ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ปรมัตถ์กับบัญญัติ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62432 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 04 ส.ค. 2022, 11:47 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ปรมัตถ์กับบัญญัติ | ||
ปรมัตย์กับบัญญัติ ธรรมที่โยคีพึงกำหนดพิจารณา ในปริเฉทนี้จะได้แสดงจำแนกปรมัตย์กับบัญญัติ และจะได้แสดงสภาธรรม ทั้งหลายที่โยคีพึงนำมาพิจาวณาเป็นวิปัสสนา รวมถึงตัวอย่างของการเจริญวิปัสสนา จากสมถยานิกบุคคลทั้งหลาย ปรโม อุตฺตโม อวิปวีโต อตฺโถ ปรมตฺโถ. (อภิธัมมัตถวิภาวินี) ความหมายหรือสภาวะที่ประเสริฐกล่าวคือไม่เปลี่ยนแปลงไม่วิปริตผิดเพี้ยน เรียกว่า ปรมัตถ์ แปลว่า สภาวะที่ประเสริฐคือสภาวะที่มีอยู่จริง เราไม่สามารถที่จะกล่าวสภาวะที่ผิดเพี้ยนว่า เป็นสิ่งประเสริฐได้ สภาวะที่ ถูกต้อง มีอยู่จริงเท่านั้น จึงจะเรียกว่าเป็นสิ่งประเสริฐได้ สภาวธรรม ๔ ประการ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน จึงได้ชื่อว่าเป็นปรมัตถธรรม ในลฐานะที่เป็นสภาวะที่มี อยู่จริงไม่วิปริตผิดเพี้ยน ปรโม อุตตโม อตฺตปจุจกฺโข อตฺโถ ปรมตฺโถ. (อรรถกถาปัญจปกรณ์) สภาวะที่ประเสริฐกล่าวคือสภาวะที่โยคีสามารถรู้ประจักษ์แจ้งด้วยตนเองได้ เรียกว่า ปรมัตถะ หมายถึง สภาวะที่โยคีสามารถรู้แจ่มแจ้งด้วยญาณของตน สภาวะต่างๆมีอยู่มากมาย เช่น สภาวะที่รู้ได้จากการได้ยินได้ฟังเป็นต้น ซึ่งสภาวะเหล่านั้นอาจมีอยู่จริง เป็นจริง หรือผิดเพี้ยนก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจ เรียกสภาวะ ที่ได้ยินได้ฟังเป็นตันนั้นว่าเป็นปรมัตถะได้ ส่วนสภาวะที่โยศีรู้ประจักษ์ แจ้งด้วยตนเองนั้น ไม่มีคำว่าผิดเพี้ยน มีแต่คำว่าถูกต้องเท่านั้น เพราะเหตุนั้น จิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นสภาวธรรม ๔ ประการ ซึ่งโยคีสามารถรู้ประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเองได้ ดังนั้น สภาวธรรม ๔ ประการเหล่านั้น จึงเป็นสภาวะที่ประเสริฐ สมควรได้เรียกชื่อว่า ปรมัตถธรรม ดังที่ในคัมภีร์อรรถกถาแห่งกถาวัตถุท่านได้ กล่าวไว้ดังนี้ว่า สจุจิกตฺโถติ มายา มรีจิอาทโย วิย อภูตากาเรน อคุคเหตพุโพ ภูตตฺโถ ปรมตฺโถติ อนุสุสวาทิวเสน อคุคเหตพุโต อุตุตมตฺโถ. (อภิ.อฏ.๓/๑๑๒) อตุตโน ปน ภูตตายเอว สจุจิกตฺโถ อตุตปจุจกุขตาย จ ปรมตุโถ, ตํ สนุธายาห. (อภิ.อฏ.๓/๑๑๒) คำว่า สัจจิกัตถะ "สภาวะที่มีอยู่จริง" หมายความว่า เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง เป็นสภาวะที่โยคิไม่สามารถที่จะถือเอาได้โดยอาการที่ไม่เป็นจริง หรือเป็นสภาวะ ที่ไม่ถือเอาด้วยภาพลวงตาเหมือนกับมายากล พยับแดด ดังนี้เป็นต้นซึ่งเป็นสิ่งที่ ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา คำว่า ปรมัตถะ นั้น หมายถึง สภาวะที่ประเสริฐ เนื่องจาก็เป็นสภาวะที่โยคิไม่สามารถถือเอาได้ด้วยการได้ยินได้ฟังต่อจากบุคคลอื่น เป็นต้น
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 04 ส.ค. 2022, 12:42 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ปรมัตถ์กับบัญญัติ | ||
โดยแท้จริง สภาวธรรม ๕๗ ประการนั้นเองได้ชื่อว่าเป็นสัจจิกัตถะ สภาวะที่ เป็นจริง เนื่องจากว่าสภาพตัวตนของธรรม ๕๗ ประการนั้นมีอยู่อย่างแท้จริง และได้ชื่อว่าเป็นปรมัตถะ เนื่องจากว่าเป็นสภาวะที่โยคีสามารถรู้แจ้งประจักษ์ด้วย ตัวเองเท่านั้น ก็พระพุทธองค์ทรงหมายเอาสภาวธรรม ๕๗ ประการ คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒, ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒, นั่นเทียวว่าเป็นสัจจิกัตถะและปรมัตถะ อนึ่ง ในคัมภีร์อรรถกถานี้พึงทราบว่าองค์ธรรมของสัจจิกัตถะและองค์ธรรม ของปรมัตถะเป็นสภาวะเดียวกัน คือได้แก่สภาวธรรม ๕๗ ประการ ดังที่ได้กล่าว ไว้แล้วข้างตัน สภาวธรรม ๕๗ ประการนั้นท่านกล่าวไว้โดยย่อก็มี ๔ ประการ เท่านั้น คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่ถ้าจะย่อให้เหลือ ก็จะได้แก่นามกับรูปเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ในปริเฉทนี้จะเอ่ยถึงเฉพาะชื่อสองชื่อคือรูปกับนาม เท่านั้น ธรรมดาว่านักมายากล เมื่อจะเสกก้อนอิฐ กระดาษ ก้อนหิน เป็นต้น ให้เป็น เงินเป็นทองหรือเป็นเพชร ผู้คนที่มุงดูก็จะมองเห็นเป็นเหมือนกับเงินทองเพชรนิล จินดาของจริง ก็สภาวะที่ผู้พบเห็นคิดเป็นเงินเป็นทองเป็นเพชรเป็นสภาวะที่ไมมี อยู่จริง เป็นสภาวะที่ถือเอาโดยสภาวะที่เป็นจริงไม่ได้ เรียกว่าเป็นทั้งอภูตัตถะ และอสัจจิกัตถะนั่นเอง นอกจากนี้ ในช่วงฤดูร้อน สัตว์ปา เช่น เนื้อ เป็นต้น ผู้กระหายน้ำ เมื่อวิ่งหาน้ำ ย่อมมองเห็นพยับแดดแต่ไกล ก็สำคัญผิดคิดว่าพยับแดด นั้นเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเข้าไปใกล้ ก็ไม่มีอะไร ก็ในการสำคัญผิดคิดว่า พยับแดดเป็นน้ำนั้น สภาวะที่ถูกสำคัญผิดคิดว่าเป็นน้ำนั้นได้ชื่อว่าเป็นอภูตัตถะ และอสัจจิกัตถะ เพราะเป็นทั้งสภาวะที่ไม่สามารถถือเอาตามความเป็นจริง และเป็น สภาวะที่ไม่ได้มีอยู่อย่างแท้จริง โดยทำนองเดียวกัน นามบัญญัติ ก็ดี อัตถบัญญัติ มี สตรี บุรุษ มือ เท้าเป็นต้น ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถือเอาโดยอาการที่มีอยู่จริงได้ ดังนั้น บัญญัติทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านั้น จึงได้ชื่อว่า อภูตัตถะ และอสัจจิกัตถะกล่าวคือเป็นสภาวธรรมที่ไม่ได้มี อยู่จริงนั่นเทียว แต่สำหรับรูปกับนามแท้ๆนั้นมิได้มีลักษณะเช่นนั้น มิได้เป็นสภาว- ธรรมที่เป็นภาพลวงตา แต่เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง สามารถพิสูจน์ได้ เป็นสภาวะที่ ถือเอาได้รู้ได้ตามที่เกิดขึ้นและดับไปนั่นเอง ดังนั้น รูปและนามที่มีสภาวะอยู่จริงนั้น ท่านเรียกว่า ภูตัตถะหรือสัจจิกัตถะ
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |