ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62549 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 25 ส.ค. 2022, 12:45 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ | ||
การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ โยคีหลายท่านอาจคิดว่า ผู้ที่เข้าถึงมรรคผลทุกคนจะต้องรู้ทั้งรูปทั้งนาม เหมือนๆกัน หรือจะต้องรู้รูปนามทั้งหมดที่แสดงไว้โดยพิสดารทั้งในพระไตรปิฎก และอรรถกถาก่อนแล้ว จึงจะสามารถเข้าถึงมรรคผลได้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ควร จะเข้าใจเช่นนั้นเลย สาเหตุเพราะว่า การรู้รูปนามนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของ ปัญญาบารมีของโยคีแต่ละท่านนั่นเอง หมายความว่า ในกรณีที่โยคีเป็นติกขภัพพ- บุคคล(ภัพพบุคคลผู้มีปัญญาแหลมคม] ก็ย่อมสามารถที่จะรู้รูปนามได้อย่างกว้าง ขวางสมบูรณ์ ตามวิสัยของสาวกได้ แต่การที่จะรู้ได้ทุกอย่างตามหลักพระอภิธรรม นั้นย่อมเป็นไปไมได้ ซึ่งประเด็นนี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้เข้าใจในตอนที่ยกเอา อนุปทสูตรมาแสดง ส่วนในกรณีที่โยคีนั้นเป็นมันทภัพพบุคคล[ภัพพบุคคลผู้ ปัญญาเชื่องช้า] บางท่านอาจรู้ได้เฉพาะรูปหรือนามที่พอจะเป็นสะพานเชื่อมโยง ให้เช้ข้าถึงมรรคผลเท่านั้น ดังนั้น ในคัมภีร์อรรถกถาแห่งมัชฌิมนิกายมูลปัณณา มูลปริยายสูตร(หน้า ๕๔ ) พระพุทธโฆสเถระ จึงได้อธิบายไว้ดังนี้ว่า สาวกา ทิ จตุนฺนํ ธาตูนํ เอกเทสเมว สมฺมสิตฺวา นิพฺพานํ ปาปุณนฺติ. ขึ้นชื่อว่าสาวกทั้งหลาย เมื่อพิจารณาธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงบางส่วน เท่านั้นแล้ว ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 25 ส.ค. 2022, 12:59 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ | ||
แนวทางการเจริญวิปัสสนาของพระอรหันต์องค์ที่ ๑ ยโต โข อาวุโส ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ ยถาภูต๋ ปชานาติ, เอตฺตาวตา โข อาวุโส ภิกฺขุโน ทสุสนํ สุวิสฺทธํ โหติ. แน่ะท่านเอ๋ย เพียงแค่โยคีรู้การเกิดและการดับแห่งอายตนะภายใน ๖ ซึ่งเป็น ต้นเหตุของผัสสะ ตามความเป็นจริง ญาณของโยคีนั้น ก็เป็นอันบริสุทธิ์กล่าวคือ เป็นพระอรหันต์ได้นั่นเทียว นี่คือคำตอบของพระอรหันต์ผู้ที่นำเอาอายตนะภายใน ๖[อัชฌัตติกายต่นะ ๖] เท่านั้นมาพิจารณา ซึ่งหากเราได้วิเคราะห์ดูแนวทางการเจริญวิปัสสนาของพระ อรหันต์องค์นี้แล้ว จะเห็นว่า ท่านไม่ได้นำเอาอายตนะภายนอก ๖[พาหิรายตนะ ๖] มาพิจารณาเลย ซึ่งแม้แต่ในบรรดาอัชฌัตตธรรมทั้งหลาย ท่านก็นำเอาเฉพาะ อายตนะฝ่ายรูป ๕ ประการ คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา และกายะเท่านั้นมา พิจารณา ส่วนรูปที่เหลือมิได้นำมาพิจารณาแต่อย่างใด แม้ในส่วนของนามธรรม ก็จะเห็นว่าท่านพิจารณาเฉพาะจิตมนายตนะ) เท่านั้น ส่วนเจตสิกทั้งหลายท่าน มิได้นำมาพิจารณาเลย แต่ท่านก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ใครๆจึงไม่ควร ที่จะโจทนก์ว่าวิธีการพิจารณาตามแนวนี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร แต่ความจริงแล้ว แนวทางของพระอรหันต์ท่านนี้สอดคล้องกับพระไตรปิฎก และอรรถกถานั่นเทียว ซึ่งลักษณะของความสอดคล้องนั้น พึงทราบดังนี้ การพิจารณาโดยการเอาอัชฌัตติกายตนะหรืออายตนะภายใน ๖ ที่ปรากฏมาเป็น อารมณ์หลักนั้น ได้ชื่อว่า เป็นการกระทำกิจของการพิจารณาโดยนำพาหิรายตนะ หรืออายตนะภายนอก ๖ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกันกับอายตนะภายใน ๖ นั้นให้สำเร็จ ได้เช่นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ โยคีผู้นั้นได้อว่าเป็นผู้พิจารณารู้อารมณ์ที่เป็นรูปนาม ทั้งหมดทั้งปวงนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า เป็นผู้ปฏิบัติหรือเป็นผู้เจริญแล้วได้ อย่างสอดคล้องต้องกันกับพระบาลีพระไตรปิฎกและอรรถกถาที่ได้แสดงไว้โดย ละเอียดพิสดารนั่นเอง
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 25 ส.ค. 2022, 13:22 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ | ||
แนวทางการเจริญวิปัสสนาของพระอรหันต์องค์ที่ ๒ ยโต โข อาวุโส ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ ยถาภูตํ ปชานาติ, เอตฺตาวตา โข อาวุโส ภิกฺขุโน ทสฺสนํ สุวิสุทธํ โทติ. แน่ะท่านเอ๋ย เพียงแค่โยคีรู้การเกิดและการดับแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ ตามความ เป็นจริง ญาณของโยคีนั้น ก็เป็นอันบริสุทธิ์ กล่าวคือ โยคีนั้นย่อมสำเร็จเป็น พระอรหันต์ได้นั่นเทียว (หมายเหตุ : แม้ว่าในตันฉบับจะไม่ได้ยกบาลีข้อนี้มา แต่เพื่อให้สอดคลัอง กับคำตอบขององค์อื่นๆ ผู้แปลจึงได้ยกบาลีช้อนี้มาแสดงไว้เป็นหลักฐานด้วย] พระอรหันต์องค์ที่ ๒ นี้ ท่านตอบว่า "เมื่อโยคีรู้การเกิดดับของอุปาทานขันธ์ ๕ ย่อมเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์[บรรลุรหัตผล] ซึ่งคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ สมบูรณ์อยู่ในตัว แนวทางการเจริญวิปัสสนาของพระอรทันต์องค์ที่ ๓ ยโต โข จตุนฺนํ มหาภูตานํ สมุทยญฺจ อตฺถงฺคมญฺจ ยถาภูตํ ปชานาติ เอตฺตาวตา โข อาวุโส ภิกฺขุโน ทสฺสนํ สุวิสุทฺธํ โหติ. แน่ะท่านเอ๋ย เพียงแค่โยคีรู้การเกิดและการดับแห่งมหาภูตรูป ๔ ตามความ เป็นจริง ญาณของโยคีนั้น ก็เป็นอันบริสุทธิ์ กล่าวคือโยคีนั้นย่อมสำเร็จเป็น พระอรหันต์ได้นั่นเทียว แนวทางที่ ๓ นี้ พึงทราบว่า พระอรหันต์องค์นี้ท่านพิจารณาเฉพาะมหาภูต ๔ เท่านั้น ส่วนรูปที่เหลือท่านไม่ได้นำมาพิจารณาโดยตรง แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ยัง บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ การนำเอาเฉพาะมหาภูตรูป ๔ มาพิจารณากำหนดเป็นอารมณ์หลักอย่างนี้ ได้ชื่อว่า เป็นการกระทำกิจการพิจารณารู้รูปนามที่เป็นไปพร้อมๆกันทั้งหมด ทั้งปวงไปด้วย จึงมีความสอดคล้องต้องกันกับพระไตรปัฎกอรรถกถานั่นเทียว หมายความว่า ในพระไตรปิฎกอรรถกถกถทั้งหลายนั้น ท่านได้แสดงโดยขมวด เอานัยการพิจารณาสภาวะของรูปนามทั้งสำหรับผู้ที่พิจารณาได้อย่างพิสดารและ พิจารณาได้อย่างแคบๆมารวมไว้ ณ ที่เดียวกันเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าจะ เป็นการมุ่งให้โยคีทุกคนต้องพิจารณารู้สภาวะนามรูปเสียทุกอย่าง
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 25 ส.ค. 2022, 13:56 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: การสำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยมิได้รู้สภาวะของธาตุทั้ง ๔ | ||
แนวทางการเจริญวิปัสสนาของพระอรหันต์องค์ ๔ ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ, เอตฺตาวตา โข อาวุโส ภิกฺขุโน ทสุสนํ สุวิสุทฺธํ โหติ. เมื่อโยคีรู้ตามความเป็นจริงว่า "ธรรมทั้งปวงทีเกิดขึ้นเป็นธรรมดานั้น ย่อมดับ ไปเป็นธรรมดา" ญาณของโยคีนั้นย่อมบริสุทธิ์หมดจดกล่าวคือโยคีนั้นย่อมสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ได้ แม้คำตอบที่ ๔ นี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบทุกประการ จะอย่างไรก็ตาม สำหรับภิกษุผู้ที่เข้าไปถามปัญหาแล้วเธอคิดว่า พระอรหันต์ ทุกองค์นั้นจะต้องพิจารณารู้รูปนามทั้งหมดเหมือนๆกันและลักษณะของการรู้ก็จะ ต้องเหมือนกันด้วย ดังนั้น เมื่อเธอได้ฟังคำตอบที่ไม่เหมือนกัน ก็เลยไม่ได้ดั่งใจ จึงได้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ยถา ยถา อธิมุตฺตานํ เตสํ สปฺปุริสานํ ทสฺสนํ สุวิสุทฺธํ โหติ, ตถา ตถา โข เตหิ สปฺปุริเสหิ พยากตํ. ญาณทัสสนะย่อมบริสุทธิ์หมดจดแก่สัตบุรุษทั้ง ๔ ท่าน ผู้ซึ่งพิจารณา(เจริญ สติ) โดยอาการใดๆ, ท่านทั้ง ๔ นั้นได้ตอบตามอาการที่ตนได้เห็นแล้วนั่นเทียว พระพุทธพจน์นี้หมายความว่า ภิกษุเหล่านั้นได้ตอบคำถามแต่ละอย่างตามที่ ตนปฏิบัติมาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งนัยหรือวิธีการปฏิบัติของท่านทั้ง ๔ ล้วนเป็นแนวทางที่ถูกต้องด้วยกันทั้งสิ้น จากหลักฐานพระบาลีกล่าวคือพระไตรปิฎกและอรรถกถาข้างต้นนี้ ทำให้ ทราบได้ว่า แม้ว่าโยคีจะไม่สามารถกำหนดพิจารณารู้รูปนามทั้งหมดทั้งปวงตามที ทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ได้ก็ตาม แต่หาโยคีสามารถเอาใส่ใจกำหนด พิจารณาเฉพาะรูปนามที่ปรากฏชัดที่สุดเพียงอย่างเดียวในขณะที่เห็นหรือได้ยิน เป็นตัน ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กระทำกิจแห่งการกำหนดพิจารณาและกิจแห่งการรู้ กลุ่มรูปนามที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันในขณะนั้นทั้งหมดให้สำเร็จจนกระทั่งบรรลุอหัตผล ได้นั่นเทียว จะอย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการที่น่าสนใจอีก เช่น วิธีการกำหนดพิจารณาของ พระสารีบุตรเถระซึ่งมาในอนุปทสูตร ดังต่อไปนี้ viewtopic.php?f=66&t=61824
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |