วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2021, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




4052852342_78f0783e14_o.gif
4052852342_78f0783e14_o.gif [ 200.66 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
เพื่อจะแสดงความเป็นผลสมาบัติของพระอริยะผลเท่านั้น มีปัญหา
กรรม (คือการทำคำถาม) อยู่ ๕ ข้อ ดังนี้
๑. ผลสมาบัติคืออะไร ?
๒. บุคคลพวกไร เข้าผลสมาบัตินั้น บุคคลพวกไรไม่เข้า
๓. เข้า(ผลสมาบัติ)เพื่ออะไร
๔. การเข้าผลสมาบัตินั้น เป็นอย่างไร การตั้งอยู่เป็นอย่างไร การออกเป็นอย่างไร
๕. อะไรเป็นลำดับของผลจิต และผลจิตเป็นลำดับของอะไร

ในปัญหากรรมทั้งหลายนั้น

ข้อ ๑ ที่ว่า "ผลสมาบัติคืออะไร"คือการเข้าอยู่ในความดับ (นิโรธ คือพระนิพพาน)
ของอริยะผลจิต
ข้อ ๒ ที่ว่า "บุคคลพวกไร เข้าผลสมาบัตินั้น พวกไรไม่เข้า" ในข้อนี้มีความ
ตกลงดังนี้"ปุถุชนทั้งหลายทั้งปวงไม่เข้า เพราะเหตุไร เพราะมิได้บรรลุ
ส่วนพระอริยะทั้งหลายแม้ทุกท่าน เข้า(ผลสมาบัติ)เพราะเหตุไร? เพราะท่านได้
บรรลุแล้ว แต่ว่าพระอริยบุคคลชั้นสูง ไม่เข้าผลสมาบัติชั้นต่ำ เพราะ(พระอริยะ
บุคคลชั้นสูง)ท่านละงับสังโยชน์ชั้นต่ำไปแล้วด้วยการเข้าถึงความเป็น(พระอริยะ)
บุคคลอื่น และพระอริยบุคคลชั้นต่ำก็ไม่เข้าผลสมาบัติชั้นสูง เพราะท่านยังมิได้
บรรลุ แต่พระอริยะบุคคลทั้งหลาย ท่านเข้าผลสมาบัติตามขั้นของตนๆเท่านั้น ดังนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2021, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




9dc638c34e8a4e620c25ea3489032e44.png
9dc638c34e8a4e620c25ea3489032e44.png [ 152.67 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
แต่ทว่า ท่านเกจิอาจารย์ทั้งหลาย กล่าวว่า"ถึงแม้พระโสดาบันและพระสกทาคามี
ก็ไม่เข้า(ผลสมาบัติ)เฉพาะอริยบุคคลชั้นสูง(พระอนาคามีและพระอรหันต์)
๒ จำพวกเท่านั้น เข้าผลสมาบัติ" และเหตุผลของเกจิอาจารย์เหล่านั้น มีว่าดังนี้คือ
พระอริยะบุคคลชั้นสูงทั้ง ๒ จำพวกเหล่านี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ
คำของพวกอาจารย์เหล่านั้นไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย เพราะแม้แต่ปุถุชนยังเข้าโลกียสมาธิที่
ตนเองได้แล้ว และประโยขน์อะไรด้วยการคิดว่ามีเหตุผลและไม่เป็นเหตุผลในข้อนี้
ในพระบาลีเองท่านก็กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าโคตรภูธรรม ๑๐ บังเกิดขึ้นด้วยอำนาจ
วิปัสสนา คืออะไรบ้าง? คือญาณ ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำความเกิด ความ
เป็นไป..ฯลฯ..ความคับแค้นใจ นิมิตคือสังขารภายนอก เพื่อมุ่งหมายได้เฉพาะ
ซึ่งโสดาปัตติมรรค ชื่อว่าโคตรภู เพร่ะครอบงำความเกิดขึ้น..ฯลฯ..นิมิตคือ
สังขารภายนอก เพื่อต้องการเข้าโสดาปัตติผลสมาบัติ...เพื่อมุ่งหวังได้โดยเฉพาะซึ่ง
สกทาคามิมรรค..ฯลฯ.. เพื่อต้องการเข้าอรหัตตผลสมาบัติ คือเพื่อต้องการเข้า
สุญญตวิหารสมาบัติ เพื่อต้องการเข้าอนิมิตตวิหาาสมาบัติ ดังนี้ เพราะฉะนั้น
ควรถึงความตกลงในข้อนี้ได้ว่า พระอริยะเจ้าแม้ทุกข์ท่านเข้าผลสมาบัติของตนๆ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2021, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ssssss.png
ssssss.png [ 680.27 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
ข้อ ๓ ที่ว่า เข้า(ผลสมาบัติ)เพื่ออะไร ตอบว่าเพื่ออยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
(คือในชีวิตปัจจุบันนี้) เปรียบเหมือนพระราชาทรงเสวยสุขในราชสมบัตื(และ)
เทวดาทั้งหลายก็เสวยสุขในทิพยสมบัติฉันใด พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ท่านคิดว่าจัก
เสวยโลกุตตรสุขขั้นอริยะ แล้วทำการกำหนด (ก่อน) แล้วเข้าผลสมาบัติ ใน
ขณะที่ท่านปรารถนาต้องการ

ข้อที่ ๔ ที่ว่า การเข้าผลสมาบัตินั้น เป็นอย่างไร การตั้งอยู่เป็นอย่างไร
การออกเป็นอย่างไร ตอบว่า ก่อนอื่นการเข้าผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดย ๒ อาการ
คือเพราะไม่มนสิการอารมณ์อื่น นอกจากพระนิพพาน ๑ เพราะมนสิการแต่
พระนิพพาน ๑ สมดังพระสารีบุตรกล่าว(ตอบท่านมหาโกฏฐิกเถระ)ว่า อาวุโส
ปัจจัยของการเข้าเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต(คือพระนิพพาน)มี ๒ ประการแล คือไม่
มนสิการนิมิตทั้งปวง ๑ มนสิการแต่ธาตุซึ่งไม่มีนิมิต ๑ ดังนี้ แตทว่า ในผลสมาบัตินี้
มีลำดับของการเข้าดังนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2021, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




buddhist-monk-png-2.png
buddhist-monk-png-2.png [ 146.06 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
จริงอยู่ พระอริยสาวก ผู้มีความประสงค์จะเข้าผลสมาบัตืต้องไปอยู่ในที่ลับ
ปลีกตนอยู่เฉพาะ กำหนดเห็นสังขารทั้งหลายด้วยวิปัสสนาญาณ มี
อัทยัพพญาณเป็นต้น เมื่อพระอริยสาวกนั้นมีวิปัสสนาญาณดำเนินไปตามลำดับ
ครั้น ในลำดับโคตรภูญาณ ซึ่งมีสังขารเป็นอารมณ์ จิตก็เข้าสู่ความดับ
ด้วยสามารถผลสมาบัติ อนึ่งการเข้าผลสมาบัตินี้ ผลจิตเท่านั้นบังเกิดขึ้นแม้แก่
พระเสขะ เพราะเป็นผู้มีจิตน้อมไปในผลสมาบัติอยู่แล้ง มรรคจิตหาเกิดไม่

แต่ทว่า พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่าใด กล่าวว่า พระโสดาบันครั้นคิดว่า ฉันจัก
เข้าผลสมาบัติ แล้วตั้งต้นเจริญวิปัสสนาไปก็เป็นพระสกทาคามี และพระสกทาคามี
คิดว่า ฉันจักเข้าผลสมาบัติ แล้วเริ่มต้นเจริญวิปัสสนาเป็นพระนาคามีดังนี้
ควรกล่าวกะพระอาจารย์เหล่านั้นว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น พระอนาคามีก็จักเป็น
พระอรหันต์ พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
ก็จักเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำไรๆ ของพระอาจารย์ทั้งหลายแม้นี้ไม่ถูก
ปฏิเสธไว้ด้วยบาลีโดยตรงก็มิควรยึดถือแม้ด้วยประการฉะนี้ แต่ควรยึดถือดัง
ต่อไปนี้เท่านั้น คือว่า ผลจิตเท่านั้นเกิดขึ้นแม้แก่พระเสขะนั้นบรรลุมรรคอยู่ในระดับปฐมฌาน
ผลจิตในระดับปฐมฌาณเท่านั้นเกิดขึ้น ถ้ามรรคจิตบรรลุอยู่ในระดับของฌานใด
ฌาณหนึ่งมีทุติยฌานเป็นต้น ผลจิตก็เป็นไปในระดับฌาณใดฌาณหนึ่งมีทุติยฌาน
เป็นต้นเช่นกันเกิดขึ้น ดังนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2021, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




539-5396584_thumb-image-divya-rishi-clipart.png
539-5396584_thumb-image-divya-rishi-clipart.png [ 359.79 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
การเข้าผลสมาบัตินั้น มีอยู่ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ก่อน

ส่วนการตั้งอยู่ของผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดยอาการ ๓ อย่าง ตามคำ
(ของท่านพระสารีบุตรเถระ) ว่า อาวุโสปัจจัยของการตั้งอยู่ของเจโตวิมุติ ซึ่งหา
นิมิตมิได้ มี ๓ ประการแล คือไม่มนสิการนิมิต(สังขาร)ทั้งปวง ๑ มนสิการ(นิพพาน)ธาตุ
ซึ่งไม่มีนิมิต ๑ และกระทำกำหนดไว้ก่อนดังนี้ คำว่า กระทำการกำหนดนิมิตไว้ก่อน
ในคำของท่านพระสารีบุตรเถระนั้น หมายความว่า การกำหนดกาลเวลาไว้ก่อนเข้า
ผลสมาบัติ อธิบายว่า เพราะพระอริยสาวกนั้นกำหนดไว้ว่า ฉันจะออกในเวลา
ซื่อโน้น กาลเวลา(ที่กำหนดไว้)นั้น ยังไม่มาถึงเพียงใด การตั้งอยู่ ของผลสมาบัติ
ก็มีอยู่เพียงนั้น การตั้งอยู่ของผลสมาบัตินั้นมีอยู่อย่างนี้แล

แต่การออกของผลสมาบัตินั้น มีอยู่โดยอาการ ๒ อย่างตามคำ ของท่านพระสารีบุตร
ว่า อาวุโส ปัจจัยของการออกของเจโตวิมุตติ ซึ่งไม่มีนิมิต มี ๒ ประการแล คือ
มนสิการนิมิตทั้งปวง ๑ ไม่มสิการ(นิพพาน)ธาตุซึ่งไม่ทีนิมิต ๑ ดังนี้
ในคำของท่านพระสารีบุตรเถระ นั้น คำว่า นิมิตทั้งปวง หมายถึง นิมิตคือ รูป
นิมิตคือเวทนา นิมิตคืสัญญา นิมิตคือสังขาร และนิมิตคือวิญญาณ อนึ่ง พระอริยสาวก
มิได้มนิการนิมิตทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้โดยความเป็นอันเดียวกันก็จริง แต่ท่านกล่าว
คำว่า นิมิตทั้งปวง นี้ไว้โดยการรวมความไว้ทุกประกาา เพราะฉะนั้น นิมิตในเป็น
อารมณ์ของภวังค์ เมื่อพระอริยะสาวกมนสิการนิมิตนั้นก็เป็นการออกจาก ผลสมาบัติ
ด้วยประการฉะนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2021, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Monks_mobile.png
Monks_mobile.png [ 75.66 KiB | เปิดดู 647 ครั้ง ]
พึงทราบการออกจากผลสมาบัตินั้นด้วยอาการดังกล่าวแล้ว

ข้อ ๕. ที่ว่า อะไรเป็นลำดับของผลจิต และผลจิตเป็นลำดับของอะไร
ตอบว่า ก่อนอื่น ผลจิตนั่นแหละเป็นลำดับของผลจิต หรือว่าภวังค์เป็นลำดับ
ของผลจิต แต่ผลจิตมาเป็นลำดับของมรรคก็มี เป็นลำดับของผลจิตก็มี เป็นลำดับ
ของโคตรภูก็มี เป็นลำดับของเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มี ในผลจิตทั้งหลายนั้น
(ถ้าเป็น)ในมรรควิถี ผลจิตเป็นลำดับของมรรค ผลจิตหลังๆ มาเป็นลำดับของผล

จิตก่อนๆ(แต่)ในผลสมาบัติ ผลจิตข้างหน้าๆมาเป็นลำดับของโคตรภู และพึงทราบ
ว่า ในผลสมาบัตินี้ อนุโลมญาณ คือโคตรภู เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสคำนี้ไว้ใน
คัมภีร์ปัฏฐาน อนุโลมญาณของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยโดยอนันตรปัจจัยแก่ผล
สมาบัติ อนุโลมญาณของพระเสขะทั้งหลาย เป็นปัจจัย โดยอนันตรปัจจัยแก่ผล
สมาบัติ ดังนี้ การออกจากความดับ(นิโรโธ)มีด้วยผลจิตใด ผลจิตนั้นมาเป็นลำดับ
ของเนวสัญญานาสัญญยตนะ ดังนี้แล ในผลจิตทั้งหลาย ยกเว้นผลจิตที่เกิดใน
มรรควิถีเสียแล้ว ผลจิตที่เหลือนอกนั้นทั้งหมด ชื่อว่าเป็นไปด้วยอำนาจผลสมาบัติ(แต่)
จะด้วยการเกิดขึ้น ในมรรควิถีหรือในผลสมาบัติก็ตาม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร