ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ปฏิปทาแห่งการบรรลุความดับของรูปนาม
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61727
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 28 ก.พ. 2022, 06:04 ]
หัวข้อกระทู้:  ปฏิปทาแห่งการบรรลุความดับของรูปนาม

๑๑๑
อชิตมาณพนี้ย่อมถามอนุสนธิ (ข้อความกำลังถามอยู่)(อันสืบเนื่องมาจากปัญหาก่อน)

ถามว่า : เมื่ออนุสนธิ ชื่อว่าย่อมถามอะไร
ตอบว่า : ถามความดับกิเลสที่ไมมีขันธ์เหลืออยู่

อนึ่ง สัจจะ ๓ คือ ทุกข์ สมุทัย และมรรค เป็นสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
และมีสภาพที่ดับไป ส่วนนิโรธเป็นอสังขตธรรม(ธรรมที่มีปั๗๗ัยปรุงแต่ง)

ในสัจจะเหล่านั้น สมุทัยย่อมถูกละในภูมิธรรม ๒ ประการ คือ ทัสสนภูมิ (โสดาปัตติมรรค)
และภาวนา(มรรคเบื้องบน ๓)

สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ย่อมถูกละด้วยโสดาปัตติมรรค

สังโยชน์ ๗ คือ กามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชาที่เหลือ
ย่อมถูกละด้วยมรรคเบื้อบน ๓

สังโยชน์ ๑๐ เหล่านี้อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ (ปรากฏในกามภูมิ)เป็นส่วนเบื้องบน ๕ (ปรากฏในรูปภูมิ
ในและอรูปภูมิ)มีอยู่ในโลกธาตุ ๓ (กามธาตุ รูปธาตุ และอรูปธาตุ)

(ข้อความนี้แสดงถึงปฏิปทาแห่งการบรรลุอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ซึ่งเป็นสภาพดับรูปนาม
ทั้งหมดว่า คือ อริยสัจ ๔ จำแนกเป็น

๑. สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งในอดีต คือ อวิชชา สังขาร เป็นต้น และปัจจัยในปัจจุบัน คือ
กรรม จิต อุตุ อาหาร ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย และมรรค

๒. อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปัจจัยในอดีตและปัจจุบันปรุงแต่ง คือ นิโรธ

ในบรรดาอริยสัจ ๔ เหล่านี้ สมุทยสัจเป็นธรรมที่ควรละ(ปหาตัพพธรรม)จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. สมุทยสัจที่ควรละด้วยโสดาปัตติมรรค คือตัณหาที่นำไปเกิดในอบายภูมื พระโสดาบัน
ผู้ละตัณหานี้ได้จึงไม่ไปเกิดในอบายภูมื

๒. สมุทยสัจที่ควรละด้วยมรรคเบื้องบน ๓ คือ

ก. ตัณหาหยาบที่เป็นการเสพเมถุน ละด้วยสกทาคามิมรรค พระสกทาคามี
ผู้ละตัณหานี้แล้วจึงไม่เสพเมถุน
ข. ตัณหาละเอียดที่เป็นส่วนความพอใจในกามราคะ ละด้วยอนาคามิมรรค พระอนาคามี
ผู้ละตัณหานี้แล้วจึงไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุธาวาสเป็นส่วนใหญ่ ไม่ไปเกิดในกามาวจรภูมิ
ค. ตัณหาละเอียดที่เป็นความพอใจในรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ละได้ด้วยอรหัตตมรรค พระอรหันต์จึงไม่เกิดอีก เพราะละความพอใจในภพทั้งปวง

ไฟล์แนป:
purepng.com-lost-in-central-parkmanmalewomenfemalecouplecouplesentouragegroupgroupshikingtouristtouristswaiting-1261526399999f6t2r.png
purepng.com-lost-in-central-parkmanmalewomenfemalecouplecouplesentouragegroupgroupshikingtouristtouristswaiting-1261526399999f6t2r.png [ 169.71 KiB | เปิดดู 324 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 28 ก.พ. 2022, 07:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปฏิปทาแห่งการบรรลุความดับของรูปนาม

คำว่า สังโยชน์ แปลตามศัพท์ว่า"เครื่องผูกไว้เสมอ" หมายถึงผูกสัตว์ไว้ในภพเสมอมิให้พ้นไปได้
โดย สํ อุปสรรคใน สํโยชน มีความหมายว่า สพฺพทา(ในกาลทั้งปวง.เสมอดังคัมภีร์เนตติฎีกาอธิบายว่า

สํโยชนวเสนาติ สพฺพทา โยชนวเสน พนฺธนวเสน.
คำว่า สํโยชนวเสน แปลว่า การผูกไว้ในเสมอ
สังโยบน์ ๑๐ ซึ่งผูกเหล่าสัตว์ไว้ในภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ละได้ด้วยมรรค ๒ ประเภท คือ

๑.โสดาปัตติมรรค ละสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
๒. มรรคเบื้องบน ๓ ละกามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ แงะอวิชชา

สังโยชน์เหล่านี้จำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. โอรัมภาคียสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ คือ ทำให้ภูมิเบื้องต่ำคือกามภูมิ หรือพึงละด้วยมรรคเบื้องต่ำ ๓
ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปาามาส กามราคะ และปฏิฆะ
๒. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ทำให้เกิด ในภูมิเบื้องสูงคือ รูปภูมิ อรูปภูมิ
หรือละด้วยอรหัตตมรรค ได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/