ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62532 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ส.ค. 2022, 07:28 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ | ||
การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ ในเวลาที่ทำการกำหนดรูปนามนั้น รูปนามที่ปรากฎออกมาเป็นเพียงสภาวะ เป็นเพียงการเกิดและการดับนั้นโยคีผู้ที่ศรัทธาหรือสัทธินทรีย์แก่ยิ่งกว่าคุณธรรมอื่น ทำให้มีศรัทธา กิดความปักใจเชื่อคิดแล้วคิดอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก อยู่เนื่องๆ ลักษณะของการคิดพิจารณานั้น ก็จะมีความดื่มด่ำปักใจเชื่อเหมือนกับ หาที่สิ้นสุดไมได้โดยทำนองเป็นตันว่า "รูปและนามทั้งสองเท่านั้นที่มีอยู่ ส่วนบุคคล สัตว์ ตัวตนหามีไม่ คำพูดเช่นนี้ก็เป็นความจริง, ข้อที่ว่าไม่มีสภาวธรรมใดตั้งมั่น อยู่ได้ถึงชั่วพริบตา มีแต่สภาวะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปโดยทันทีเท่านั้น ข้อนี้ก็เป็น เรื่องจริง,ข้อที่กล่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง เช่น ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่งาม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่เพียง สภาวธรรมเท่านั้นข้อนี้ก็เป็นเรื่องจริงสภาวธรรมนั้นมีอยู่ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้นั่นเทียว เป็นจริงอย่างที่ครูอาจารย์ท่านสอนไว้นั่นเทียว" แม้ในขณะที่มีการคิดพิจารณาเชื่อด้วยศรัทธาเช่นนี้ โยคีจะไม่สามารถรู้ได้ อย่างชัดเจนถึงการเกิดการดับของความนึกคิดนั้นเลย และจะทำให้ไม่สามารถ กำหนดการเกิดการดับของรูปนามได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากว่ามีศรัทธายิ่ง เกินไป จึงทำให้ไม่สามารถที่จะรู้ทุกอย่างที่กำหนดนั้นอย่างชัดเจนได้ในทุกๆขณะ ที่กำหนด นี้เป็นลักษณะที่เป็นข้อเสียของการกำหนดที่มีศรัทธายิ่งเกิน
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ส.ค. 2022, 07:44 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ | ||
บุคคลผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลมมากเกิน ย่อมพิจารณาใคร่ครวญในทุกๆขณะได้ เช่น อาจมีการพิจารณาในระหว่างๆที่กำหนดอยู่ว่า "นี้เป็นรูปหรือ นี้เป็นนามหรือ นี้เป็นผัสสะหรือ หรือว่าเป็นเวทนา สภาวะนี้ย่อมปรากฏดีหรือไม่หนอ หรือไม่ดี หรือหนอ สภาวลักษณะปราณฎหรือหนอ กิจหรือรสะปรากฎหรือหนอ"หรือไม่ก็ พิจารณาว่า"การเกิดดับปรากฎรือไม่หนอไตรลักษณ์มีอนิจจลักษณะเป็นต้นปรากฏ หรือไม่หนอ" ก็ผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลมเกินนั้น ย่อมจะทำการพิจารณาเปรียบเทียบ สิ่งที่ตนกำลังกำหนดได้ชัดเจนกับสิ่งที่ตนได้เคยฟังเคยจำเคยเข้าใจมาก่อน เนืองๆได้ ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นไม่สามารถที่จะรู้ชัดเจนเกี่ยวกับการเกิดการดับของจิต ที่ทำการกำหนดนั้นได้ และไม่สามารถที่จะกำทนดรูปนามอื่นๆที่กำลังเกิดดับอยู่ ได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญญาที่ต้องการพิสูจน์สืบสวนมีมากในแต่ละขณะที่ กำหนด จึงไม่สามารถทำให้บุคคลนั้นรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ตนกำลังกำหนดได้อย่างชัดเจน นี้เป็นข้อเสียของการกำหนดที่มีปัญญาตามพิจารณาสืบสวนมากจนเกินไป แต่ด้วยอำนาจของอุเบกขาซึ่งมีลักษณะเป็นสภาวธรรมที่ทำหน้าที่ปรับ อินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอกันนั้น ซึ่งทำให้ครัทธากับปัญญามีความสม่ำเสมอกัน ครั้นศรัทธาปัญญาเหล่านั้น มีความสม่ำเสมอกันด้วยอำนาจของอุเบกขาเป็นตัวปรับ ให้แล้ว ก็จะทำให้โยดีไม่ใช้ครัทธาความเชื่อมากเกินไป ไม่ใช้ความคิดปัญญาใน การพิจารณามากเกินไป แต่โยคีนั้นได้เอาใจใส่กำหนดทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่าง ต่อเนื่อง โยคีผู้นั้นจะไม่ทำให้เกิดการคิดพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับแต่ก่อน แต่จะทำการเอาใจใส่ในการกำหนดรูปนามที่เกิดขึ้นได้ตามลำดับเป็นอย่างด ในเวลาที่วิริยะความเพียรแก่กล้ามีกำลังมากกว่าสภาวธรรมอื่นนั้นทำให้โยคี มีความกระตือรือรันเอาใจใส่มากเกินเอาแต่รอคอยหรือแสวงหาอารมณ์ที่จะกำหนด ทำให้โยคีเกิดความเพงพินิจพิจารณาว่าเราจะกำหนดได้หรือไม่หนอ กำหนดไปแล้ว มันจะเล็ดลอดหรือหลงเหลืออะไรหรือไม่หนอ และทำให้โยคีเกิดความวิตกกังวล โดยต่างๆนานา เช่น เล็ดลอดโดยไม่กำหนดไปเมื่อไร ดังนี้ เป็นต้น หรืออาจจะ เกิดความวิตกว่า ต่อไปเราจะต้องทำการกำหนดให้ดีไปกว่านี้ นี้เป็นลักษณะของ การเดือดเนื้อร้อนใจเอาใจใส่มากเกินไป จึงทำให้จิตไม่ตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็จะเกิดความฟุ้งช่านเพราะความฟุ้งซ่านจึงไม่สามารถทำให้กำหนดรูปนามที่ เกิดขึ้นทุกขณะได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อความตั้งมั่นมีกำลังน้อยเพราะมัวแต่มีความ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ส.ค. 2022, 08:11 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ | ||
วิตกกังวลอยู่ จึงทำให้โยคีไม่สามารถรู้สิ่งที่ตนกำหนดได้อย่างชัดเจน นี้เป็นโทษ ของการกำหนดที่มีวิริยะมากจนเกินควร แม้ในเวลาที่โยมีสมาธิ ความตั้งมันแห่งจิตมากเกินไป ก็จะทำให้โยดีนั้นเฝ้า แต่กำหนดอารมณ์เดียวเท่านั้นอย่างต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอารมณ์อื่นๆไม่ สามารถผ่านเข้ามาได้ จึงทำให้โยคีผู้นั้นปราศจากการกระตือรือร้นเอาใจใส่ที่จะ กำหนดอารมณ์ใหม่ๆได้ เมื่อไม่มีความพยายามหรือใจจดจ่อที่จะกำหนดอารมณ์ ใหม่ๆก็จะกำหนดอยู่แต่ในอารมณ์เดิมๆโดยปราศจากการกระตือรือร้นหรือพยาปาระ หรือความเพียร เหมือนกับในเวลาที่เราสวดสาธยายสิ่งที่เราท่องจำคล่องแล้ว เช่น สวดมนต์ไหว้พระสวดพระปริตรเป็นต้น การที่จะเอาจิตจดจ่อในสิ่งที่คล่องแล้วนั้น ก็จะน้อยไป เพราะ สิงนั้น เราท่องจำได้คล่องแล้วนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งอารมณ์ และ จิตที่กำหนดก็จะค่อยๆจางหายไปที่ละนิดทีละหน่อย ทำให้ไม่ปรากฎชัดทั้ง สองฝ้าย การกำหนดนั้น ก็จะแปรสภาพไปเป็นถิ่นมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนได้ จากกำลังของการกำหนดลดถอยลงในที่สุดก็จะทำให้โยคิไม่สามารถกำหนดรูปนาม ทุกขณะที่เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ก็แล การที่ความเพียรย่อหย่อนลงแล้วทำให้การ กำหนดไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนทำให้ถิ่นมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนแทรก เข้ามาและส่งผลให้โยคีผู้นั้นไม่สามารถรู้ชัดประจักษ์แจ้งในสิ่งที่ตนกำหนดได้ เช่นนี้ จัดเป็นข้อเสียของการกำหนดที่มีสมาธิมากจนเกินไป แต่เมื่อใดความเพียรคือวิริยะกับสมาธิคือความตั้งมั่นแห่งจิตมีความ สม่ำเสมอกัน นั่นก็คือเป็นไปในลักษณะที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันด้วยอำนาจของ อุเบกขาซึ่งทำหน้าที่ปรับให้คุณธรรมทั้งสองมีความเสมอภาคกันนั้น เมื่อนั้น จิตของผู้กำหนดนั้น ก็จะไม่มีความจดจ่อมากจนเกินไป ไม่มีความตั้งมันเพ่งพินิจ ในอารมณ์นั้นมากจนเกินไป ก็จะสามารถทำให้กำหนดรู้รูปนามที่เป็นอารมณ์นั้นได้ อย่างต่อเนื่อง รูปนามนั้นก็จะปรากฎชัดทุกครั้งที่กำหนด แม้เมื่ออารมณ์ทั้งหลาย เข้ามาปรากฏ แต่จิตของบุคคลนั้นก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ตรงกันข้าม จิตนั้นย่อมสามารถ ที่จะรู้รูปนามทุกอย่างที่กำหนดได้โดยอัตโนมัติ และทุกอารมณ์ที่เข้าไปรู้นั้น จิตของ โยคีนั้นก็จะตั้งมั่นแนบแน่นอยู่ในอารมณ์นั้น ถึงเวลานั้นแล้วโยคีผู้นั้นก็จะสามารถ กำหนดรู้ได้ว่า "ไม่มีอารมณ์อันใดที่จะสามารถเล็ดลอดจากการกำหนดไปได้ เราได้ รู้อารมณ์ทุกอย่างที่มาปรากฎแล้วนั่นเทียว"
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ส.ค. 2022, 10:22 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การปรับอินทรีย์ให้มีความสม่ำเสมอ | ||
สภาระที่เกิดขึ้นโดยทำสภาวธรรมที่เป็นอินทรีย์ทั้งหลายให้สม่ำเสมอกันคือ ทำศรัทธาให้เสมอกับปัญญา วิริยะให้เสมอกับสมาธืเป็นคำนั้น เรียกว่าอุเบกขา สันโภชฌงค์เป็นสภาวะที่ทำหนัาทีปรับอินทรีย์ทั้งหลายให้สม่ำเสมอกันนั้นเอง ในเวลาที่อุเบกชาสัมโพชฌงค์เกิดขึ้นอย่างแก่กล้าใน สภาวธรรมมีสติ เป็นต้น ก็ย่อมจะเกิดขึ้นปรากฎชัดอย่างแก่กล้าหรือมาพร้อมๆกันเช่นเดียวกัน ซึ่งใน ขณะนั้น โยคีไม่จำเป็นต้องแสวงหาอารมณ์ที่จะนำมากำหนด เพราะว่าอารมณ์ที่ จะกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นได้ปรากฏอยู่ต่อหนำอย่างหร้อมเพรียงนั้นเอง อนึ่ง แม้แต่การเอาใจไสขวนขวายเป็นพิเศษเพื่อที่จะทำให้กำทนดได้ไม่จำเป็น โยคีจะสามารถกำหนดอารมณ์นั้นได้โดยธรรมชาติหรือโดยอัตในมัติ เมือไม่มี ความใฝ่หาอารมณ์ที่จะกำหนด ความตั้งมั่นแน่วแนในทุกอารมณ์ที่ตนเข้าถึง ก็จะเกิดขึ้น โยคีก็สามารถที่จะกำหนดรู้อารมณ์ดังกล่าวว่า "เป็นเพียงสภาวะรูป สภาวะนาม สภาวะที่เกิดขึ้น สภาวะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัดตา" โดยไม่ต้องมี การตรึกนึกคิดเพิ่มเป็นพิเศษแต่อย่างใด สิ่งเหล่านี้ก็จะมาปรากฎอย่างชัดเจนใน จิตสันดานของโยดีนั้น เมื่อโยคีรู้แล้ว ก็จะไม่จำเป็นต้องนำเอาอารมณ์นั้นหวนกลับมาคิดพิจารณา เพื่อให้เกิดความมั่นใจอีกต่อไป ก็ในเวลาที่การกำหนดนั้นมีความสม่ำเสมอกัน โยคี ไม่จำเป็นต้องมีการลงแรงเป็นพิเศษแต่ก็ไม่ควรย่อหย่อน เพราะว่าถ้าเพิ่มการ ลงแรงหรือบากปั่นมาก ก็จะทำให้วิริยะตึงเกินไป อาจทำให้การกำหนดนั้นเสียไปได้ หรืออาจทำให้อารมณ์นั้นตกไปได้ แต่ถ้าหย่อนเกินไป วิริยะ ก็จะมีกำลังน้อย อาจทำ ให้การกำหนดนั้นไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สรุปว่า โยคีนั้นควรกำหนดโดยไม่ให้เสียรูปจากของเติม คือให้เป็นไปตาม ลำดับขั้นตอนตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มต้นกำหนดมา ควรให้การกำหนดนั้นเป็นไป อย่างต่อเนื่องคงเส้นคงวา ก็การกำหนดรู้วิปัสสนาจิตที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์ต่าง ได้ทันนั้นเรียกว่า ปฏิวิปัสสนา เป็นการนำเอาวิปัสสนาจิตนั่นแหละมากำหนดเป็น วิปัสสนาอีกครั้งหนึ่ง ก็ด้วยปฏิวิปัสสนาจิตนี้แลที่ทำให้โยคีรู่โพชฌงค์ ๗ ดังที่กล่าว มาช้างต้นนี้ ก็ จิดที่เกิดขึ้นภายหลังนี้เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยความเป็นปฏิวิปัสสนา กล่าวคือการนำเอาวิปัสสนาจิตนั้นมากำหนดอีกครั้ง สมกับที่พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสไว้ว่า
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |