วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2022, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนอย่างท่านอชิตะ (ศิษย์พราหมณ์พาวรี) ได้ทูลถามปัญหา
กับพระผู้มีพระภาคไว้ในปารายนวรรคว่า

โลก (คือหมู่สัตว์) ถูกอะไรหุ้มห่อ(อวิชชา)ไว้ โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะอะไร
พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบทาโลก(ความสงสัยและความประมาทฉาบทาไว้
อะไรเป็นภัยใหญ่ของโลก(ตัณหา)นั้น

ตตฺถ วิสฺสชฺนา
"อวิชฺชาย นิวุตฺโต โลโก วิวิจฺฉา ปมาทา นปฺปกาสติ (อชิตาติ ภควา)
ชปฺปาภิเลปนํ ทุกฺขมสฺส มหพฺภยนฺติ"

ในคาถานั้น มีวิสัชนาว่า

(พระผู้มีพระภาคตรัสว่า) ดูกร อชิตะ โลกถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้
โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะความสงสัยและความประมาท ตถาคตกล่าวว่าตัณหา
เป็นเครื่องฉาบทาโลกไว้ ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น

ในปัญกาแรกว่า เกนสฺสุ นิวุโต โลโก(โลกถูกอะไรหุ้มห่อไว้)
มีวิสัชนาว่า อวิชฺชาย นิวุโต โลโก(โลกถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้) คือโลกถูกนิวรณ์หุ้มห่อไว้
โดยแทัจริงแล้วเหล่าสัตว์ทั้งปวงมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น สมจริงดังพระพุทธเจ้าดำรัสว่า

ตถาคตกล่าวนิวรณ์อย่างหนึ่งคืออวิชชา โดยความเป็นเหตุเกิดของสัตว์ทั้งปวง ตถาคตกล่าวว่าเครื่องปิดกั้น
ของสัตว์ย่อมไม่มี เพราะการดับ สละ แลัวปล่อยวางอวิชชาโดยสิ้นเชิง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2022, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อชิตมาณพทูลถามปัญหาว่า

โลกอันอะไรสิห่อหุ้มไว้? โลกไม่ปรากฎเพราะเหตุอะไรสิ?
อะไรเล่าเป็นเครื่องฉาบทาโลกนั้น? ขอพระองค์จงตรัสบอก
อะไรเล่าเป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอชิตะ
โลกอันอวิชชาหุ้มห่อไว้ โลกไม่ปรากฎเพราะความตระหนี่
เรากล่าวตัณหาว่าเป็นเครื่องฉาบทาโลก
ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของโลกนั้น

อชิตมาณพทูลถามว่า
กระแสทั้งหลายย่อมไหลไปในอายตนะทั้งปวง
อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย?

ขอพระองค์จงตรัสบอก

ธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย

กระแสทั้งหลายอันอะไรย่อมปิดกั้นได้?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอชิตะ
กระแสเหล่าใดในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น
เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย
กระแสเหล่านี้อันปัญญาย่อมปิดกั้นได้

ท่านอชิตะทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
ปัญญา สติ และนามรูป ย่อมดับไป ณ ที่ไหน?
ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์จงตรัส

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอชิตะ
ท่านได้ถามปัญหาข้อใดแล้ว เราจะแก้ปัญหาข้อนั้นแก่ท่าน
นามและรูปดับไปไม่มีส่วนเหลือ ณ ที่ใด
นามรูปนั้นก็ดับ ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณ

ท่านอชิตะทูลถามว่า
พระอรหันตขีณาสพเหล่าใดผู้มีสังขาตธรรม
และพระเสขบุคคลในทิฏฐิเป็นต้นนี้มีมาก

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ผู้มีปัญญา
ได้โปรดตรัสบอกความดำเนินของพระขีณาสพและเสขบุคคลเหล่านั้น
แก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอชิตะ
ภิกษุไม่พึงติดใจในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว
ฉลาดในธรรมทั้งปวง พึงมีสติเว้นรอบ

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค) ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่เทวดาและมนุษย์หลายพัน

อชิตพราหมณ์ และเหล่าศิษย์ทั้ง ๑,๐๐๐ บรรลุสัจธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา และจิตของอชิตพราหมณ์และเหล่าศิษย์ทั้ง ๑,๐๐๐ นั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น หนังเสือ ชฎา ผ้าคากรอง ไม้เท้า ลักจั่นน้ำ ผม และหนวดของอชิตพราหมณ์และเหล่าศิษย์ทั้ง ๑,๐๐๐ หายไปแล้ว พร้อมด้วยการบรรลุอรหัต อชิตพราหมณ์และเหล่าศิษย์ทั้ง ๑,๐๐๐ นั้น เป็นเอหิภิกขุครองผ้ากาสายะเป็นบริขาร ทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ มีผม ๒ องคุลี นั่งประนมอัญชลีนมัสการพระผู้มีพระภาค ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้

ในอรรถกถาอชิตเถรคาถา (อรรถกถาเล่มที่ 50) กล่าวถึงกาลเมื่อท่านจะดับขันธ์ไว้ดังนี้
ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะบันลือสีหนาท ได้ภาษิตคาถาว่า

เราไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความอาลัยในชีวิต
จักเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ ละทิ้งกายนี้ไป ดังนี้

ก็พระเถระ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้วเข้าฌาน ปรินิพพานแล้ว ในระหว่างนั้นเอง ฉะนี้แล

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร