วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2022, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




H94d2362cefe948c7b077b657bfb7f126y.jpg
H94d2362cefe948c7b077b657bfb7f126y.jpg [ 118.78 KiB | เปิดดู 1055 ครั้ง ]
ลักษณะการปรากฏของรูปนาม

รูปและนามทั้งหลายย่อมปรากฏชัดเจนในขณะที่เห็น เช่น รูปตาที่ใสที่เรียกว่า
จักซุปสาทรูป วรรณรูปที่บุคคลสามารถเห็นได้ที่เรียกว่ารูปารมณ์ จิตที่ทำหน้าที่เห็น
ที่เรียกว่าจักขุวิญญาณและจิตในวิถีเดียวกันแห่งจักขุวิญญาณนั้นทั้งหลาย รวมถึง
เจตสิกที่ประกอบกับจิตทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะปรากฎเกิดขึ้นอย่างประจักษ์แจ้งใน
ขณะที่บุคคลเห็นรูปารมณ์ ถึงกระนั้น ในบรรดารูปนามทีปรากฎเกิดขึ้นในขณะที
เห็นรูปารมณ์นั้นก็จะปรากฎเฉพาะรูปใดรูปหนึ่งที่มีสภาวลักษณะเป็นต้นอย่างชัดเจน
อนึ่ง การที่กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันนั้น หมายถึง จิต ๓๘ ดวง เหล่านี้ คือ
ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง, สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง, สันตีรณจิต ๓ ดวง,
โวฏฐัพพนจิต ๑ ดวง, กามกุศลชวนะ ๘ ดวง, อกุศลชวนะ ๑๒ ดวง, และ
ตทาลัมพนจิต ๑๑ ดวง, ซึ่งจิตเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุทวาร ซึ่งถ้าเป็นการ
นับด้วยวิธีแบบอัคคหิตคหณนัยกล่าวคือนัยที่ไม่นับเอาสิ่งที่นับไปแล้วคือไม่นับช้ำ
ก็จะได้จิตทั้งหมด ๓๕ ดวงเท่านั้น นี้คือตัวอย่างของการปรากฎรูปนามในขณะที่เห็น
แม้ในขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น ก็พึงทราบโดยทำนองเดียวกันนี้
เพราะฉะนั้น ในที่นี้ จะแสดงไว้พอเป็นแนวสังเขปเท่านั้น ก็แล จิตต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น
สามารถเปรียบเทียบได้ในขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2022, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Elephant-PNG-HD.png
Elephant-PNG-HD.png [ 371.09 KiB | เปิดดู 1051 ครั้ง ]
๑๖๒
ในขณะที่บุคคลได้ยินอยู่นั้น รูปนามทั้งหลาย เช่น โสตปสาทรูป สัททรูป
ที่เป็นอารมณ์หรือที่เรียกว่าสัททารมณ์โสตวิญญาณกล่าวคือจิตที่ได้ยินและจิตเจตสิก
ที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันกับโสตวิญญาณนั้น ก็จะปรากฏชัดในขณะที่บุคคลได้ยินเสียง

รูปนามทั้งหลาย เช่น ฆานปสาทรูป คันธารมณ์หรือคันธรูป ฆานวิญญาณที่
เป็นจิตที่ได้กลิ่น รวมถึงจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกัน ย่อมปรากฏเกิดขึ้นในขณะ
ที่บุคคลได้กลิ่นหรือดมกลิ่น

รูปนามทั้งหลาย เช่น ชิวหาปสาทรูป รสารมณ์ ชิวหาวิญญาณที่เป็นจิตที่
ลิ้มรส รวมทั้งจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นในวิถีเดียวกันกับชิวหาวิญญาณนั้น ก็จะเกิด
ปรากฏชัดในขณะที่บุคคลกินหรือลิ้มรสอาหารอยู่

รูปนามทั้งหลาย เช่น กายปสาทรูป โผฎฐัพพารมณ์ ซึ่งได้แก่ ปฐวีรูปที่มีทั้ง
หยาบหรืออ่อนนุ่น เตโชรูปที่เป็นทั้งอ่อนทั้งนุ่ม วาโยรูปที่เป็นรูปเคลื่อนไหว และ
กายวิญญาณซึ่งเป็นจิตที่ทำหน้าที่กระทบสัมผัส รวมถึงจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นใน
วิถีเดียวกันกับกายวิญญาณนั้น ก็จะปรากฎชัดในขณะที่บุคคลได้สัมผัสทางกาย

ในขณะที่บุรุษและสตรีทั้งหลายเกิดจิตสำคัญว่าตนเป็นหญิงเป็นชาย อิตถิภาวรูป
ซึ่งเป็นรูปที่เป็นเชื้อให้เกิดความเป็นหญิง ปุมภาวรูปซึ่งเป็นรูปที่เป็นเชื้อให้เกิด
ความเป็นชาย ก็จะปรากฎขึ้นชัดเจนในขณะที่บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นหญิง
เป็นชาย นั่นเอง ส่วนในขณะที่บุคคลกลืนน้ำลาย ก็ดี หลั่งน้ำตาหรือน้ำมูกไหลเป็นตัน
ก็ดี อาโปธาตุซึ่งทำหน้าที่ไหลเอิบอาบ ก็ปรากฏชัดในขณะนั้นๆ

ในขณะที่เกิดความตรึกนึกคิดหรือทำการกำหนดพิจารณาอยู่นั้นจิตที่ทำหน้าที่
คิดหรือจิตที่ทำการกำหนดพร้อมทั้งหัวใจหรือหทยวัตถุอันเป็นที่อาศัยของจิตนั้น
ก็จะปรากฎชัดเจนในขณะนั้น อนึ่ง คำว่า จิตที่คิดนั้น หมายถึง จิต ๒๐ ดวง ที่เกิด
ขึ้นในวิถีเดียวกันซึ่งประกอบด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง, กามกุศลจิต ๘ ดวง.
อกุศลจิตรวม ๑๒ ดวง, ตทาล้มพนจิต ๑๑ ดวง, รวมทั้งหมด ๓๒ ดวงด้วยกัน
ส่วนจิตที่ทำการกำหนดนั้นมี ๒๐ ดวง ซึ่งประกอบด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
มหากุศลชวนจิต ๘ ดวง, ตทาลัมพนจิต ๑๑ ดวง, รวมทั้งหมด ๒๐ ดวง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2022, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




icon-elephants-23309.png
icon-elephants-23309.png [ 194.57 KiB | เปิดดู 1051 ครั้ง ]
๑๖๓
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคัมภีร์อัฏฐสาลินี(หน้า ๒๐๔) ท่านได้กล่าวไว้ว่า ภาเวนฺโตปิ
เตสํเยว อญฺญตเรน ภาเวติ. และในคัมภีร้อภิธัมมัตถวิภาวินีตอนที่อธิบายเจตสิก
เรื่องอัปปมัญญาสัมปโยคนัย ในปริเฉท ๒ ก็ได้อธิบายไว้ว่า กทาจิ ปริจยพเล
ญาณวิปฺปยุตฺตจิตเตหิปิ สมฺมสนํ. ในคัมภีร์อิติวุตฺตกอรรถกถา(หน้า ๑๙๖) ก็ได้
กล่าวไว้เช่นกันว่า ปคุณํ สมถวิปสฺสนาภาวนํ อนุยุญฺชนฺตสฺส อนฺตรนฺตรา ฌาณ-
วิปฺปยุตฺตจิตุเตนาปิ มนสิกาโร ปวตฺตติ. อาศัยข้อความที่ได้ยกมาจากคัมภีร์เหล่านี้
พึงทราบว่า ในบางครั้ง วิปัสสนาชวนจิตที่เป็นญาณวิปฺปยุต ก็ยังสามารถเกิดขึ้น
ได้บ้าง นอกจากนี้ พึงทราบว่า ตทาลัมพนจิตยังสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากที่ตรุณ
วิปัสสนาชวนะเกิดขึ้น ดังที่ในข้อความพระบาลีจากคัมภีร์มหาปัฏฐาน(๑/๑๓๓)
ได้แสดงไว้ว่า อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต วิปสฺสนฺติ, กุสเล นิรุทฺเธ วิปาโก
ตทารมุมณตา อุปฺปชฺชติ.

ในเวลาที่โยคีกินดื่มแล้วเกิดพละกำลังขึ้นและในเวลาที่โยคีไม่ได้กินดื่มพละ
กำลังถดถอยลงนั้น โอชรูปซึ่งเรียกว่าอาหารอันมีลักษณะที่เป็นสารของอาหารนั้น
ก็จะปรากฏชัดเจน ส่วนในเวลาที่รูปทั้งหลายกล่าวคือปสาทรูป ภาวรูป และหทยรูป
ปรากฎเกิดขึ้นโดยไม่ขาดสายนั้น พึงทราบว่า ชีวิตรูปกล่าวคือรูปชีวิตซึ่งเป็น
สภาวะที่ทำให้รูปทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีการหมดพละกำลังหรือไม่เสื่อมโทรมไม่
เหี่ยวย่น ก็จะปรากฏชัดในขณะนั้น อนึ่ง ตามที่แสดงมานี้ ชี้ให้เห็นว่า ในบรรดา
สภาวธรรมที่ปรากฎโดยประจักษ์แจ้งในขณะนั้นๆ พึงทราบว่า สภาวธรรมที่
ปรากฏชัดเจนที่สุดเท่านั้นที่จะปรากฎเกิดขึ้นโดยความเป็นประธานหลัก

ถามว่า ในบรรดาอัชฌัตตธรรมและพหิทธธรรมทั้งสองนั้น ธรรมใดที่โยคี
พึงกำหนดพิจารณา? ตอบว่า โยคีพึงกำหนดพิจารณาได้ทั้งสองอย่างนั่นเทียว
จะอย่างไรก็ตาม ในส่วนของอัชฌัตตธรรมนั้น สำหรับโยคีผู้เป็นสาวกทั้งหลายย่อม
เหมาะกับวิธีการกำหนดพิจารณาสองวิธี คือ (๑) การกำหนดพิจารณาอัชฌัตตธรรม
ด้วยปัจจักขญาณ ตามลำดับการเกิดตามสมควรแก่บารมีญาณของโยคีนั้น และ
(๒) การกำหนดเทียบเคียงด้วยอนุมานญาณในพหิทธธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ไม่
สามารถกำหนดพิจารณาเห็นได้โดยประจักษ์แจ้งในขันธสันดาน แต่เป็นการ
พิจารณาเทียบเคียงกับธรรมที่ตนได้เห็นแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถทำได้ในตอน
ที่วิปัสสนาญาณนั้นแก่กล้า เพราะฉะนั้น โยคีพึงเนันการกำหนดอัชฌัตตธรรมที่เป็น
ธรรมภายในเกิดขึ้นในขันธสันดานของตน ซึ่งขอให้พิจารณากับหลักการในคัมภีร์
ฎีกาที่ท่านได้แสดงเกี่ยวกับการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ของพระมหาโมคคัลลานเถะ
ด้วยการกำหนดพิจารณาธรรมบางส่วน ซึ่งต่อมาได้ถือเป็นต้นแบบแห่ง
ของพระสาวกทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 70 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron