ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=63746 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2023, 08:15 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ | ||
วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ สำหรับผู้ปฏิบัติ ทุกวัย ควรเริ่มต้นด้วยการกำหนดรู้สภาวะพองและยุบของท้องเป็น ลำดับแรก เมื่อหายใจเข้าท้องจะพองออกมาและเมื่อหายใจออก ท้องจะยุบลง ท่านจะรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของท้องที่มีลักษณะ หย่อนบ้างตึงบ้าง ซึ่งเป็นลักษณะของวาโยธาตุ ให้กำหนดรู้สภาวะ ตึงหย่อนนั้น คือเพ่งความสนใจไปที่สภาวะพองและยุบที่ท้องพ กับกำหนดรู้ถึงสภาวลักษณะของความพองและความยุบนั้น จะต้อง ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างสภาวะพองและอาการยุบ พึงตั้งใจจดจ่อที่ สภาวะพองตั้งแต่เกิดขึ้นจนกระทั่งสิ้นสุด แล้วเปลี่ยนมาดูสภาวะยุบ ตั้งแต่เกิดขึ้นจนสิ้นสุดเช่นกัน หากว่าในขณะที่กำหนดรู้สภาวะพอง และยุบอยู่นั้น ถ้าสังเกตว่าเกิดช่องว่างหลังจากที่หายใจเข้าหรือหลัง หายใจออก ก็ควรมากำหนดรู้สภาวะนั่ง (เมื่ออยู่ในอิริยาบถนั่ง) ในบางครั้งมีความคิดผุดขึ้นในใจหรือว่าอาจนึกอยากจะทำอะไร ให้ กำหนดรู้ความคิดนั้น เมื่อไรก็ตามที่จิตล่องลอยออกไปจากอารมณ์ ที่กำหนดอยู่ อย่าปล่อยให้จิตหลุดลอยไปโดยไม่กำหนดรู้ให้กำหนด สภาวธรรมการคิดนั้น จากนั้นจึงกลับมากำหนดรู้ดวามเคลื่อนไหว ของท้องต่อไป หรือบางครั้งท่านอาจเกิดความรู้สึกไม่สบาย เพราะ อาจเมื่อย ปวด หรือร้อนในขณะนั่งกรรมฐาน ก็ให้กำหนดรู้ความ รู้สึกไม่สบายเหล่านั้น และเมื่อดวามรู้สึกนั้นๆ หายไปก็ให้กลับมา ก่หนดรู้สภาวะพองยุบที่ท้องอีก กล่าวโดยย่อ คือ ให้ท่านกำหนดรู้
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2023, 10:18 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ | ||
สภาวะทั้งที่เป็นความรู้สึกทางกายและเป็นประสบการณ์ทางใจอย่าง ต่อเนื่องโดยไม่ให้เกิดช่องว่างที่จิตอยู่เฉยๆ โดยไม่มีการกำหนดรู้ ถ้าไม่มีอารมณ์พิเศษใดต้องกำหนด กีพึงกำหนดสภาวะพองและยุบ ที่ท้องเป็นอารมณ์หลักโดยให้กำหนดรู้สภาวะตึงในขณะท้องพอง และสภาวะหย่อนในขณะท้องยุบ เมื่อพลังสมาธิเพิ่มพูนขึ้นจะสังเกตเห็นว่าความเคลื่อนไหว ของสภาะพองยุบในแต่ละครั้งประกอบด้วยความเคลื่อนไหวย่อยๆ เกิดดับติดต่อกันไป นอกจากนั้น จิตที่กำหนดรู้และอารมณ์ที่กำหนดรู้ ก็มีสภาพคล้ายคลึงกัน คือมีการเกิดขึ้นและดับไปติดต่อกันอย่าง รวดเร็ว เมื่อการสังเกตมีดวามคมชัดยิ่งขึ้นทุกๆ ขณะ จึงจะรับรู้ได้ ว่าสภาวธรรมแต่ละอย่างแยกออกเป็นส่วนย่อยในที่ขณะเหยียด คู้ ยก ย่าง เหยียบ เป็นต้น แต่ละส่วนเกิดดับต่อกันอย่างรวดเร็วและ ต่อเนื่องกัน แม้จิตที่กำหนดรู้และอารมณ์ที่ถูกรู้ก็เกิดขึ้นและดับไป อย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นผู้ปฏิบัติย่อมรู้สึกได้ถึงความไม่จิรังยั่งยืนของ สภาวธรรมทั้งหลายที่มีความแปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิตย์ เพราะมีการ เกิดดับเป็นลักษณะประจำ ความไม่ยั่งยืนนั้นไม่น่าปรารถนาอย่างยิ่ง และสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาคือความทุกข์ เมื่อถึงขั้นนี้จัดว่าได้บรรลุ ปัญญาที่หยั่งรู้ทุกขสัจ ความหยั่งรู้เช่นนี้กำจัดความโง่เขลา ได้แก่ อวิชชา ดังนั้น ตัณหาที่เป็นความทะยานอยากจึงไม่สามารถแทรก เข้ามาในอารมณ์ได้
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 28 พ.ค. 2023, 10:48 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: วิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาอย่างง่ายๆ | ||
และเมื่อปราศจากตัณหา อุปาทานหรือความยึดมั่นก็เข้ามา สนับสนุนไม่ได้ เมื่อไม่เกิดอุปาทานก็จะไม่เกิดความพยายามกระทำกรรม เพื่อสนองความต้องการ เมื่อไม่พยายามกระทำกรรม ก็จะไม่มีการทำกรรม เมื่อไม่กระทำกรรม ปฏิสนธิจิตในภพใหม่ก็ไม่อาจเกิดขึ้นไห้ ส่งผลให้ไม่มีการเกิดในภพใหม่ การดับของอวิชชา ตัณหา กรรม และวิญญาณเหล่านี้ ชื่อว่า ตทังคนิโรธ คือ ความดับชั่วขณะ ซี่งอาจมีระยะเวลาเพียงชั่วขณะเดียว แต่ก็เป็นชั่วขณะที่มีค่าที่สุด นอกจากนั้น ปัญญาคือสัมมาทิฏฐิเป็นต้นที่ประกอบด้วยสติในขณะ กำหนดรู้ก็จัดเป็นมรรคสัจ และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ อริยสัจ ๔ จึง ปรากฏอยู่ในกายของผู้ปฏิบัติธรรมนั่นเอง แม้ในคัมภีร์อรรถกถา ของโรหิตัสสสูตรก็กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "คำว่า โลกํ (โลก) คือ ทุกขสัจ คำว่า โลกสมุทยํ (เหตุเกิดของโลก) คือ สมุทยสัจ คำว่า โลกนิโรธํ (ความดับของโลก) คือ นิโรธสัจ คำว่า ปฏิปทํ (ปฏิปทา) คือ มรรคสัจ โดยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ตถาคตมิได้บัญญัติสัจจะ ๔ เหล่านี้ไว้ในอารมณ์ภายนอก มีหญ้าและฟืนเป็นตัน แต่บัญญัติไว้ในอัตภาพที่เกิดขึ้นโดยอาศัย มหาภูตรูป ๔ เท่านั้น คนเราอาจเห็นทุกขสัจได้ทั่วๆไป แต่สมุทยสัจนั้นพบได้ ในธรรมชาติของสัตว์โลกที่ไม่สามารถกำจัดกิเลสจากกระแสจิตได้ ส่วนมรรคสัจปรากฏแก่บุคคลที่กำลังบรรลุมรรคญาณ ๔ และกล่าว ได้ว่าย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้บรรลุผลญาณ ๔ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่ เดิมแล้ว ส่วนนิโรธสัจอันเป็นความดับกิเลสและขันธ์มีอยู่โดยอ้อม ตามสมควรในพระอริยบุคคลถึงแม้ว่าท่านจะยังมีกิเลส และเบญจ ขันธ์เหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีได้โดยตรงในพระอรหันต์ที่กำจัด กิเลสได้หมดแล้ว และบรรลุความดับขันธ์ในขณะปรินิพพาน ดังนี้จึ สรุปได้ว่า นิพพานสุขจะบรรลุได้เมื่อรูปนามดับไปทั้งหมด
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |