วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 16:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2023, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Buddha-Siddhartha-13-removebg-preview.png
Buddha-Siddhartha-13-removebg-preview.png [ 311.13 KiB | เปิดดู 1141 ครั้ง ]
พระโคตมีเถรีแสดงปาฏิหาริย์

เมื่อใกล้เวลาที่พระโคตมีเถรีจะปรินิพพาน พระศาสดามี
พระดำรัสให้พระเถรีแสดงอภิญญาว่า
ถีนํ ธมฺมาภิสมเย เย พาลา วิมตึ คตา
เตสํ ทิฏฺฐิปฺปหานตฺถํ. อิทฺธึ ทสฺเสหิ โคตมิ.


"โคตมี คนพาลเหล่าใดสงสัยในการตรัสรู้
ธรรมของสตรี เธอจงแสดงฤทธิ์เพื่อการขจัด
ทิฏฐิของคนพาลเหล่านั้น"

ในสมัยที่พระพุทธองค์กำลังเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่นั้น
เหล่าเดียรถีย์นอกศาสนากำลังเฟื่องฟู พวกเดียรถีย์ไม่ยอมรับว่า
สตรีก็อาจปฏิบัติธรรมจนสำเร็จมรรคผลนิพพานและฌานอภิญญา
เพื่อขจัดความสงสัยของคนพวกนี้ พระศาสดาจึงทรงให้พระเถรี
แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ แม้ในอดีตพระองค์จะได้ทรงห้ามไม่ให้
ภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ เพราะเหล่าชนที่ไม่ศรัทธาอาจจะกล่าวโจมตีได้
แต่ครั้งนี้เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายของพระเถรี ก่อนจะ
ปรินิพพานจึงทรงอนุญาต

พระโคตมีเถรีถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้แสดงปาฏิหาริย์
เนรมิตพระองค์เดียวเป็นหลายพระองค์ เนรมิตหลายพระองค์เป็น
พระองค์เดียว กล่าวคือเนรมิตรูปเหมือนของพระองค์ขึ้นหลายองค์
แล้วเนรมิตให้เหลือองค์เดียว เหาะไปในอากาศ ดำลงไปในพื้นดิน
เนรมิตองค์ให้เป็นรูปร่างต่างๆ เช่น เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแวดล้อม
ด้วยอำมาตย์และข้าราชบริพาร เป็นตัน การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ของพระเถรีทำให้คนที่ศรัทธาอยู่แล้วมีศรัทธายิ่งขึ้น แทำให้คนที่
ไม่ครัทธาหันมาศรัทธาในพระศาสนา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2023, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


คำขอครั้งสุดท้าย
เมื่อได้แสดงปาฏิหาริย์ตามพระพุทธานุญาตแล้ว พระเถรี
.ได้กราบทูลขอเป็นครั้งสุดท้ายดังนี้

สา วีสวสฺสสติกา ชาติยาหํ มหามุเน
อลเมตฺตาวตา วีร. นิพฺพายิสฺสามิ นายก
"ข้าแต่พระมหามุนีผู้อาจหาญทรงเป็นผู้นำ
หม่อมฉันนั้นมีอายุได้ ๑๒๐ ปี ปาฏิหาริย์เพียง
เท่านี้พอแล้ว หม่อมฉันจักนิพพาน"

พระพุทธองค์ประทานพุทธานุญาต ด้วยพระดุษณีภาพ
พระโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณี ๕๐๐ รูปถวายบังคมแล้วลุกกลับไป
สำนักภิกษุณี พระพุทธองค์เสด็จส่งพระมาตุฉาถึงซุ้มประตู ณ ที่
นั้นพระเถรีและบริวารกราบถวายบังคมลาพระศาสดาเป็นครั้งสุดท้าย

ปรินิพพาน
พระโคตมีเถรีพร้อมด้วยเหล่าภิกษุณีเมื่อเสด็จมาถึงสำนัก
ภิกษุณีแล้ว นั่งพับเพียบตามธรรมเนียมของภิกษุณี " แวดล้อม
ด้วยอุบาสิกาบริวารที่เคารพรักในพระเถรี ต่างพากันเข้ามาร้องให้
คร่ำครวญอยู่ พระนางทรงเรียกอุบาสิกาคนหนึ่งผู้มีศรัทธาแรงกล้า
และพากเพียรปฏิบัติเข้ามาที่ใกล้แล้วยกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะของ
อุบาสิกา จากนั้นจึงประทานโอวาทว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2023, 04:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


อลํ ปุตฺตา วิสาเทน มารปาสานุวตฺตินา
อนิจฺจํ สงฺขตํ สพฺพํ วิโยคนฺตํ จลาจลํ

"ลูกเอ๋ย อย่าโศกเศร้าคร่ำครวญไปเลย
อย่าตกอยู่ในป่วงมาร สังขตธรรมทั้งปวงล้วน
ไม่เที่ยง จะต้องพรากจากกันในที่สุด ไม่มีอะไร
ยั่งยืนเลย"

จากนั้น พระเถรีทรงส่งพวกอุบาสิกาเหล่านั้นให้แยกย้าย
กลับไปยังที่อยู่ของตนเอง ทรงเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
จตุตถฌานตามลำดับ แล้วเข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลมจนถึงปฐม
เล้วจึงเข้าอรูปฌาน ๔ ไปตามลำดับ แล้วเข้าฌานโดยปฏิโลม
จนถึงปฐมฌานอีก หลังจากนั้นจึงเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌาน
ครั้นเมื่อออกจากจตุตถฌานแล้ว พระเถรีจึงปรินิพพาน ดับขันธ์
เหมือนเปลวไฟที่ดับไป เพราะหมดทั้งน้ำมันและไส้ ส่วนบรรดา
ภิกษุณีบริวารทั้ง ๕๐๐ ก็ได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปด้วยอาการอย่าง
เดียวกัน พระเถรีและภิกษุณีบริวารล้วนปรินิพพานในอิริยาบถนั่งทั้งสิ้น

เมื่อพระเถรีปรินิพพานลงแล้ว พระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้
อานนท์ดำเนินการฌาปนกิจพระอานนท์จึงป่าวประกาศให้
พระสงฆ์จากที่ใกล้ไกลทราบเพื่อให้มาร่วมงานฌาปนกิจ ในครั้งนั้น
ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นแม้กระทั่งเทวดาจำนวนมากก็มาร่วมบูชา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2023, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


พระเถรีเป็นครั้งสุดท้าย กล่าวกันว่าพิธีมาปนกิจนั้นยังยิ่งใหญ่กว่า
การปรินิพพานของพระพุทธองค์เสียอีก หลังจากการทำณาปณกิจ
พระสรีระของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีได้ผ่านไปแล้ว พระ
ได้น้อมเอาพระอัฐิธาตุซึ่งเก็บอยู่ในบาตรเข้าไปถวายแต่พระ
พระภาค พระพุทธองค์ทรงประคองบาตรด้วยพระหัตถ์แล้วได้ตรัส
สรรเสริญพระมาตุจฉาว่า

"การสิ้นชีพของโคตมี เหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักหลุดจากลำตัน
โคตมีข้ามห้วงสาครแห่งสงสารไปแล้ว เพราะกิเลสได้ดับไปแล้ว
ทุกข์ทั้งมวลย่อมดับไป เมื่อยังมีชีวิตอยู่โคตมีเป็นบัณฑิตและเป็นผู้
รัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย มือภิญญา ๕ ชำนาญใน
อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ดับกิเลส เพียบพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ

พระศาสดาทรงสรรเสริญพระนิพพาน
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสคาถา ๒ บทดังนี้
อโยฆนหตสฺเสว ชลโต ชาตเวทสฺส
อนุปฺพพูปสนฺตสฺส
ยถา น ญายเต คติ.
"ความเป็นไปของประกายไฟที่ลุกโพลง
ขึ้นเพราะถูกค้อนกระทบ(ทั่งเหล็ก) ดับสนิทไป
ตามลำดับ ไม่มีใครรู้ได้ ฉันใด"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2023, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เอวํ สมหมาย วิมุตฺตานํ กามพนฺโธฆตาริน
ปญฺญาเปตุํ คติ นตฺถิ ปตฺตานํ อจลํ สุขํ
"คติของพระอรหันต์ ผู้หลุดพ้นโดยชอบ
แล้วซึ่งข้ามเครื่องผูก พันคือกามและหัวงภพได้
บรรลุถึงสุขอันสงบ ย่อมไม่มีเพื่อจะให้ไครๆ
รู้ได้ ก็ฉันนั้น"

เรื่องนี้อธิบายว่า เมื่อช่างเหล็กตีเหล็กบนทั่งด้วยค้อนใหญ่
จะเกิดประกายไฟกระจายออกมาชั่วขณะแล้วดับไป ไม่มีใครรู้ได้ว่า
ประกายไฟนั้นหายไปไหน คติที่ไปของพระอรหันต์ที่ข้ามห้วงภพ
ได้แล้วก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่มีความยึดมั่นอารมณ์ที่มักปรากฎใน
ขณะใกล้ตาย คือ กรรม กรรมนิมิต และคตินิมิต ก็ไม่ปรากฎอีก
พะอหันต์มักเข้าฌานหรือเจริญวิปัสสนาแล้วปรินิพพานโดยไม่รับ
เอากรรมเป็นต้นมาเป็นอารมณ์ของจุติจิต รูปนามของท่านได้ดับไป
เมื่อจุติจิตดับลงแล้วโดยไม่มีรูปนามใหม่เกิดขึ้น การดับขันธ์เช่นนี้
เป็นสุขอันสงบไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีรูปนามเกิดขึ้นอีก ดังนั้นจึงไม่
อาจกล่าวว่าพระอรหันต์ปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ภูมิใดใน ๓๑ ภูมิ
เหมือนประกายไฟที่ดับไปแล้วไม่อาจกล่าวว่าอยู่ในสถานที่แห่งใด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2023, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




PhotoRoom-20230410_130328.png
PhotoRoom-20230410_130328.png [ 350.53 KiB | เปิดดู 1053 ครั้ง ]
ผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับอัดตาตัวตนอาจกล่าวว่า ตัวตนของพระ
อรหันต์ได้อันตรธานหายไปเป็นความว่างเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ในข้อแรกที่จะต้องเข้าใจคือ อัตตาตัวตนหรือบุดคลนั้นไม่มีอยู่จริง
หากเป็นเพียงสภาวธรรมของกระแสขันธ์ที่เกิดดับสืบเนื่องกันอยู่
ตลอดเวลาเท่านั้น สภาวธรรมนี้เป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นขึ้น แต่
แท้จริงแล้วขันธ์ก็เป็นเพียงกองทุกข์ ผู้ปฏิบัติที่เพียบพร้อมด้วยศีล
สมาธิ และวิปัสสนาปัญญาย่อมเกิดความเบื่อหน่าย ดังในคาถาที
พระโคตมีเถรีตรัสไว้ และส่งผลให้เชือกที่ผูกพันเราไว้กับรูปนามถูก
ตัดให้ขาดสะบั้น หลังจากจุติจิตของพระอรหันต์ดับ ขันธ์ทั้งปวง
ก็ดับลงโดยสิ้นเชิง นี้ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่า แต่หมายถึงการ
ดับไม่เหลือของวัฏฏทุกข์ เมื่อวัฏฏทุกข์ดับ ภพใหม่ก็ไม่มีอีก และ
ขรา มรณะ ตลอดจนความทุกข์ทั้งมวลก็ดับไปทั้งหมด

อาจเกิดคำถามว่า "ถ้าสามารถไปสวรรค์ที่ไม่มีการเกิด แก่
เจ็บ ตาย จะไม่ดีกว่าหรือ"

สวรรค์ที่ว่านี้เป็นเพียงจินตนาการ เพราะสิ่งใดมีการเกิดขึ้น
สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา แม้ว่าวิมานของเทวดาและพรหมจะ
ป็นที่สวรรค์ที่พรั่งพร้อมด้วยทิพยสุข แต่ก็ยังปรากฏรูปนามที่อยู่
ในสภาพแปรเปลี่ยนเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เมื่ออายุขัยของเทวดา
และพรหมหมดลงก็จะต้องตายในที่สุด

ดังนั้น ความสุขที่แท้จริง ก็คือ ความดับไม่มีเหลือของรูป
และนามอันเป็นทุกขสัจเท่านั้น แต่ทุกขสัจจะดับไปได้ก็ด้วยการดับ
ตัณหาซึ่งเป็นสมุทยสัจ ด้วยมรรคญาณและผลญาณ และเมื่อจุติจิต
ของพระอรหันต์ดับลง ขันธ์ทั้งปวงไม่เกิดขึ้นอีก จึงเป็นการดับขันธ์
โดยไม่มีเชื้อที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 80 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร