสนาปัญญา ก็จัดเป็นปัญญาประเภท ภาวนามยปัญญาเหมือนกัน |
|
| เจ้าของ: | Duangtip [ 03 มิ.ย. 2025, 20:06 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: สติสัมปชัญญะ |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
|
|
| เจ้าของ: | sirinpho [ 14 ก.ค. 2025, 16:43 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: สติสัมปชัญญะ |
|
|
| หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|