วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2022, 05:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Image-6078.jpg
Image-6078.jpg [ 94.4 KiB | เปิดดู 1119 ครั้ง ]
คำว่า สัมมาสัมพุทธะ คือผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ในบทว่า สมฺมาสมฺพุทธนี้ สมฺมา ศัพท์เป็นบทนิบาตที่เป็นไปในอรรถว่่า ชอบ (ถูกต้อง)
ซึ่งเป็นการแสดงว่า กิริยาอาการรู้แจ้ง(ของพระพุทธเจ้า)มีปกติแผ่ไปทั่วเญยยธรรมที่พึงรู้ ดังปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาว่า
โค้ด:
ตถา หิ ปเทสญาเณ ฐิตา ปจฺเจกพุทฺธาทโย อตฺตโน วิสเย เอว อวปรึตํ พุชฺฌนฺติ.
อวิสเย ปน อนฺธกาเร ปวิฏฺฐา วิย โหนติ

วิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้ดำรงค์อยู่ในญาณบางส่วนแล้ว ย่อมรู้แจ้งโดยชอบในวิสัยของตน
ส่วนอารมณ์ที่ไม่ใช่วิสัยก็เหมือนเข้าไปในที่มืด

วิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์นั้นมีน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับพระสัพพัญญู เหมือนดั่งอากาศในอุ้งมือ มีจำนวนน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับอากาศในท้องฟ้า ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ไม่สามารถหยั่งรู้ธรรมที่เป็นผัสสะ(สภาวะกระทบอารมณ์) เป็นต้น โดยประการทั้งหมด แต่ไม่มีธรรมที่พระสัพพัญญูไม่ทรงรู้แจ้งชัด พระองค์หยั่งเห็นธรรมอันเป็นไปในกาล ๓ และพ้นจากกาล(นิพพานและบัญญัติ) ในสังสารวัฏอันไม่ปรากฏเบื้องต้นและโลกธาตุอันหาที่สุดมิได้ ทรงทราบถ้วนทั้งหมดดั่งแก้วมณีในพระหัตถ์ สมจริงดังกล่าวว่า
โค้ด:
สพฺเพ ธมฺมา สพฺพากาเรน พุทฺธสฺส ภควโต ญาณมุเข อาปาถํ อาคจฺฉนฺติ

ธรรมทั้งปวงย่อมมาปรากฏในข่ายของพระญาณของพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้เห็นโดยสิ้นเชิง

ในพากย์นั้น คำว่าในข่ายพระญาณ หมายถึง มหาภวังค์(มหาวิปากจิตดวงแรกที่ทำหน้าที่ภวังค์)ของสัพพัญญู ความจริงธรรมเหล่านั้นแม้ปรากฏเสมอในมหาภวังค์ แต่ครั้งพิจารณาพระอภิธรรม ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ แต่เมื่อพระสัพพัญญูทรงประสงค์จะพิจารณาธรรมเหล่าใด ย่อมใคร่ครวญธรรมเหล่านั้นด้วยอาวัชชนจิตเป็นอย่างๆ และใครๆ ย่อมไม่สมควรท้วงติงว่า ธรรมทั้งหลายมีหลากหลาย แต่มหาวิภังค์เป็นจิตเล็กน้อยไม่ใช่หรือ ความจริงเรื่องนี้เป็นอานุภาพของธรรมที่บรรลุถึงความยิ่งยวด

ส่วน สํ ศัพท์ที่เป็นอุปสรรคที่มีอรรถเหมือน สามํ (ด้วยพระองค์เอง) ซึ่งแสดงว่าพระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งธรรมโดยปราศจากครู ดังพระพุทธวจนะว่า
โค้ด:
น เม อาจาริโย อตฺถิ
"อาจารย์ของเราไม่มี"

ถามว่า :- อรูปาวจรสมาบัติที่ ๓ และที่ ๔ ของพระผู้มีพระภาคมีมูลเหตุคือ อาฬาลดาบสและอุทกดาบสมิใช่หรือ

ตอบ :- อรูปาวจรสมาบัติที่ ๓ และที่ ๔ มีมูลเหตุคือดาบสเหล่านั้นก็จริง แต่สมาบัติเหล่านั้นไม่ใช่บาทแห่งกิริยาตรัสรู้ในภายหลัง เพราะพระองค์มิได้กระทำฌานให้เป็นองค์ประกอบแห่งการตรัสรู้ เพียงแต่บรรลุแล้วละไป เช่นนั้นปฏิเวธธรรมจะเกิดขึ้นโดยอาศัยสมาบัติอย่างไร สมาบัติเหล่านั้นจึงมิใช่เป็นครูนำทางไปสู่การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2022, 06:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริงผู้ทัดเทียบกับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคย่อมไมมีในโลก ดังพระพุทธวจนะว่า
โค้ด:
น เม อาจาริโย อตฺถิ สทิโส เม น วิชฺชติ
สเทวกสฺสมึ โลกสฺมึ นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล
อาจารย์ของเราไม่มี ผู้ทัดเทียมเราไม่มี บุคคลผู้เสมอเราไม่มี ในมนุษย์โลก และเทวโลก

การที่พระองค์ทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครเปรียบเทียบนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์ แม้การที่พระองค์ผู้ประสูติแล้วไม่มีใครทัดเทียมในวันนี้ ย่อมเป็นที่ทราบกันด้วย ในกาลนั้น มหาบุรุษเมื่ประสูติได้ไม่นาน ประทับยืนผินพระพักตรไปทางทิศตะวันออก จักรวาลอันหาที่สุดมิได้ในทิศนั้น(กระจ่าง)เนื่องเป็นเป็นอันเดียวกัน ทวยเทพ และพรหมทั้งหลาย ผู้ดำรงค์อยู่ในจักรวาลได้กล่าวว่า ข้าแต่มหาบุรุษ บุคคลเสมอด้วยพระองค์ ย่อมไม่มีในโลกนี้ ผู้เหนือกว่าจะมีได้อย่างไร แล้วได้บูชายิ่งใหญ่ แม้ทิศอื่นก็เช่นกัน

ลำดับนั้น พระมหาบุรุษทรงทราบว่าเป็นเลิศในโลกทั้งหมด จึงเปล่งวาจาอันองอาจว่า
โค้ด:
อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส. เสฏโฐหมสฺสมิ โลกสฺส. เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว
เราเป็นเลิศ เป็นผู้ประเสริฐ ผู้สูงส่งในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย การเกิดใหม่ของเราจะไม่มีในแต่นี้ไป (จึงกล่าวว่า)การที่พระองค์ถึงชาติสุดท้ายแล้วไม่มีใครเปรียบเทียบนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์

ในขณะที่พระองค์ครั้งเป็นสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้าทีปังกรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ก็ไม่มีใครเสมอพระองค์ด้วยคุณธรรมบารมียกเว้นพระพุทธเจ้าทีปังกร พึงกล่าวถึงว่าไม่มีผู้ใดทัดเทียบพระองค์ด้วยปาฏิหาริย์พิเศษคือการหวั่นไหวแห่งโลกธาตุหมื่นหนึ่งเป็นต้นอันเกิดขึ้นในขณะนั้น โดยแท้จริงแล้วแม้ผู้สะสมปัจเจกโพธิญานแสนคนก็ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์พิเศษไม่ได้ จึงควรที่จะให้เว้นการกล่าวถึงสั่งสมสาวกโพธิญานแสนคน ในคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า
โค้ด:
ตทา ปวตฺติปารมิปวิจยญฺญาณํ อตฺตโน วิสเย สพฺพญฺตญฺญาณคติกํ
"ปัญญาใคร่ครวญบารมีในอันเป็นไปในกาลนั้นมีสภาพคล้ายพระสัพพัญญุตญาณในวิสัยของตน
ความจริงผุ้สั่งสมสาวกโพธิญาณ เมื่อรู้คุณธรรมบารมีอันควรแก่โพธิญาณของตนได้ในกาลใด ก็จะไม่มีภาวะไม่หวนกลับแต่กาลนั้น ล่วงพ้นความเป็นมหาปุถุชนผู้คล้อยตามวัฏฏะหยั่งลงสู่ภูมิของผู้สั่งสมโพธิญาณ เป็นผู้เที่ยง(ในการบรรลุมรรค)และมีการตรัสรู้ในอนาคตโดยปริยาย เมื่อได้ปรากฏเฉพาะหน้าต่อพระพุทธเจ้าในกาลนั้นก็จะได้รับคำพยากรณ์แน่นอน จึงควรเว้นการกล่าวถึงผู้สั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณและปัจเจกโพธิญาณ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร