ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ไฟ ๓ กอง http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62299 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 09:53 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ไฟ ๓ กอง | ||
เมื่อตรองดูว่าไฟ ๓ กองนี้เกิดจากไหน ก็จะเข้าใจได้ว่าเกิดจากความเห็นและการได้ยิน เป็นต้น ในขณะที่เราเห็นสิ่งที่น่าชอบใจไฟราคะย่อมเกิดขึ้นผู้ที่ถูกไฟราคะนั้นเขาย่อมกระทำกรรม ทางกายและทางวาจาด้วยความยึดติดผูกพันอันมีราคะเป็นเหตุส่งผลให้ทำบาปและตกในอบาย ไปที่สุดไปธรรมชาติ อาจเผาไม่กี่ครั้งแต่ไฟราคะ ไฟโทสะและไฟโมหะเหล่านี้เขาอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงเขาพบชาติเดียวหรือพันชาติแสนชาติ 1 กัปหรือแสนกลับชาวโลกก็ยังไม่อาจกำจัดกิเลส ที่เริ่มเกิดมาจากการเห็นการได้ยิน ฯลฯ ในชีวิตประจำวันนั้นได้ทั้งยังส่งผลให้เกิดไฟกองอื่นคือ ถ้าเชื้อชราและมรณะเป็นต้นตามมาอีกด้วย กิเลสคือราคะโทสะและโมหะเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเหล่าสัตว์ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงในขณะเห็น จึงเข้าใจผิดว่าเที่ยงเป็นสุขมีตัวตนจึงทำกรรมต่างๆส่งผลให้เวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏแม้จะมิได้ เกิดในอบายภูมิก็อาจเกินเป็นมนุษย์เทวดาหรือพรหมในพบใดพบหนึ่งด้วยอำนาจของกรรมดีแก่ บุคคลนั้นก็ยังไม่อาจหลีกพ้นหรือต้องเวียนด้วย ใจเกิดในสังสารวัฏด้วยอำนาจของฝ่าย กิเลสเหล่านั้นเมื่อมีการเกิดในภพก็ต้องมีความแก่และความตายเป็นที่แน่นอน ไม่เพียงแต่ความตายเท่านั้นที่น่ากลัวแม้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เราต้องพบกับสิ่งที่ไม่น่าชอบใจหรือ ความเศร้าโศก บางครั้งเกิดจากความรำคาญคร่ำครวญที่เนื่องกับความเศร้าโศกบางขนาดต้องพบ กับความทุกข์กายบ้างความทุกข์ใจบ้างความคับแค้นใจซึ่งเป็นความเร่าร้อนทางใจอย่างใหญ่หลวง บ้างชาวโลกที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ นี้ ต้องพบกับไฟเหล่านี้เพราะไม่รู้เห็นรูปนามที่เกิดดับ อยู่เสมอตามความเป็นจริงจึงก่อให้เกิดกิเลสและทำกรรมต่อมาเมื่อกรรมและให้ผลในปฏิสนธิจึง ได้รับทุกข์และชรามรณะเป็นต้น (กิเลสวัฏ > กรรมวัฏ > วิปากวัฏ) ไฟคือชาติมีได้ตามสมควรในภพนี้กล่าวคือจักษุรูปารมณ์และสภาวะเห็น จัดเป็นชาติโดยอ้อม สิ่งเหล่านี้ แก่ชราไป คือเกิดดับอยู่เสมอ แต่ไม่น่ากลัวมากนักเมื่อเทียบกับสังสารวัฏอันยาวนานและเราก็ไม่อาจ ทำให้ใครคือชาติดังกล่าวดับไปได้ สิ่งเหล่านี้สำคัญก็คือต้องไม่ให้ไฟนั้นเกิด ขึ้นอีกในภพต่อไป
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 11:19 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟ ๓ กอง | ||
การปฏิบัติธรรมทำให้ไม่ถูกไฟกิเลสเผา ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องกระทำในปัจจุบันคือการทำตนให้พ้นไปจากไปทั้งหลายที่เนื่องจากการเห็น รวมไปถึงสิ่งที่เป็นผลของไฟกิเลสคือกรรมและสังสารวัฏที่ต้องเกิดแก่เจ็บตายยิ่งไปกว่านั้นการ ปฏิบัติธรรมยังทำให้เราไม่เกิดความเศร้าโศกและความคร่ำครวญเป็นต้นโดยเนื่องจากการเห็นอีกด้วย ผู้ปฏิบัติธรรมควรเจริญวิปัสสนาโดยรู้เห็นรูปนามมีรูปารมณ์ที่ชาวโลกเห็นทั้งพี่เป็นสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตทุกอย่างเป็นต้นในปัจจุบันขณะ ตามความเป็นจริงเพื่อไม่ให้เกิดความเศร้าโศก ความคร่ำครวญและความคับแค้นใจโดยเนื่องจากการเห็นเพราะชาวโลกมักเกิดความรู้สึกดังกล่าว ลากการเห็นและการได้ยินอยู่เสมอนี่คือลักษณะที่ไฟเหล่านี้เผาชาวโลกอยู่ในปัจจุบัน สรุปความว่าไป ๑๑ กองเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอาศัยการเห็นเป็นต้นเป็นเหตุและเผาสภาวะธรรม ๕ อย่าง คือจักษุ รูปารมณ์ จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัสและเวทนาที่เนื่องกับจักขุสัมผัสไฟหล่านี้ถูกดับได้ใน ทุกขณะด้วยวิปัสสนาญาณที่รู้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงมิฉะนั้นไปเหล่านี้ก็จะเผาสัตว์อยู่เสมอ มีเพียงพระอรหันต์ผู้กำกัดกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วจึงสามารถดับไฟเหล่านี้ได้ ผู้ที่เจริญวิปัสสนารู้เห็นรูปนามตามความเป็นจริงเช่นนี้ย่อมไม่เข้าใจผิดว่าจักษุและรูปอารมณ์เป็นต้น น่าชอบใจหรือไม่น่าชอบใจโดยเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเหตุเกิดของ ราคะโทสะและโมหะเท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็นเหตุเกิดตามสมควรของการเกิดในภพใหม่ความแก่ความตายความเศร้าโศก ความคร่ำครวญความทุกข์กายความทุกข์ใจและความคับแค้นใจซึ่งเกิดจากการเป็นของตนได้พบก่อน
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ก.ค. 2022, 13:26 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ไฟ ๓ กอง | ||
วิปัสสนาทำให้เห็นประจักษ์ความไม่เที่ยงเป็นต้น ผู้ที่เจริญวิปัสสนากำหนดรู้เท่าทันปัจจุบันในขณะเห็นได้ยิน รู้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และนึกคิด เรื่องราวทางทวาร ๖ ย่อมเข้าใจว่าจักษุ รูปารมณ์สภาวะเห็นมือจับหูวิญญาณสภาวะกระทบ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะเห็นเหล่านั้นไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นเพียงรูปนามไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่ในขณะที่ไม่ได้เจริญวิปัสสนาย่อมไม่เข้าใจว่าจักษุเป็นรูปคือสภาวะที่แปรปรวนเมื่อพบกับปัจจัย ตรงกันข้ามมีความเย็นร้อนเป็นต้นไม่เข้าใจว่าสภาวะเห็นคือจักขุวิญญาณสภาวะกระทบคือจักขุสัมผัส และสภาวะรู้สึกในขณะเห็นเหล่านี้เป็นเพียงนามที่รู้อารมณ์ได้เท่านั้นอีกทั้งย่อมเข้าใจผิดว่าสภาวะ เหล่านั้นเที่ยงเป็นสุขมีตัวตน ผู้ปฏิบัติที่เข้าใจรูปนามตามความเป็นจริงย่อมรู้เห็นว่าทั้งหมดมีเพียงรูปนาม ๓ ประการที่ดำเนินไป ตามเหตุปัจจัยไม่มีสัตว์บุคคลเราเขาบุรุษหรือสตรีจักษุเป็นรูปสิ่งที่เห็นเป็นรูปสภาวะเห็นเป็นนามสภาวะ ที่กระทบขณะที่เห็นเป็นนามสภาวะที่รู้สึกดีหรือไม่ดีขณะที่เห็นก็เป็นนามเช่นกันต่อมาย่อมเข้าใจว่ารูปนาม เหล่านี้ไม่เที่ยงคือเมื่อบุคคลเห็นรูปารมณ์แล้วขณะนั้นสภาวะ เห็นก็ดับไปทันทีแม้สภาวะได้ยินรู้กลิ่น รู้รสเป็นต้นก็เกิดขึ้นแล้วกลับไปกันดีมิได้คงอยู่ถาวรตลอดไป
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |