ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
บัญญัติธรรม http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64018 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 ส.ค. 2023, 05:46 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | บัญญัติธรรม | ||
บัญญัติธรรม ได้กล่าวแล้วตั้งแต่ต้นตามนัยแห่งคาถาที่ ๒ ว่า ปัจจยสังหควิภาคนี้แสดงธรรม ๒ ส่วนคือ ปฏิจสมุปปาทนัยส่วนหนึ่ง และปัฏฐานนัย (คือปัจจัย ๒๔) อีกส่วนหนึ่ง เมื่อได้แสดงธรรม ๒ ส่วนนั้นแล้ว ก็ควรจะจบได้แล้ว แต่ว่าในปัจฉิมคาถาที่ ๒ (คือคาถา ที่ ๒๗) มีใจความว่า ปัจจับ ๒๔ ล้วนตั้งอยู่แล้วด้วยสามารถแห่งบัญญัติธรรม นามธรรม และรูปธรรม นามธรรม และ รูปธรรม ได้แสดงมาแล้วมากมาย ส่วนบัญญัติธรรมได้กล่าว ถึงบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เหตุนี้ พระอนุรุทธาจารย์ จึงแสดงบัญญัติธรรมโดยมีข้อความ ละเอียดพอประมาณ ในตอนท้ายปริจเฉทนี้ด้วยการเริ่มคาถาที่ ๒๘ และ ๒๙ ว่า ๒๘. ตตฺถ รูปธมฺมา รูปกฺ- ขนฺโธ วาติ วิชานิยา จิตฺตเจตสิกกฺขาตา จตุขนฺธา อรูปิโน ฯ ๒๙. อสงฺขตํ นิพฺพานญฺจ อิติ ปญฺจวิธํ อิทํ อรูปนฺติ จ วเกฺยน. นามนฺติ จ ปวุจฺจติ ฯ แปลความว่า ธรรมเหล่านั้น (คือ บัญญัติธรรม นามธรรม รูปธรรม) รูปธรรม ทั้งหลายพึงทราบว่าเป็นรูปขันธ์อย่างเดียว อรูปขันธ์ ๔ นั้น ได้แก่จิต เจตสิก ซึ่งเป็น สังขตธรรม อรูปขันธ์ ๔ และรวมนิพพาน ๑ ซึ่งเป็นสังขตธรรมเข้าไปด้วยเป็น ๕ อย่างนี้ ท่านกล่าวว่าเรียก อรูป ก็ได้ เรียก นาม ก็ได้ คาถาทั้ง ๒ นี้แสดงถึงรูปนาม ย้ำให้รู้ว่า รูปธรรมทั้ง ๒๘ รูปนั้นเรียกว่า รูป ขันธ์ อย่างเจียว ส่วน นามธรรม คือ เวทนาบันธ์ สัญญาขันธ์ สังบารบันธ์ วิญ- ญาณขันธ์ ที่เป็นขันธ์และเป็นฝ่ายสังขตธรรม กับ นิพหาน ที่เป็นบันธวิมุตติและเป็น ฝ่ายอสังบตธรรม รวมนามธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้เรียกว่าอรูปก็ได้ เพราะนามธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้ ไม่มีรูป ไม่ใช่รูป จึงเรียกว่า อรูป ๓๐. อวเสสา จ ปญฺญตฺติ. ตโต จ นามรูปโต ปญฺญาปิยตฺตา ปญฺญตฺติ สปฺญาปนโต ตถา ทุวิชา ปญฺญตฺติ โหติ อิติ วิญฺญูหิ จิตฺติตํ ฯ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 17 ส.ค. 2023, 06:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: บัญญัติธรรม |
แปลความว่า ส่วนธรรมที่เหลือจาก รูปธรรม นามธรรมนั้น ชื่อว่าบัญญัติ บัญญัติธรรมนั้นมี ๒ อย่าง คือ ปญฺญาปิยตฺตาปญฺญตฺติ และ ปญฺญาปนโตปญฺญตฺติ ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายได้บัญญัติไว้แล้วดังนี้ หมายความว่า นอกจากสภาวธรรมอันเป็นรูปธรรม และนามธรรมแล้ว ยังมี บัญญัติธรรม อันเป็นอสภาวะ คือเป็นธรรมที่ไม่มีสภาวะ แต่เป็นธรรมที่สมมติขึ้น ตั้งขึ้น บัญญัติขึ้น เพื่อจะได้ใช้พูดจาว่าบานกันให้รู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ บัญญัติธรรมนี้ จำแนกโดยประเภทใหญ่แล้วมี ๒ ได้แก่ ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ หรือ อัตถบัญญัติ ๑ และ ปัญญาปนโตบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ อีก ๑ ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ ซึ่งบ้างก็เรียกว่า อัตถบัญญัตินั้น บัญญัติขึ้น สมมติขึ้น ตั้งขึ้น เพื่อให้รู้เนื้อความแห่งรูปร่าง สัณฐาน หรือ ลักษณะอาการของชื่อนั้น ๆ เช่น ภูเขา ต้นไม้ บ้านเรือน ยืน เดิน เป็นต้น ปัญญาปนโตบัญญัติ ซึ่งบ้างก็เรียกว่า สัททบัญญัตินั้น บัญญัติขึ้น สมมติขึ้น ตั้งขึ้น เพื่อให้รู้จักเสียงที่เรียกชื่อนั้น ๆ หรือ รู้ด้วยเสียง รู้ด้วยคำพูด ที่หมายถึงอัตถ-บัญญัตินั้น เช่นในขณะที่ไม่ได้เห็นภูเขา ไม่ได้เห็นตันไม้ แต่เมื่อออกเสียงพูดว่า ภูเขา พูดว่า ต้นไม้ ก็รู้และเข้าใจได้ว่า ภูเขา ตันไม้ มีรูปร่าง สัณฐาน อย่างนั้น ๆ หรือพูดว่ายืน พูดว่า เดิน ก็รู้และเข้าใจได้ว่ามีกิริยาอาการอย่างนั้น ๆ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |