วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2022, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Gautama-Buddha-PNG-Free-HQ-Download.png
Gautama-Buddha-PNG-Free-HQ-Download.png [ 440.88 KiB | เปิดดู 986 ครั้ง ]
มุมมองของพระพุทธองค์

คาถาแรก "กาม่ กามยมานสฺส ฯลฯ" เป็นการแสดงถึง อสฺสาท สิ่งที่ทำให้
บุคคลหลงคิดอยู่ ให้เพลิดเพลินอยู่ เช่น อิฏฐารมณ์ อันประกอบด้วยรูป เสียง
กลิ่น รส เป็นดัน สิ่งเหล่านี้เรียกว่า อสฺสาท เมื่อสิ่งเหล่านี้แปรเปลี่ยนไป หรือว่า
ไม่ได้สิ่งเหล่านั้นตามต้องการก็จะเกิดความทุกข์ใจ ความเสียใจ ทุกข์โทมนัสนี้
เรียกว่า 'อาทีนว"

นี้ป็นการแสดงอสฺสาท อาทีนว นิสฺสรณ อันนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่มาใน
พุทธพจน์ แต่ถ้ำเราลองไปอ่านพระสูตร สูตรใดสูตรหนึ่งดูว่ามี อสฺสาท อาทีนว
นิสฺสรณ อยู่หรือไม่ ถ้ำไม่มี แสดงว่าพระพุทธองค์ทรงแฝงเอาไว้ หากนักศึกษามี
หลักอภิธรรมก็จะช่วยให้มองเห็นว่าตรงไหนแสดงข้อความอัสสาทะ ตรงไหน
แสดงข้อความอาทีนวะ ตรงไหนแสดงข้อความนิสสรณะ ท่านบอกว่าแม้แต่สุข
เวทนา ถ้ามองตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว เสวยไปก็จะกลายเป็นอาทีนวะเช่นกัน
เหมือนกับที่เรากินอาหารที่ผสมด้วยยาพิษหรือสารปนเปื้อน ถ้ามันออกฤทธิ์เมื่อ
ไรมันก็จะเกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ยังเป็นสังขารในภูมิทั้ง ๓ อยู่
สิ่งนั้นก็มีแต่ อาทีนวะขอให้พยายามมองสิ่งเหล่านั้นให้เห็นโทษจริง ๆ จะอย่างไรก็
ตาม ในส่วนของอัสสาทะไม่ใช่ไม่มอง นักศึกษาจำเป็นต้องเข้าใจอัสสาทะอยู่พอ
สมควร เพราะว่ามันจะเปลี่ยนแปลง จากอัสสาทะ ไป เช่น สุข ตอนแรกเป็นอัสสาทะ
พอเปลี่ยนแปลงไปก็กลายเป็นอาทีนวะ หมายความว่าเป็นวิปริณามธรรม จึงต้อง
ให้ตามดูอัสสาทะด้วย และก็ตามดูอาทีนวะด้วย ไม่ใช่มองแต่เฉพาะด้านใดด้าน
เดียว เช่น มองเห็นแต่โทษฝ่ายเดียว เดี๋ยวจะถูกหาว่ามองแต่ในแง่ลบ (pessimist)
มีบางคนบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนแต่อาทีนวะ หาว่าพระพุทธองค์ทรงมองโลก
ในแง่ร้าย คือมองแต่ไทมเห็นแต่ทุกข์ แต่ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีพระ
ประสงค์ให้มองเห็นความจริง เช่นในกรณีที่มองอัสสาทะ ก็ต้องรู้ว่าสิ่งนี้คือ อัสสาทะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2022, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




fiberglass-live-size-buddha-statue-250x250.png
fiberglass-live-size-buddha-statue-250x250.png [ 36 KiB | เปิดดู 982 ครั้ง ]
แต่ก็เราไม่สามารถมองเห็นตามลักษณะเช่นนี้ เราก็ไม่สามารถที่จะตัดกิเลส
ตัณหาได้

ในอังคุตตรนิกายพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่าตอนที่พระองค์ทรง
เสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้แสวงหาอัสสาทะ และแสวงหาสิ่งที่เป็นอาทีนว
คือต้องการลองทั้งสองถย่าง ครั่นแสวงหาสิ่งที่เป็นอัสสาทะ และเเสวงหาสิ่งที่
เป็นอาทีนวะ แล้วจึงได้มาพบนิสสารณะและหลุดพัน ในที่สุดหมายความว่า ตอน
ที่พระองค์ยังบำเพ็ญบารมีอยู่ทรงมีประสบการณ์ทั้งอัสสาทะ และ อาทีนวะ ด้วย
เหตุนี้ พระพุทของค์จึงทรงมีพระประสงค์ให้เหล่าเวไนย์มองไห้เห็นทั้ง อัสสาทะ
และ อาทีนวะ ของสิ่งนั้น ๆ ด้วย ก็ญาณที่หยั่งรู้ทั้งอัสสาทะและอาทีนวะนี้ท่าน
เรียกว่า ยถาภูตญาณ

คำว่า 'อาทีนวญาณ' เป็นญาณชนิดหนึ่งในวิปัสสนาญาณ ๑๐ เป็นญาณที่
มองเห็นโทษ จะอย่างไรก็ตาม สำหรับในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมื
อาทีนวญาณดังกล่าว มิจะนั้นแล้วเราก็จะต้องนั่งเจริญวิปัสสนา แต่เป็นการแนะนำ
ให้รู้ตามสุดมยณาณนี้แหละ

การรู้ตามที่ท่านอธิบายไว้ก็ถือว่าเป็นความรู้เหมือนกัน แต่แม้ว่าตามความ
เป็นจริงแล้วอาทีนวญาณ "การมองเห็นโทษ(อาทีนวะ) จะหมายถึงวิปัสสนา
ญาณเท่านั้นก็ตาม โดยมีมรรคผล เป็นจุดหมายปลายทาง ถ้ำมองเห็นโทษก็ต้อง
งดเวัน เมื่องดเว้นก็พอมีทางที่จะหลุดพันไห้ เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าในพระพุทธพจน์
จะมีการแสดงสิ่ง ๓ ประการนี้ คือ อสฺสาท อาทีนว นิสฺสรณ ซึ่งก็เป็นหลัก
สำหรับการปฏิบัติดีดีนั่นเอง ถ้ามองไม่เห็นอาทีนวะก็ย่อมไม่มีทางที่จะข้ามพ้น
สิ่งต่าง ๆ อันที่เป็นอาทีนวะ แม้กระทั่งที่บอกว่าเป็นความสุขมันก็ยังต้องกลาย
เป็นอาทีนวะ

เพร าะฉะนั้น อาทีนวะ จึงเรียกว่า"เตภูมกสังขาร' เตภูมืกสังขารก็มีเนื้อหา
ครอบคลุมไปหมดแล้ว เว้นไว้แต่โลกุตตระเท่านั้น ฉะนั้น จึงมีอัสสาทะข้างหนึ่ง
และอาทีนวะข้างหนึ่ง ทำให้มองได้สองด้าน สำหรับอัสสาทะ พระพุทธเจ้าไม่
ทรงยกย่อง เพราะความว่าจริงแล้วมันก็คือ อาทีนวะ อัสสาทะ เรามองในลักษณะ
วิปัลลาส ถ้ำเป็นปุถุชนมองเห็นเป็นอัสสาทะ ถ้าเป็นอริยบุคคลมองเห็นเป็น
อาที่นวะ แล้วแต่บุคคลด้วย เว้น ๓ คาถา ที่แสดงอัสสาทะ อาทีนวะ และนิสสรณะ
ซึ่งเหมือนกับวันก่อนที่ผ่านมาแต่มีพิเศษตรงคำแปล ซึ่งมีในพระไตรปีฎก ให้
นักศึกษาไปฝึกค้นดูเอาเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร