ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
โอตรณหาระ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=62645 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.ย. 2022, 11:43 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | โอตรณหาระ | ||
โอตรณหาระ [๑๒] โย จ ปฏิจจุปฺปาโท อินฺทฺริยขนฺธา จ ธาตุอายตนา เอเตหิ โอตรติ โย โอตรโณ นาม โส หาโร. "แนวทางใดย่อมหยั่งลงในปฏิจจสมุปบาท อินทรีย์ ขันธ์ ธาตุ และ อายตนะ แนวทางนั้นชื่อว่า โอตรณหาระ" [โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสู่ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ และปฏิจจสมุปบาท เช่นคำว่า นโม พุทธสุส (ขอนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า) โดยองค์ธรรมคือมหากุศลจิตตุปบาท จำแนก ได้ดังนี้ คือ ๑. ขันธ์ ๕ - เวทนาเจตสิกในจิตตุปบาทข้างตัน ชื่อว่า เวทนาขันธ์ - สัญญาเจตสิก ชื่อว่า สัญญาขันธ์ - เจตสิกอื่นเวันเวทนาและสัญญา ชื่อว่า สังขารขันธ์ - มหากุศลจิต ชื่อว่า วิญญาณขันธ์ ๒. อายตนะ ๑๒ - มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มนายตนะ - เจตสิก ๓๘ ดวงที่ประกอบตามสมควร ชื่อว่า ธรรมายตนะ ๓. ธาตุ ๑๘ - มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ - เจตสิก ๓๘ ดวงชื่อว่า ธรรมธาตุ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.ย. 2022, 11:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอตรณหาระ |
๔. อินทรีย์ ๒๒ - เวทนาเจตสิกไนมหากุศลโสมนัส ๔ ชื่อว่า ไสมนัสสินทรีย์ - เวทนาเจตสิกไนมหากุศลอุเบกขา " ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์ - ชีวิตินทรีย์เจตสิก ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์ - มหากุศลจิต ๘ ดวงชื่อว่า มนินทรีย์ - ศรัทธาเจตสิก ชื่อว่า สัทธินทรีย์ . วิริยเจตสิก ชื่อว่า วิริยินทรีย์ - สติเจตสิก ชื่อว่า สตินทรีย์ - เอกัคคตาเจตสิก ชื่อว่า สมาธินทรีย์ - ปัญญาเจตสิก ชื่อว่า ปัญญินทรีย์ ๕. ปฏิจจสมุปบาท (อนุโลมนัย) - เจตนาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า สังขาร - เหตุของสังขาร คือ อวิชชา สังขารทั้งหลายย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย - วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย - นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย - สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย - ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย - เวทนาย่อมมีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย - ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย - อุปาทานย่อมมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย - ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย - ชาติย่อมมีเพราะภพเป็นปัจจัย - ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสย่อมมีเพราะชาติเป็นปัจจัย |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.ย. 2022, 11:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอตรณหาระ |
๖. ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิโลมนัย) - ปัญญาเจตสิกในมหากุศลจิตตุปบาท ชื่อว่า วิชชา - เมื่อวิชชาเกิด อวิชชาย่อมดับไป - สังขารย่อมดับเพราะอวิชชาดับ - วิญญาณย่อมดับเพราะสังขารดับ - นามรูปย่อมดับเพราะวิญญาณดับ - สฬายตนะย่อมดับเพราะนามรูปดับ - ผัสสะย่อมดับเพราะสฬายตนะดับ - เวทนาย่อมดับเพราะผัสสะดับ - ตัณหาย่อมดับเพราะเวทนาดับ - อุปาทานย่อมดับเพราะตัณหาดับ - ภพย่อมดับเพราะอุปาทานดับ - ชาติย่อมดับเพราะภพดับ - ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมดับเพราะชาติดับ ความจริงแล้วพระสูตรเป็นบุคคลาธิษฐานเทศนา คือ เทศนาที่มีบุคคลเป็นที่ตั้ง จึงอาจทำ ให้ไม่พบองค์ธรรมโดยตรง แต่เมื่อจำแนกองค์ธรรมตามสมควรแล้วแจกแจงเป็นขันธ์และอายตนะ เป็นต้นตามโอตรณหาระนี้ ก็จะทำให้เข้าใจหลักธรรมที่พระบรมศาสดาทรงแสดงเป็นบุคคลาธิษฐาน นั้นได้อย่างชัดเจน ในสมัยก่อนบุคคลที่ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมได้ ก็เพราะว่าสามารถเข้าใจองค์ธรรม แล้วจำแนกเป็นขันธ์เป็นต้นได้ จึงทราบว่าธรรมอย่างไหนควรกำหนดรู ธรรมอย่างไหนควรละ ธรรม อย่างไหนควรกระทำให้แจ้ง และธรรมอย่างไหนควรอบรมให้เกิดขึ้น แล้วกำหนดรู้ขันธ์ ๕ จึงบรรลุ คุณธรรมพิเศษในพระศาสนาได้ เช่น ดาถาที่พระอัสสชิแสดงแก่อุปติสสะมาณพว่า เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห เย ธมฺมา เหตุปุปภวา เตสญจ โย นิโรโธ เอวํวาที มหาสมโณ." "ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตฤาคตตรัสเหตุของธรรมเหล่านั้น และตรัสความดับไปของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงมีวาทะเช่นนี้" คำว่า "ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด" คือ ขันธ์ ๕ ซึ่งเกิดจากตัณหา แม้ว่าพระอัสสชิ จะมิได้ระบุว่าธรรมดังกล่าวคืออะไร และเหตุเกิดคืออะไร แต่อุปติสสะมาณพก็เข้าใจว่าธรรมดังกล่าว คือขันธ์ ๕ และเหตุเกิดคือตัณหา เพราะสมมุติบัญญัติตามหลักสันสกฤตถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเบื้องตัน เนื่องจากเป็นบัญญัติของคนสมัยก่อนสืบทอดกันต่อมา จึงถือว่าไม่มีเหตุเกิดแต่อย่างใด ดังนั้น สิ่งที่ มีเหตุเกิดก็คือปรมัตถธรรมหรือสภาวธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ นั่นเอง อันมีเหตุเกิดคือตัณหาที่เป็นความ ทะยานอยากในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ คำว่า "ความดับของธรรมเหล่านั้น" คือ ความดับของขันธ์ ๕ นั่นเอง |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 19 ก.ย. 2022, 12:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอตรณหาระ |
อนึ่ง ขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจที่ควรกำหนดรู้ (ปริญญยยะ) ตัณหาเป็นสมุทยสัจที่ควรละ (ปหาตัพพะ) ความดับของขันธ์เป็นทุกขนิโรธที่คววกระทำให้แจ้ง (สัจฉิกาศัพพะ) อุปติสสะมาณพเช้าใจ ข้อความเหล่านี้ได้ด้วยปัญญาของตนที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ อีกทั้งยังเช้าใจแนวทางในการเจริญ วิปัสสนาที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นธรรมที่ควรอบรม (ภาเวตัพพะ) เมื่อท่านเข้าใจอริยสัจ ๓ ข้อแรกที่กล่าวไว้ในคาถาโดยตรง และเข้าใจอริยสัจที่ ๔ ที่กล่าว ไว้โดยอ้อมแล้ว ได้เจริญสติกำหนครู้ขันธ์ ๕ ที่ปรากฎชัดในปัจจุบันขณะตามความเป็นจริง จึงบรรลุ ธรรมเป็นพระโสดาบันเมื่อฟังธรรมจบ ในคาถานี้มี ย สรรพนามเพียงบทเดียวว่า โย หมายถึง ปฏิจจุปปาโท แต่ในเวลาแปล ยกศัพท์ต้องนำ ย ศัพท์ไปประกอบร่วมกับประธานอื่นๆ ที่ จ ศัพท์รวบรวมไว้ คือ อินฺทฺริยขนฺธา และ ธาตุอายตนา ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนสิงค์ของ โย เป็น เย และ ยานิ เพื่อให้สอดคล้องกับวิเสสยะเหล่านั้น และแม้ว่าบทที่ถูก ย ศัพท์รวบรวมไว้มีหลายบท แต่ในประโยคหลังที่มี ศัพท์ ท่านมักประกอ ต ศัพท์ไว้เพียงบทเดียว ไม่นิยมประกอบไว้หลายบท ดำว่า ปฏิจจุปปาโท เป็นคำไวพจน์ของ ปฏิจจสมุปปาโท ท่านใช้คำนี้เพื่อย่อคำให้ต้อง ฉันทลักษณ์] |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |