วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2022, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




99885869-cliff-stone-isolated-on-white-background-.jpg
99885869-cliff-stone-isolated-on-white-background-.jpg [ 85.67 KiB | เปิดดู 610 ครั้ง ]
ลักษณะที่มีอยู่จริงของรูปนาม

บุคคลผู้ที่เห็นรูปารมณ์ด้วยตา ย่อมรู้ว่าตนเองได้เห็นรูป และย่อมรู้ว่ารูปที่ตน
เห็นนั้นมีอยู่ ก็รูปที่รู้ได้เช่นนี้นั้น มิใช่ไม่มีอยู่จริง เหมือนกับของมายากลที่ถูกเสก
เป็นเงินเป็นทอง หรือเหมือนกับพยับแดดที่มีลักษณะปรากฎให้เห็นเหมือนน้ำ ซึ่งเป็น
สภาวะที่ไม่ได้มีอยู่จริง แต่รูปหรือรูปารมณ์ที่บุคคลเห็นได้ด้วยตานั้น เป็นสภาวะที่
เป็นจริงตามที่บุคคลนั้นรู้นั่นเอง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าหากไม่มีอารมณ์ที่
พึงเห็นได้ การเห็นหรือที่ทางพระอภิธรรมเรียกว่าจักชุวิญญาณ ก็ไม่สามารถที่จะ
เกิดขึ้นได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น รูปหรือรูปารมณ์ที่บุคคลเห็นได้ด้วยตานั้น ท่านจึง
เรียกว่า ภูตัตถะ กล่าวคือสภาวะที่ปรากฏจริง หรือ สัจจิกัตถะ"สภาวะที่มีอยู่จริง"

อนึ่ง สัจจิกัตถะนี้ บางครั้งก็เรียกว่าปรมัตถะ กล่าวคือสภาวะที่ประเสริฐคือ
มีอยู่โดยไม่ผิดเพี้ยน หลังจากที่บุคคลเห็นแล้ว ความตรีกนึกคิดวินิจฉัย โดยอาศัย
มโนทวาร เพื่อให้เกิดการจินตนาการเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆนานา ก็จะเกิดขึ้น

ทำให้บุคคลเห็นเป็นสิ่งที่มีทรวดทรงสัณฐานยาวทรวดทรงสัณฐานสั้น ทรวดทรง
สัณฐานกลม แบน สี่เหลี่ยม เห็นเป็นหญิง เห็นเป็นชาย เห็นเป็นใบหน้า เห็นเป็น
มือ เท้าเป็นตัน ก็ลักษณะการจินตนาการตรึกนึกคิดเรื่องนี้นั้น เนื่องจากเป็นการ
ตรีกนึกคิดในอารมณ์ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน หรือไม่เคยได้กำหนดมาก่,อน จึงทำให้
มีความปรากฏอย่างเนิ่นช้า ส่วนอารมณ์หรือวัตถุที่ตนเคยเห็นหรือเคยกำหนดมา
แล้วนั้นไม่จำเป็นต้องคิดโดยใช้เวลานาน ดังนั้น ลักษณะการคิดในอารมณ์ที่เคย
ประสบมาแล้วจึงไม่ค่อยปรากฏชัด เมื่อไม่ปรากฏชัด โยคีทั้งหลายก็คิดว่า เราเห็น
แต่เฉพาะทรวดทรงสัณฐานนั้น ก็กรคิดเช่นนั้น เนื่องจากว่ายังเป็นปุถุชนคนสามัญ
ที่ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างจิตหน้าและจิตหลังเท่านั้นเอง นี้ถือว่าเป็นธรรมชาติ
ของปุถุชน ดังนั้น ในคัมภีร์มูลฎีกา ท่านจึงได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า

จกชูวิญญาณสุสง หิ รูเป อภินิปาตมตฺตํ กิจจํ, น อธิปปายสหกุโน จลนวิการสุส
คหณํ, จิตฺตสุส ปน ลหฺปริวตฺติตาย จกชุวิญญาณวีถิยา อนนฺตรํ มโนวิญญาเณน
วิญญาตมฺปิ จลนํ จกุขุนา ทิฏฐํ วิย มญฺญนฺติ อวิเสสวิทุโน.

(มูลฎี. ๑/๗๒)

การมุ่งเข้าไปในรูปารมณ์หรือการสักแต่ว่าเห็นรูปารมณ์นั้น เป็นกิจหรือหน้าที่
ของจักขุวิญญาณ ซึ่งเป็นกิจทำหน้าที่เห็น การถือเอากล่าวคือการรู้อาการเคลื่อนไหว
พิเศษพร้อมกับความประสงค์นั้น ไม่ใช่กิจของจักขุวิญญาณแต่อย่างใด แต่จะอย่างไร
ก็ตาม ปูถุชนคนสามัญทั่วไปผู้ซึ่งไม่รู้ความแตกต่างระหว่างจิตข้างหน้าและจิตข้าง
หลังย่อมสำคัญผิดคิดถึงอาการที่เคลื่อนไหวซึ่งสามารถรู้ได้แม้ด้วยมโนวิญญาณ
ในระหว่างของวิถีจิตที่เป็นจักขุวิญญาณวิถีนั้นว่าเป็นเหมือนกับอารมณ์ที่ตนได้เห็น
ด้วยตา

ในขณะที่เห็นการเคลื่อนไหวมือเท้าเป็นต้นนั้น จิตที่เห็นนั้นจะเห็นเฉพาะ
รูปารมณ์เท่านั้น ไม่ได้รับรู้ว่าเป็นมือเป็นการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้น
เนื่องจากสภาวะจิตเป็นธรรมที่มีความเร็วอย่างมาก เพราะฉะนั้น หลังจากที่จิตเห็น
กล่าวคือจักขุวิญญาณเกิดขึ้นแล้วนั้น ปุถุชนคนสามัญย่อมไม่สามารถที่จะแยกแยะ
ได้ว่าจิตที่เกิดก่อนกับจิตที่เกิดหลังเป็นอย่างไร พวกเขาจะคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเห็น
กล่าวคือการเคลื่อนไหวนั้น ซึ่งการรับรู้ด้วยการคิด ก็เป็นการเห็นด้วยดา เช่นกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2022, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20220620_072704.jpg
20220620_072704.jpg [ 97.12 KiB | เปิดดู 472 ครั้ง ]
แต่สำหรับผู้ที่ได้ฝึกฝนวิปัสสนามาอย่างชำชองย่อมสามารถตัดสินวินิจฉัยด้วย
ญาณปัญญาของตนเองว่า จิตที่เห็นก็เป็นอีกสภาวะหนึ่ง จิตที่รู้ว่า "นี่คือมือ"
ก็เป็นอีกสภาวะหนึ่ง จิตที่รู้ว่า "นี้คือการเคลื่อนไหว" ก็เป็นอีกสภาวะหนึ่งนั่นเทียว

แต่อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้บุคคลธรรมดาทั่วไปพอที่จะจำได้
และมีความเชื่อมั่นและเชื่อถือ จึงจะขอยกตัวอย่างมาแสดงพอเป็นแนวทาง ดังนี้
อุปมาเหมือนกับว่า ในยามค่ำคืน บุคคลเอาดวงไฟมาแกว่งเป็นวงกลม คนที่ดูก็จะ
เห็นท่อนที่มีดวงไฟนั้นว่าเป็นการเห็นไฟวงกลม ยิ่งถ้าได้แสดงด้วยรูปแบบต่างๆเช่น
รูปแบบที่ยาวๆรูปแบบสามเหลี่ยม คนที่ดูก็จะมองเห็นเป็นดวงไฟยาว หรือดวงไฟ
สามเหลี่ยม ดังนี้เป็นตัน แต่ความเป็นจริงแล้ว รูปสัณฐานของดวงไฟที่เป็นวงล้อ
มีสัณฐานกลมนั้นมิได้มีอยู่ ในขณะเดียวกัน บุคคลไม่สามารถที่จะเห็นทรวดทรง
สัณฐานเหล่านั้นในขณะเดียวได้ แต่เนื่องจากว่ารูปสีแดงๆของไฟนั้นมีอยู่กระจาย
ไปในทุกที่ที่แกว่ง เพราะฉะนั้น จึงทำให้บุคคลมองเห็นเป็นลำดับไม่ขาดสายตลอด
ระยะเวลาที่แกว่งนั้น รูปทรงสัณฐานนั้นๆย่อมปรากฎในจิตทั้งหลายที่เกิดขึ้น
หลังๆซึ่งประมวลเอาการเห็นที่หลากหลายนั้นมาตรึกนึกคิดให้เห็นเป็นสิ่งเดียวนี้เป็น
ตัวอย่างการอุปมาอุปไมย ที่มีมาในคัมภีร์โดยตรง

อีกนัยหนึ่ง อุปมาเหมือนกับผู้ที่อ่านหนังสือไม่ค่อยจะเป็น เมื่อเห็นตัวหนังสือ
ต่างๆก็จะนำมาตรึกนึกคิด ใช้เวลาพอสมควร จึงจะสามารถอ่านทีละพยางค์ ทีละบท
ทีละตอนได้ ซึ่งกว่าจะอ่านได้ก็ต้องใช้เวลามาก บุคคลที่ยังอ่านหนังสือไม่คล่องนั้น
เนื่องจากต้องใช้เวลาคิดอยู่นาน ความคิดนั้นจึงจะปรากฎชัด แต่สำหรับผู้ที่อ่าน
หนังสือคล่องแล้ว การหยุดคิดก็จะไม่ค่อยปรากฏ คือจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แค่เหลือบ
ตาเห็นก็สามารถอ่านหนังสือได้แต่ว่าลักษณะความคิดที่เร็วนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่นั่นเทียว
แต่เนื่องจากมีความเร็วมากจึงไม่สามารถปรากฏ ฉันใดก็ฉันนั้น

ลักษณะการเห็นกับการนำมาตรึกนึกคิดในวัตถุอารมณ์ที่ตนยังไม่เคยเห็น
ก็ย่อมมีการปรากฏที่นานและชัดเจนกว่าอารมณ์ที่ตนเคยเห็นมาก่อน ซึ่งใช้เวลา
ไม่มากในการตรึกนึกคิดแล้วรู้อารมณ์นั้น จึงทำให้การตรึกนึกคิดไม่ค่อยปรากฎ
ดังนั้นเพียงแต่ได้เห็น เราก็สามารถแยกแยะได้ว่านี้คือหญิง นี้คือชาย ก็เนื่องจากว่า
เราเคยเห็นอารมณ์เหล่านี้มาก่อนแล้วเราก็จะคิดว่านั่นคือหญิงคือชายเป็นต้นไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2022, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




20220725_161614.jpg
20220725_161614.jpg [ 121.33 KiB | เปิดดู 473 ครั้ง ]
ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏ แต่ลักษณะการคิดที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากการเห็นนั้นย่อมมีอยู่อย่างแน่นอน ด้วยความคิดหรือการจินตนาการเอา
นั่นแหละ จึงทำให้บุคคลตัดสินลงไปว่านี้คือหญิง นี้คือขาย ตังนี้ เป็นตัน ด้วยการที่
ไม่สามารถรู้ได้ในขณะที่เห็นอยู่ แต่สามารถรู้เห็นได้หลังจากยึดติดคิดเอาอารมณ์
นั้นมาพิจารณาแล้ว สภาวะที่เรียกว่าหญิงชายนั้นจึงเปลี่ยน จึงไม่ใช่มีลักษณะ
เหมือนกับดวงไฟที่เป็นวงกลมในขณะที่บุคคลแกว่ง คือเป็นสภาวะที่ไม่ได้มีปรากฏ
อยู่อย่างแท้จริง ตังนั้น จึงไม่ได้ชื่อว่าภูตัตถะหรือสัจจิกัตถะ
หรือปรมัตถะ เป็นแค่
สมมุติบัญญัติเท่านั้น. เพราะเป็นเพียงสิ่งที่สามารถสมมุติชื่อไว้โดยประการต่างๆ
หรือทำเป็นเพียงเครื่องหมายสัญลักษณ์ไว้โดยประการต่างๆได้เท่านั้น

บัญญัติธรรมนี้ไม่มีปรากฏอย่างแท้จริง ซึ่งลักษณะความไม่ปรากฏแห่งบัญญัติ
ดังกล่าว หากจะพิจารณาแล้ว ก็สามารถจะรู้ได้ ซึ่งลักษณะการพิจารณารู้นั้น
พึงทราบดังนี้ หากเราจะถอนเอาวรรณรูปทุกอย่างที่เราเห็นได้ออกจากทัพพะตัวตน
ที่เราเห็นว่าเป็นหญิงเป็นชายนั้น ก็จะเห็นว่า ไม่มีคำว่าหญิง ไม่มีคำว่าชาย เป็นต้น
ที่สามารถจะเห็นได้ เพราะฉะนั้น สภาพที่เห็นได้จึงเป็นเพียงแค่วรรณรูปหรือ
สีสันเท่านั้นไม่ใช่เป็นหญิงเป็นชายหรืออื่นๆเราจะเห็นได้เฉพาะกลุ่มวรรณรูปเท่านั้น
ส่วนหญิงชายเป็นต้นเราไม่สามารถที่จะเห็นได้ สมมุติบัญญัติคือหญิงชายที่เรา
คิดว่าได้เห็นมานั้น พึงทราบว่าไม่มีปรากฎอยู่จริงตามที่เราคิดว่าเราเห็นหรอก
เกี่ยวกับกรณีนี้แม้ว่าจะไม่สามารถเห็นหญิงชายนั้นได้ แต่ก็อาจจะมีการทักท้วงได้
ว่า หญิงชายที่เราสามารถเห็นได้ สัมผัสได้นั้นมีอยู่ ก็สภาวะที่เราสามารถกระทบ
สัมผัสได้นั้นยังไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย เป็นเพียงโผฎฐัพพรูปที่กระทบสัมผัสได้เหมือน
กับวรรณรูปที่สามารถเห็นได้เท่านั้นเอง บุคคลสามารถสัมผัสโผฎฐัพพรูปนั้นเท่านั้น
ไม่สามารถที่จะสัมผัสตัวสตรีบุรุษหรือหญิงชายเป็นต้นได้เลย

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าหากเราจะนำเอาโผฎฐัพพรูปทั้งหมดที่สามารถ
กระทบสัมผัสได้ออกทั้งหมดแล้วก็จะไม่เหลือรูปหญิงรูปชายที่สามารถให้กระทบ
สัมผัส ได้เลย ดังนั้น หญิงชายเป็นต้นจึงเป็นเพียงบัญญัติ ไม่สามารถมีอยู่จริง
ไม่ปรากฏ โดยปรมัตถ์อย่างแท้จริง จึงได้ชื่อว่า อภูตัตถธรรม และอสัจจิกัตถธรรม
เท่านั้น หมายความว่า หญิงชายเป็นตันเหล่านั้นก็เป็นเพียงสภาวธรรมที่ยังไม่ใช่
ของจริง ยังไม่ใช่ของแท้ตามที่ปุถุชนตรีกนึกคิดเอาเองว่า "เราได้เห็นหญิง เราได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2022, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Students-Learning-Transparent-PNG.png
Students-Learning-Transparent-PNG.png [ 193.43 KiB | เปิดดู 474 ครั้ง ]
เห็นชาย เราได้กระทบสัมผัสหญิง เราได้กระทบสัมผัสชาย" เมื่อหญิงชายเป็นต้น
เหล่านี้เป็น อสัจจิกัตถะจึงมิได้เป็นปรมัตถ์ แต่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ เรียกว่า
อปรมัตถธรรม หมายความว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่ปรมัตถ์นั่นเอง

แม้แต่ความใสแห่งจักษุที่เรียกว่าจักขุปสาทนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเป็นสภาวะ
ที่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้น ในความใสแห่งดวงตาหรือจักษุนั้นจึงก่อให้เกิดการเห็น
เนื่องจากมีรูปารมณ์ปรากฏในความใสของจักษุนั้นนั่นเอง หากไม่มีจักขุปสาทหรือ
ความใสแห่งจักษุอยู่ รูปสีสันก็ไม่สามารถปรากฎได้ การเห็นก็จะไม่เกิดขึ้น อุปมา
เหมือนกับว่า บนกระจกที่ใสสะอาดนั้น บุคคลสามารถเห็นรูปเห็นเงาปรากฎที่กระจก
ที่ใสสะอาดนั้นได้ แต่ถ้ากระจกไม่ใสสะอาด รูปเงาก็ไม่สามารถปรากฎที่กระจกนั้นได้
บุคคลก็ไม่สามารถที่จะเห็นรูปเงาบนกระจกนั้น

ดังนั้น จักขุปสาทรูปที่บุคคลนึกคิดว่า เป็นรูปจักษุที่ใสสามารถก่อให้เกิด
การเห็นได้นั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เรียกว่า เป็นภูตัตถธรรม เป็นสัจจิกัตถธรรม
และเป็นปรมัตถธรรมโดยแท้ แม้แต่การเห็นก็เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง เพราะมีอยู่
จริงนั่นเอง จึงทำให้บุคคลสามารถรู้รูปสีสันวรรณะต่างๆได้ แต่ถ้าไม่มีอยู่จริง
ก็ไม่สามารถจะรู้ว่า เห็นอะไรได้ พูดก็พูดไม่ได้ ดังนั้น สภาวะที่เห็นที่เรียกว่า
จักขุวิญญาณนั้น จึงเป็นภูตัตถธรรม สัจจิกัตถธรรมและปรมัตถธรรม แม้ในกรณี
สัททรูปกล่าวคือเสียงที่บุคคลสามารถได้ยิน และโสดปลาทคือความใสที่โสดะ
อันเป็นเครื่องรับสัททารมณ์ กล่าวถึงการได้ยินกล่าวคือโสตวิญญาณเป็นต้น ก็เป็น
สิ่งที่มีอยู่จริงตามที่เรานึกคิดและรู้ ดังนั้น สภาวะเหล่านี้พึงทราบว่าเป็นภูตัตถธรรม
สัจจิกัตถธรรมและปรมัตถธรรม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร