ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อสัญญสมาบัติ, นิโรธสมาบัติ, สัญญาเวทยิตนิโรธ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=61765 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 มี.ค. 2022, 04:31 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | อสัญญสมาบัติ, นิโรธสมาบัติ, สัญญาเวทยิตนิโรธ | ||
๓๐๗ คำว่าสมาบัติ เป็นคำสามัญ ส่วนคำนี้ว่า สมาบัติในเรื่องนั้นคืออะไร ![]() ![]() ของผู้ที่เบื่อหน่ายในสัญญา) ![]() การเข้าอรูปฌา ๔) ![]() ![]() “อสัญญสมาบัติ, นิโรธสมาบัติ, สัญญาเวทยิตนิโรธ” “อารมณ์ที่ทำให้จิตคลายความพอใจในสัญญา(สัญญาขันธ์)” เป็นภาวนาอย่างหนึ่ง ของผู้ที่บรรลุรูปปัญจมฌานแล้ว น้อมจิตไปใน สัญญาวิราคอารมณ์ คืออารมณ์อันเป็นเหตุ ให้จิตคลายความยินดีพอใจในสัญญา….(นามขันธ์ทั้ง ๔) -สำหรับพวกมิจฉาทิฏฐิกบุคคล หวังให้นามขันธ์ ๔ ดับ ด้วยเห็นโทษทุกข์ของนามขันธ์ แต่รูปขันธ์ยังเหลืออยู่ เป็นแนวคิดของพวก นอกพุทธศาสนา ในขณะที่บุคคลเหล่านี้เจริญฌานนี้จนชำนาญ ก็สามารถเข้าสมาบัติ ที่ท่านเรียกว่า “อสัญญาสมาบัติ” คำนี้ยังกำกวม ถ้าแปลว่า ” สมาบัติที่ไม่มีสัญญา” จะหมายความว่า ”สมาบัตินี้ ดับสัญญา คือไม่มีสัญญาขันธ์เลย หรือว่า คำนี้หมายเอาเพียงแค่ว่า ”มีภาวะที่ไม่มีสัญญา,หรือมีสัญญาแต่เป็นสัญญาที่ละเอียด (ซึ่งคล้ายกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งก็คงไม่น่าจะใช่) เป็นอารมณ์, หรือมีเพียง แค่ภาวะที่ไม่ยินดีพอใจ (วิราคะ) ในสัญญา หรือในนามขันธ์ทั้งหมดเป็นอารมณ์ ในขณะที่เข้าฌานสมาบัตินี้ แล้วก็เลยเรียกว่า ”อสัญญาสมาบัติ” ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ดับ นามขันธ์ใด ๆ เลยในขณะที่อยู่ในฌานสมาบัตินั้น… แต่เมื่อฌานลาภีบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง และไปเกิดในอสัญญสัตตภูมิ นามขันธ์จึงดับจริงๆ คงเหลือแต่เพียงรูปขันธ์เท่านั้น. อนึ่ง เมื่ออสัญญีสัตว์อยู่ในอสัญญสัตตภูมินั้น ก็ไม่จัดว่าอยู่ในฌานสมาบัติ ไม่ได้มีการเข้าฌาน เพราะไม่มีจิตเจตสิกนั่นเอง -ส่วนแนวคิดของนิโรธสมาบัตินั้น มีความมุ่งหมายที่จะดับนามขันธ์ ๔ โดยตรงด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติที่เหนือไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ แล้วก็ดับนามขันธ์ ๔ ได้จริง ๆ การกล่าวถึงคำว่า ”สัญญาวิราค (คลายความพอใจในสัญญา), หรือ สัญญาเวทยิตนิโรธ (การดับสัญญา,เวทนา และธรรมที่เหลือที่ประกอบกับสัญญา,เวทนา)” เป็นการกล่าวรวบกันของสภาวะจิตที่จะละหรือดับสัญญา อันเป็นแนวคิดของรูปปัญจมฌานลาภีบุคคล (พวกที่จะเป็นอสัญญีสัตว์ในอสัญญสัตตภูมิ) และเป็นแนวคิดของพวกที่ได้ อากิญจัญญายตนฌานแล้ว เบื่อหน่ายต่อสัญญา จึงเจริญฌานที่คลายความพอใจ ในสัญญา(สัญญาวิราค) โดยเอาอากิญจัญญายตนฌานจิตที่ตนได้และดับไปแล้ว นั่นแหละเป็นอารมณ์เมื่อเจริญได้สำเร็จ ต่อแต่นั้น เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ซึ่งมีภาวะคล้ายกับว่า ”มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่” ก็เกิดขึ้น ซึ่งพวกเนวสัญญีนาสัญญีนี้ หากเป็นปุถุชนนอกพุทธศาสนา ก็จะเข้าผิดคิดว่า เนวสัญญานาสัญญาตนฌานนี้ ดับสัญญาได้ แต่จริง ๆ คือสัญญายังไม่ดับ เป็นเพียงแค่ว่าสัญญานั้นละเอียดอ่อนเท่านั้นเอง. นอกจากนี้ เนวสัญญีนาสัญญีสัตว์นี้ยังเข้าใจผิดว่า นี้เป็นอันติมะ เป็นที่สุด และตนได้บรรลุโฆกษะแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่ายังไม่ใช่ที่สุด ไม่ใช่โมกษะ และทรงค้นพบวิธีดับสัญญานี้ได้จริง ๆ ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรด้วย อำนาจของนิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ซึ่งเป็นการดับได้ชั่วคราว และอนุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งเป็นการดับได้อย่างถาวร. แนวคิดเรื่องการเข้านิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ เพื่อดับสัญญาหรือดับนามขันธ์ ๔ ของพระอริยบุคคล คือพระอนาคามี และพระอรหันต์นี้ มิได้มีอารมณ์คือสัญญาวิราคภาวนา เหมือนพวกปุถุชนที่ได้รูปปัญจมฌานแล้วเจริญสัญญาวิราคฌานเพื่อให้ไปเกิด ในอสัญญสัตตภูมิ และไม่เหมือนแนวคิดของพวกเนวสัญญีสัตว์. เพราะแนวคิดของปุถุชนเหล่านี้ เจือด้วยมิจฉาทิฏฐิแน่นอน นิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธนี้ ผู้ที่จะกระทำได้ก็ต้องเป็นพระอนาคามี และพระอรหันต์ ที่ได้รูปฌานอรูปฌานทั้งหมด และมีความชำนาญในวิปัสสนาญาณ… นิโรธสมาบัตินี้ เมื่อเริ่มนับแต่วิถีที่เรียกว่า ”นิโรธสมาบัติวิถี” มีความระคนกัน ในหลายลักษณะ คือ -จิตที่ทำหน้าที่ ปริกรรม อุปจาร อนุโลม โคตรภู เป็นกามชวนะ คือ มหากุศลญาณ สัมปยุตตอุเบกขา๒, มหากริยาญาณสัมปยุตตอุเบกขา๒ -จิตที่ทำหน้าที่ ฌ (ฌาน) ๒ ขณะ เป็นอัปปนาชวนะ ได้แก่ เนวสัญญานา สัญญายตนกุศลจิต๑, กริยาจิต๑ -จิตทั้งหมดที่กล่าวมา มีมหัคคตปฏิภาคนิมิตของอากิญจัญญายตนฌานจิต เป็นอารมณ์ ช่วงของจิตและอารมณ์ที่กล่าวมานี้นับว่าเป็นโลกียธรรม -จากนั้นนามขันธ์ ๔ ดับลง, จิตตชรูปก็ดับ ส่วนรูปที่เหลือ คือกัมมชรูป กัมมปัจจยอุตุชรูป อัชฌัตตาหารรูป ยังเกิดอยู่ยังไม่ดับ ช่วงนี้ว่า โดยสมาบัติ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นโลกียะหรือโลกุตตระ เพราะจิต เจตสิกดับ จะกล่าวว่า ขณะนั้นมีภาวของอนุปาทิเสสนิพพาน ก็อาจจะกล่าวได้ไม่เต็มนัก เพราะอนุปาทิเสสนิพพานนั้นดับขันธ์ ๕ ทั่งหมด หรือจะ กล่าวว่าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เพราะนามขันธ์ดับ แต่รูปขันธ์บางส่วนยังมีอยู่ / แต่ว่า ภาวะของสอุปาทิเสสนิพพานนั้น ท่านก็ให้ ความหมายว่า ดับกิเลสคือตัณหา… -ส่วนเมื่อออกจากนิโรธนั้น มีผลจิต คือ อนาคามิผลจิต หรืออรหัตตผลจิต เกิดต่อ ๑ ขณะ ช่วงนี้จัดว่าเป็นโลกุตตระ และมีนิพพานเป็นอารมณ์ นิโรธสมาบัติ จึงมีความระคนกันด้วยจิตและอารมณ์ ดังกล่าวมานี้ http://dhamma.serichon.us/2021/08/05/%E ... %E0%B8%9A/ https://84000.org/tipitaka/attha/v.php? ... 36&Z=16882
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |