ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การเจริญมรรค ๘ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=60666 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 14 ส.ค. 2021, 14:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | การเจริญมรรค ๘ |
การเจริญมรรค ๘ หมายถึง การยังมรรค ๘ ให้เกิดขึ้นในขันธสันดานของตน ถ้าโยคีปรารถนาเป็นพระอริยะผู้สามารถรู้อริยสัจ ๔ พร้อมๆ กันนั้น พึงพยายามทำการ เจริญวิปัสสนาเพื่อให้มรรคสัจบังเกิดขึ้นในขันธสันดานของตน ในทำนองเดียวกัน หากโยคีปรารถนาได้โลกุตรมรรคนั้นเกิดขึ้นในขันธสันดานของตนนั้น พึงทำการ กำหนดรูปนามในขณะที่รูปนามนั้นกำลังเกิด แล้งทำการเจริญโลกียวิปัสสนามรรค กล่าวคือสัมมาทิฏฐิเป็นต้นด้วย ก็สาเหตุที่ต้องเจริญเช่นนี้เพราะว่าขั้นที่เรียกว่า วิปัสสนามรรคย่อมเป็นเหตุธรรมซึ่งเรียกว่า อุปนิสสยปัจจัย ส่วนในโลกุตรมรรคจิต เป็นผลธรรมซึ่งเรียกว่า อุปนิสสยุปปันนธรรม ดังนั้น พึงทราบว่าถ้าโยคีไม่สามารถ เจริญวิปัสสนามรรคให้สมบูรณ์ได้แล้ว โลกุตตรมรรค ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อใดโยคีสามารถเจริญวิปัสสนามรรคให้บริบูรณ์กระทั่วถึงอนุโลมญาณได้แล้ว โลกุตตรมรรคนั้นก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แม้จะไม่ต้องใช้แรงพยายามใดๆก็ตาม ดังนั้น ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านอธิบายไว้ดังนี้ โค้ด: ตตฺถ ปฐมมคฺคญาณํ สมฺปาเทตุกาเมน อญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ นาม นตฺถิ ยญฺหิ อเนน กาตพฺพํ ตํ. อนุโลมาวสานํ วิปสฺสนํ อุปกฺปาเทนฺเตน กตเมว. (วิสุทฺธิ. ๒/๓๑๒) |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 14 ส.ค. 2021, 20:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญมรรค ๘ |
ในบรรดามรรคญาณทั้ง ๔ นั้น โยคีผู้ต้องการที่จะยังปฐมมรรคญาณให้เกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำกิจอันใดยกเว้นการเจริญวิปัสสนา สาเหตุเพราะว่าโยคีผู้เจริญ วิปัสสนานั้นเป็นผู้ที่ตวรกระทำกิจอันเป็นเหตุให้เกิดมรรคญาณดังกล่าว ซึ่งกิจนั้น โยคีผู้เจริญวิปัสสนาอยู่จะต้องเจริญให้ถึงอนุโลมญาณเป็นที่สุด ในคัมภีร์สัมโมหวิโนทนีได้แสดงเกี่ยวกับการสงเคราะห์วิปัสสนามรรคเข้าใน ภาเวตัพพมัคคสัจ อันเป็นกิจที่ควรกระทำให้บังเกิดขึ้น ดังนี้ว่า โค้ด: เอส โลกุตฺตโร อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค. โย สห โลกิเยน มคฺเคน (อภิ.อัฏ.๒/๑๑๔)
ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทาติ สงฺขยํ คโต. |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ส.ค. 2021, 05:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญมรรค ๘ |
นี้เป็นโลกุตตรอริยมรรค ๘ ชั้น ซึ่งมรรค ๘ ดังกล่าวนั้น ย่อมถึงการเรียกว่า ทุกขนิโรธปฏิปทา "ปฏิปทาที่ทำไปสู่ความพ้นทุกข์" ซึ่งนำเอาโลกียมรรคเข้าอยู่ด้วย มรรค ๘ ที่นับเนื่องในมรรคจิตตุปบาทนี้ ท่านเรียกว่า โลกุตตรมรรค โลกุตตรมรรคนั้น หากปราศจากวิปัสสนาที่เป็นเหตุแล้ว ย่อมจะไม่กลายเป็น นิโรธคามินีไปได้ หมายความว่า บุคคลจะไม่สามารถเจริญมรรค ๘ ล้วนๆโดย เอามรรค ๘ เป็นอารมณ์ โดยไม่มีการเจริญวิปัสสนามาก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น กลุ่มมรรคไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโลกียมรรคและกลุ่มโลกุตตรมรรคล้วน แต่เป็นมัคคสัจที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาทั้งสิ้น ดังนั้นในคัมภีร์วิสุทธิมรรรคมหาฎีกา(๑/๑๕)ท่านจึงกล่าวไว้ว่า โค้ด: นานนฺตริยภาเวน ปเนตฺถ โลกิยาปิธ คหิตาวโหนฺติ (วิสุทฺธิ.ฎี.๑/๑๕)
โลกิยสมถวิปสฺนายวินา ตทภาวโต |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ส.ค. 2021, 13:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญมรรค ๘ |
แม้พระพุทธองค์จะตรัสคำว่า ภาเวตัพพะโดยหมายเอาโลกุตตรสมาธิปัญญา โดยอุกกัฏฐนัย ก็ตามแต่ถึงกระนั้นในคำว่า จิตตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ นี้ก็จะต้องถือเอา โลกียสมถะและวิปัสสนาด้วยนั่นเทียว ทั้งนี้เพราะโลกุตตรสมาธิและโลกุตตรปัญญา จะเกิดขึ้น โดยขาดโลกียสมถะและวิปัสสนาไม่ได้นั่นเอง ในพระคาถาว่า "สีเล ปติฏฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ" นี้พึงทราบ คำอธิบายดังนี้ว่า โดยอุกกฤษฏ์แล้ว สภาวธรรมที่เป็นภาเวตัพพะ กล่าวคือ ธรรมที่บุคคลนำมาเจริญนั้นหมายเอาสมาธิและปัญญาที่เป็นขั้นโลกุตตระ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม การที่โยคีจะได้โลกุตตรสมาธิและโลกุตตรปัญญานั้นก็จำเป็น จะต้องเจริญโลกียสมาธิและโลกิยปัญญาเป็นเบื้องต้นก่อน เพราะโลกุตตรสมาธิ และโลกุตตรปัญญานั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่เจริญโลกิยสมาธิและ โลกียปัญญามาก่อน เพราะฉะนั้น พระดำรัสที่ตรัสสั่งนี้ก็พึงทราบว่าพระพุทธเจ้า นั้นได้ทรงแนะนำให้โยคีเจริญโลกียสมาธิและโลกียสมาธิปัญญาด้วยแม่ว่าทั้งโลกียสมาธิ และโลกียปัญญานั้นจะมีความต่างกันคนละอย่างกับโลกุตตรสมาธิและโลกิยปัญญา ก็ตาม ดังนั้น สมาธิและปัญญาฝ่ายโลกิยันั้นท่านสงเคราะห์เข้าได้ด้วย คำว่า "จิตตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ" จึงเรียกว่าเป็นภาเวตัพพธรรมได้โดยสงเคราะห์ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ส.ค. 2021, 16:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญมรรค ๘ |
สรุปว่า ในคำว่า"จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ พึงเจริญสมาธิและปัญญา" ในพระคาถานั้น โดยตรง หมายถึง สมาธิและปัญญาที่เป็นฝ่ายโลกุตตระ โดยอ้อม หมายถึง ที่เป็นฝ่ายโลกิยะด้วย ในทางด้านการใช้สำนวนโวหารในภาษาบาลีนั้น ท่านเรียกว่า การสงเคราะห์ธรรมที่ไม่ได้ระบุไว้โดยนานันตริกนัยซึ่งเป็นนัย ที่มา ในคัมภีร์ที่ว่าด้วยเรื่องนยะ ๔๐ โดยการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นฐานะกล่าวคือเหตุ แต่ก็ สามารถสงเคราะห์เอาสิ่งที่เป็นฐานียะกล่าวคือผลได้ด้วย วิธีการนี้ ท่านเรียกว่า นานันตริกนัย เป็นนัยที่สงเคราะห์เอาสิ่งที่อยู่ต่างหาก จะอย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาดูแล้ว คำาว่า นนนันตริยกนัย โดยความเป็นเหตุ เป็นผล นั้น ไม่น่าจะเข้ากันได้ในที่นี้ สาเหตุก็เพราะว่าแม้แต่ตัวมรรคสมาธิ และมรรคปัญญาเองก็ถือว่าไม่เป็นฐานะหรือเป็นเหตุ ส่วนโลกียสมาธิและ โลกียะปัญญาเองก็มิใช่ฐานีก็ไม่ใช่คือผลนั่นเองเพราะฉะนั้น ที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ ฎีกาว่า"นานันตริยกะ"นั้น หมายถึง นัยที่กล่าวแสดงสิ่งที่ติดเนื่องด้วยกัน เหมือนกับหม้อเนยใสกับตัวเนยใส เนยใสก็ไม่ใช่หม้อ หม้อก็ไม่ใช่เนยใส หม้อและ เนยใสนั้นก็เป็นคนละอย่างกัน แต่สำหรับผู้ต้องการเนยใสแล้ว เมื่อต้องการที่ จะสั่งให้คนนำเนยใสมาให้ก็มักจะนิยมพูดว่า เอาหม้อเนยใสมาให้ด้วย ซึ่งผู้ที่ถือเอาหม้อเนยใสมา ก็เท่ากับว่าเอาเนยใสมาด้วยนั่นเทียว นี้เป็นการอธิบาย ตามมติที่ยกมาจากคำภีร์ฎีกาวิสุทธิมรรค |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |