วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 07:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2022, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




vector-blue-sky-white-clouds-anime-clean-style-background-illustration-vector-blue-sky-white-clouds-cartoon-style-background-171922530 (1).jpg
vector-blue-sky-white-clouds-anime-clean-style-background-illustration-vector-blue-sky-white-clouds-cartoon-style-background-171922530 (1).jpg [ 104.05 KiB | เปิดดู 630 ครั้ง ]
การกำหนดรู้ในขณะที่เห็น

เมื่อสมถยานิกะเข้าถึงฌานใด ออกจากฌานนั้นแล้ว ย่อมพิจารณากำหนดรู้
ฌานนั้น และรูปอันเป็นที่อาศัยของฌานนั้น พร้อมทั้งรูปที่เกิดเพราะฌานนั้น ฉันใด
แม้วิปัสสนายานิกะ ก็ควรพิจารณากำหนดรู้ฉันนั้นเช่นกัน คือ กำหนดรู้จิตเห็น
จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตกระทบสัมผัส จิตคิด ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วดับไป
ในตอนนั้น พร้อมทั้งรูปอันเป็นที่อาศัยของจิตทั้งหลายเหล่านั้น และรูปที่เกิดเพราะ
จิตเหล่านั้น รวมถึงรูปที่เป็นอารมณ์ของจิตเหล่านั้นด้วย ซึ่งข้อนี้ได้เปรียบเทียบ
ไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา

คำว่า "จิตเห็น" ในที่นี้ หมายถึง จักขุทวารวิถีทั้งวิถี ซึ่งเริ่มต้นที่อาวัชชนะ
สิ้นสุดที่ตทารัมมณะ ทั้งนี้เพราะว่า ในการเจริญวิปัสสนานั้น โยดีไม่สามารถนำ
เอาจิตตุปบาทแต่ละดวงมากำหนดหรือพิจารณาแยกเป็นดวงๆได้เลย จึงต้อง
กำหนดโดยวิถีจิตทั้งวิถี ตามที่ได้นำเสนอเทียบเคียงกับหลักฐานจากพระไตรปิฎก
อัฏฐกถา และฎีกาไปแล้วนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปริเฉทที่ ๖ ตอนที่ว่าด้วยเรื่อง
ของภังคญาณนั้น จะได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก

ถามว่า : จะกำหนด "จิตเห็น" อย่างไร?
ตอบว่า : ในขณะที่เห็น พึงกำหนดว่า "เห็นหนอ" ให้ทันในทุกขณะของการ
เห็นเลยทีเดียว แม้ในขณะอื่นๆก็พึงกำหนดโดยทำนองเดียวกันนี้ เช่น ในขณะที่
ด้ยินเสียง ก็พึงกำหนดว่า "ได้ยินหนอๆ"


ถามว่า ในการกำหนดว่า "เห็นหนอๆ" ในขณะที่เห็นอยู่นั้น เรียกว่า
เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรมใดฤๅ?

ตอบว่า : เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรม ๕ ประการ คือ จักขุปสาท รูปายตนะ
จักขุวิญญาณ ผัสสะ และเวทนา โดยมีลักษณะของการกำหนดรู้ดังนี้ คือ
หากจักษุรูป(จักขุปสาท)ที่มีความใสหมดจดนั้นปรากฎเด่นชัดขึ้นมาโยคีก็จะสามารถ
เห็นจักษุรูปที่มีความผ่องใส ซึ่งเรียกว่า "จักขุปสาท" เป็นอารมณ์ แล้วในกรณี
เดียวกัน หากสภาวธรรมฝ่ายที่เป็นรูปารมณ์ปรากฏชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการรู้
รูป(สีสันวรรณะ) ซึ่งเรียกว่า "รูปายตนะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก โดยทำนองเดียวกัน
หากจิตที่รู้ปรากฏเกิดขึ้นชัดกว่าทั้งสอง(จักขุปสาทและรูปายตนะ) ก็เรียกว่าเป็นการ
รู้ตัวจิตซึ่งเป็นตัวเห็น ซึ่งเรียกว่า "จักขุวิญญาณ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก หากการ
กระทบสัมผัสระหว่างรูปสีสันกับการเห็นปรากฏชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการกำหนด
รู้การเห็นการกระทบสัมผัส ซึ่งเรียกว่า "จักขุสัมผัสสะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก

โดยทำนองเดียวกัน หากเห็นแล้วรู้สึกดี เห็นแล้วรู้สึกไม่ดี เห็นแล้วรู้สึกทั้ง
ดีและไม่ดี ก็เรียกว่าเป็นการกำหนดรู้ความรู้สึกจากการเห็นดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า
"จักขุสัมผัสสชาเวทนา"

ถามว่า : ในการกำหนดนั้น ควรที่จะกำหนดโดยให้ศัพท์และความหมาย
มีความสอดคล้องกัน เช่น หากจักซุปสาทปรากฏชัด โยคีก็ควรกำหนดด้วยภาษา
ของตนให้สอดคล้องกับความหมายของคำบาลี ดังนี้ว่า "ตาใสหนอฯ" หรือ
หากรูปสีสันปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "เห็นรูปหนอๆ" หรือหากจักขุวิญญาณ
ปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "รู้เห็นหนอ" หรือหากผัสสะปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า
"ประจวบหนอ" หรือถ้าเวทนาปรากฏชัด ก็กำหนดว่า "รู้สึกหนอ" มิใช่หรือ?

ตอบว่า : แม้จะควรกำหนดให้สอดคล้องกันก็ตาม แต่ว่า หากมัวแต่จดจ้อง
กำหนดอยู่อย่างนั้น ในแต่ละครั้งที่มีการเห็นเกิดขึ้น ก็จะทำให้เกิดการพิจารณา
ใคร่ครวญเกี่ยวกับการเห็นนั้นโดยทำนองที่ว่า "ธรรมใดหนอ จะปรากฎชัดกว่า
เราจะกำหนดธรรมนั้นอย่างไรหนอ" ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดช่องว่างระหว่าง
การกำหนดหน้ากับการกำหนดหลังได้ ซ้ำยังไม่สามารถกำหนดให้เป็นปัจจุบัน
จะๆได้และไม่สามารถกำหนดจิตทั้งหลายที่ทำหน้าที่พิจารณาได้ จึงทำให้สติสมาธิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2022, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




7207-scaled.jpg
7207-scaled.jpg [ 155.98 KiB | เปิดดู 428 ครั้ง ]
และปัญญาแก่กล้าช้า ตังนั้น ใยตีจึงไม่ควรกำทนดใดยมัวแต่เน้นให้ศัพท์และ
ความหมายมีความสอดคล้องกัน แต่ควรทำการกำหนดรู้โดยลักษณะพื้นๆ เช่น
ในขณะที่เห็น ก็ควรพิจารณาว่า "เห็นหนอ" เท่านั้น ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ จะทำให้
โยคีหมดปัญหาตามที่ได้กล่าวมาแล้วและก็จะทำให้โยดีผู้นั้นสามารถน้นและ
รู้สภาวะใดสภาวะหนึ่งที่ปรากฏชัดในขณะที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็ การที่โยคี
สามารถรู้เช่นทีกล่าวมานี้นั้น จะทำให้สำนวนโวหารที่เป็นคำเรียกกิริยาอากาว
เช่น "เห็นหนอ" ได้ชื่อว่าเป็นวิชชมานบัญญัติ ดัชชาบัญญัติ แกโยคีผู้นั้นผู้ซึ่ง
มุ่งประสงค์จะรู้ชัดแต่เพียงสภาวะของรูปนามที่ปรากฎในขณะที่เห็นเท่านั้น

คำว่า วิชชมานบัญญัติ นั้น หมายถึง ชื่อหรือนามบัญญัติที่ใช้เรียกปรมัตถ
ธรรม ซึ่งมีปรากฏอยู่จริง ก็แล ชื่อของปรมัตถ์นี้ ยังได้ชื่อว่าตัชชาบัญญัติ
ด้วย
ในฐานะเป็นสื่อแสดงให้รู้ถึงสภาวะของปรมัตถ์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยสอดคล้องต้องกัน
ตามที่มีอยู่จริงตังที่ในคัมภีร์ทั้งหลายท่านได้ตั้งรูปวิเคราะห์ให้คำจำกัดความไว้ด้งนี้ว่า
ตสุส ปรมดุถสภาวสุส อนุรูปิ ชายตีติ ตชฺา, สา เอว ปญฺญาเปตพํ
ปรมตฺถสภาวํ ปญฺญาเปตีติ ตชุชาปญฺญตฺติ.


สาเหตุที่เรียกว่า [ b]ตขฺชา[/b] เพราะเป็นชื่อหรือนามบัญญัติที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้อง
กับสภาระปรมัตถ์นั้น เนื่องจากเป็นทั้งชื่อหรือนามที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้องกับ
สภาระปรมัตถ์และสามารถสื่อสภาวะปรมัตถ์ให้บุคคลเข้าใจได้ ดังนั้น จึงเรียกชื่อ
หรือนามนั้นว่า ตัชชาบัญญัติ

ตามนัยที่กล่าวมานี้ พึงทราบว่า ชื่อหรือนามของปรมัตถ์ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่า
จะเป็นชื่อที่เป็นภาษาใดๆ เช่น ชื่อในภาษาบาลีว่า ปถวี, ผสุส ดังนี้เป็นต้น หรือชื่อ
ในภาษาไทย เช่น ติน. แข็งกระด้าง, นุ่ม. เห็น, ได้ยิน เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่ได้
ชื่อว่าเป็นตัชชาบัญญัติทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นนี้ก็ได้แสดงไปแล้วในตอนที่ว่าด้วยเรื่อง
ปรมัตถ์กับบัญญัติในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา

ถามว่า หากโยคีทำการกำหนดโดยใช้ชื่อที่เป็นตัชชาบัญญัติ เช่น "เห็นหนอ"
เป็นต้น แล้วจะไม่เป็นการกำหนดอารมณ์ที่เป็นบัญญัติดอกหรือ?
ตอบว่า ใช่ หากเป็นแต่ในตอนช่วงตันๆที่ภาวนายังไม่แก่กล้าเท่านั้น ด้วยว่า
ในตอนเริ่มต้นเจริญวิปัสสนานั้น หากโยคีผู้ใดได้ทำการกำหนดรู้โดยใช้ชื่อเป็นด้ว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2022, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Zea-mays.jpg
Zea-mays.jpg [ 161.8 KiB | เปิดดู 427 ครั้ง ]
กำหนดไซร้ไยคีผู้นั้นก็จะมีจิตตั้งมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นเหตุให้สามารถรู้สภาวะ
ของรูปนามตามความเป็นจริงและ สามารถทำลายสันตตืฆนบัญญัติกล่าวคือทิวแถว
แห่งรูปนามจนทะสุทะลวงมองเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงได้ในที่สุด ยิ่งเมือ
ภาวนาของโยคีนั้นแก่กล้ำเต็มที่แล้ว ก็จะทำให้จิตที่กำหนดอยู่นั้นสามารถละที้ง
อารมณ์ที่เป็นบัญญัติได้โดยอัตโนมัติ โดยจะรับรูปนามปรมัตถ์แท้ที่กำลังเกิดตับอยู่
มาเป็นอารมณ์เท่านั้น สำหรับโยตีผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ควร
ที่จะปลงใจเขือตามนยะหรือหลักการที่ท่านได้แสดงไว้ในคัมภีวัวิสุทธิมรรคมหาฏิกา
(๑/๒๖๖) ดังนี้ว่า

นนุ จ ดขุชาปญุญตฺติวเสน สภาวธมุโม คยุหดีติ?, สจุจั คยุทดิ ปุพุพภาเค.
ภาวนาย ปน วทุฒมานาย ปญฺญตฺติ สมติกุกมิตฺวา สภาเวเยว ติฏฺฐติ.


ถามว่า ควรที่โยคีจะกำหนดรู้(มนสิการ) สภาวธรรมโดยอาศัยซื้อหรือนาม
ที่เป็นดัชชาบัญญัติหรือไม่?

ตอบว่า ในตอนเริ่มต้นของการปฏิบัตินั้น โยคีสามารถทำการกำหนด
เช่นนั้นได้ แต่เมื่อภาวนาแก่กล้แล้ว จิตของโยคีนั้นจะสามารถข้ามพ้นบัญญัติ
ตังกล่าวแล้วรับเอาสภาวะปรมัตถ์เท่านั้นเป็นอารมณ์

นี่คือคำที่กล่าวไว้ในพุทธานุสสติวรรณนา ตอนที่ว่าด้วยการอธิบายเกี่ยวกับ
พุทธานุสสติกัมมัฏฐาน แม้ถึงกระนั้น คำฎีกานี้ก็สามารถป็นสาธกหลักฐานที่จะ
ทำให้เรามีความเชื่อถือเป็นแบบในเรื่องของวิปัสสนาได้

อนึ่ง ในช่วงที่วิปัสสนาญาณทั้งหลายมีอุทยัพพยญาณเป็นต้น เกิดขึ้นนั้น
เนื่องจากรูปนามปรากฏรวดเร็วมากจึงทำให้ไม่สามารถที่จะกำหนดโดยออกชื่อ
ได้ทัน จึงเพียงแต่กำหนดรู้สภาวะการเกิดดับได้เท่านั้น ซึ่งข้อนี้โยคีจะได้ศึกษา
ในปริเฉทที่ ๕ และก็จะได้ประสบกับตัวเองโดยตรงในเวลาปฏิบัติถึงญาณเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น โยดีจึงไม่ควรนั่งนึกตรึกเอาว่า เราจะต้องกำหนดธรรมใด สภาวะใด
แต่จะต้องสำเหนียกว่า ทุกๆครั้งที่มีการเห็น ก็ให้กำหนดรู้ว่า "เห็นหนอๆ" ผู้ที่
กำหนดเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสภาวธรรมปรากฏชัตนั้น ในเบื้องต้นของ
การปฏิบัตินั้น สภาวธรรมที่จะปรากฎแก่โยศีนั้น ก็จะปรากฎโดยลักขณะ รสะ
ปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โยดีก็จะรู้ตามทันสภาวธรรมที่
ปรากฏนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อให้โยคีสามารถกำหนดรู้ได้อย่างถูกต้อง และให้
สภาวธรรมปรากฎได้อย่างถูกต้อง ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านจึงได้กล่าวคำนี้ว่า
"ลกุขณรสาทิวเสนปริคฺคเทตพุพา โยคีพึงกำหนดโดยความเป็นลักขณะรสะเป็นต้น"
ซึ่งคำอธิบายข้อความนี้ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ตอนว่าด้วยเรื่องของ
การปฏิบัติที่ควรถือเป็นแนวทาง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 73 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร