วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 14:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2021, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha-6622721_1280.png
buddha-6622721_1280.png [ 299.28 KiB | เปิดดู 452 ครั้ง ]
สอุปาทิเสสะและอนุปาทิเสสะ

เนื่องจากนิพพานนั้นเป็นอารมณ์ของมรรคและผล เป็นที่สิ้นไปแห่งกองทุกข์ กล่าวคือนามรูปสังขารทั้งมวล กล่าวโดยสภาวธรรมแล้ว นิพพานมีอย่างเดียว คือ มีสภาวะอันสงบ (สันติ) เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อบรรลุนิพพานแล้ว คือดับกิเลสแล้ว ถ้านามรูปขันธ์ของพระอรหันต์ผู้นั้นยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ (คือยังไม่นิพพาน) จึงอาจเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยได้ เหตุนี้ พระพุทธองค์ทรงแบ่งนิพพานออกเป็น ๒ อย่าง

๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ความดับกิเลสของพระอรหันต์ผู้ยังมีชีวิตอยู่ คือดับกิเลสแล้วแต่ยังไม่ปรินิพพาน ยังมีขันธวิบากหลงเหลืออยู่

๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ความดับกิเลสของพระอรหันต์ผู้ปรินิพพานแล้วซึ่งเป็นความดับขันธ์โดยประการทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง

ภิกษุทั้งหลาย อะไรคือสอุปาทิเสสนิพพาน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะกิเลส ปฏิบัติเสร็จแล้ว ได้ทำกิจที่ตนพึงกระทำแล้ว หมดภาระแล้ว (ภาระ คือกิเลส ขันธ์ และอภิสังขาร) บรรลุประโยชน์ตน (หรือประโยชน์อันงาม) แล้ว หมดสังโยชน์เครื่องผูกในภพแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิง

อนึ่ง อินทรีย์ ๕ ของพระอรหันต์นั้นดำรงอยู่ (จนกว่าจะปรินิพพาน) และตราบใดที่อินทรีย์ดังกล่าวยังไม่เสีย พระอรหันต์ก็ต้องยังต้องรับรู้ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีอยู่ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ (เหมือนกับคนทั่วๆ ไป) ภิกษุทั้งหลาย ก็ความสิ้นราคะ โทสะและโมหะของพระอรหันต์นั้น เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ

ภิกษุทั้งหลาย แล้วอะไรคืออนุปาทิเสสนิพพาน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ เป็นผู้พ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ภิกษุทั้งหลายเวทนาความรู้สึกทั้งมวลของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นเวทนาที่ไม่หลงยึดติดด้วย ตัณหา มานะ และทิฏฐิ จักดับไปโดยสิ้นเชิงในโลกนั้นเอง ภิกษุทั้งหลายนั้นแหละ คือ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

พระผู้ทรงมีจักษุ ผู้ไม่ทรงยึดมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิ ผู้ไม่ยินดียินร้ายในอารมณ์ต่างๆ ได้ประกาศว่า นิพพานธาตุนี้มี ๒ อย่าง คือ (๑) นิพพานธาตุที่เป็นฝ่ายทิฏฐิธรรม ละตัณหาได้แล้ว แต่ยังมีขันธ์หลงเหลืออยู่ในโลกนี้ (๒) นิพพานธาตุที่เป็นฝ่ายสัมปรายภพ ที่ไม่มีเบญจขันธ์หลงเหลือ หมดสิ้นภพโดยสิ้นเชิง

บุคคลเหล่าใดได้บรรลุนิพพานธาตุทั้ง ๒ ดังกล่าวซึ่งเป็นอสังขตธรรมและเป็นธรรมที่พึ่งถึงได้ด้วยญาณ เป็นผู้มีจิตหลุดพ้น เพราะหมดสิ้นตัณหาเครื่องยินดีในภพได้ บุคคลเหล่าใด คือผู้บรรลุแก่นสารแห่งพระธรรม ดื่มด่ำพระนิพพาน เป็นผู้ไม่ยินดียินร้ายในอารมณ์ต่างๆ ละภพน้อยภพใหญ่ทั้งมวลแล้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2021, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Gautama-Buddha-Transparent-PNG.png
Gautama-Buddha-Transparent-PNG.png [ 242.57 KiB | เปิดดู 452 ครั้ง ]
อธิบาย

คำว่า อนุปาทิเสสนิพพานนี้ ได้แก่ขันธปรินิพพาน หมายความว่า ขันธ์ที่จะไปบังเกิดในภพใหม่นั้นได้หมดสิ้นไปแล้วภายหลังจากที่ที่ดับขันธปรินิพพาน ดังนั้ยขันธปรินิพพานนี้สำเร็จมาแล้วตั้งแต่ขณัที่บรรลุอรหัตตมรรค กล่าวโดยสมมุติถ้าไม่ได้เจริญมรรคภาวนา กิเลสและขันธ์ที่จะไปเกิเในภพใหม่ก็อาจเกิดขึ้นได้ ถ้ามีเหตุปัจจัย กิเลสและขันธ์ดังกล่าวนี้เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ คือ ไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว-เกิดขึ้นอยู่ หรือจะเกิดขึ้นต่อไป ดังนั้น ความดับแห่งกิเลสและขันธ์เหล่านั้นจึงเป็นภาวะที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ (กาลวิมุติ) เช่นเดียวกัน

สรุปแล้วทั้งสอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพานต่างก็เป็นกาลวิมุติด้วยกันเพราะเป็นเพียงสภาวะความดับบแห่งกิเลสและขันธ์ซึ่งมีอยู่โดยตลอด เป็นสภาพไม่มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไปเหมือนธรรมทั่วๆ ไป ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกาลเวลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะเกิดความสงสัยเรื่องขณะของพระนิพพาน เช่นสงสัยว่า ในขณะโคตรภูจิจนั้นมีนิพพานที่เป็นอนาคต เป็นอารมณ์หรือไมาหรือสงสัยว่า ในขณะที่บรรลุมรรคนั้นมีนิพพานที่เป็นปัจจุบันเป็นอารมณ์หรือไม่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2022, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




6915186_preview.png
6915186_preview.png [ 1.03 MiB | เปิดดู 425 ครั้ง ]
:b1: :b1: :b1:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร