วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 18:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2023, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1703319942329-removebg-preview (3).png
ei_1703319942329-removebg-preview (3).png [ 431.05 KiB | เปิดดู 671 ครั้ง ]
ปัจจเวกขณญาณ

ในเบื้องต้นผู้ที่บรรลุนิพพานด้วยมรรค-ผลญาณ ย่อมนำมรรค ผล นิพพาน
กลับมาพิจารณาดูใหม่ ยิ่งถ้าเป็นบุคคลผู้มีความรู้ในพระปริยัติด้วยแล้ว
สามารถพิจารณาต่อไปถึงขั้นที่รู้ว่า กิเลสไหนบ้างที่ตนละได้แล้ว และกิเลส
เหล่าาไหนบ้างที่ตนยังมิได้ละ ญาณที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณานั้น ท่านเรียกว่า
ปัจจเวกขณญาณ ดังจะเห็นในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ (ปริจเฉทที่ ๙ ท่านพระ
อนุรุทธาจารย์ได้ย่อความหมายของปัจจเวกขณญาณไว้ดังนี้ว่า
มคฺคํ ผลญฺจ นิพฺพานํ ปจฺจเวกฺขติ ปณฺฑิโต
ทีเน กิเลเส เสเส จ ปจฺจเวกฺขติ วา น วา.


บัณฑิต(ผู้บรรลุนิพพานแล้ว)ย่อมพิจารณาทบทวนอริยมรรค (หมายถึง
อริยมรรค ที่เข้าถึงนิพพานพร้อมกับวิปัสสนามรรค) อริยผล พระนิพพาน อนึ่ง
บางที่ก็พิจารณา กิเลสที่นละได้แล้วและกิเลสที่ยังเหลืออยู่ แต่บางทีก็ไม่ได้
พิจารณากิเลสเหล่านี้เลยก็มี

การพิจารณาอริยมรรคที่ตนบรรลุแล้ว เรียกว่า มรรคปัจจเวกขณญาณ
การพิจารณาอริยผลที่ตนบรรลุแล้วเรียกว่า ผลปัจจเวกขณญาณ
การพิจารณานิพพานที่ตนบรรลุแล้ว เรียกว่า นิพพานปัจจเวกขณญาณ
อนี่ง ญาณทั้ง ๓ นี้เป็นญาณที่จักเกิดขึ้นแน่นอน ภายหลังจากที่บุคคลได้บรรลุ
มรรค ผล นิพพาน ส่วนการพิจารณากิเลสที่ตนละได้และการพิจารณากิเลสที่ยัง
ตกค้างอยู่ในจิตสันดานนั้น เป็น อเนกันตะ คือ เป็นสิ่งที่ยังไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้น
หรือไม่ เพราะว่าบางทีก็เกิดขึ้นบางทีก็ไม่เกิดขึ้นก็มี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้นว่า
เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับการละกิเลสของมรรคแต่ละมรรคมาบ้างหรือไม่ ข้อนี้ได้มี
การอธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถกถาต่างๆมากมาย แต่ในพระบาลีและอรรถกถาแห่ง
มูลปัณณาสก์ จูฬทุกขักขันธสูตร ระบุไว้ว่า ปัจจเวกขณญาณ ไม่จำเป็นที่จะต้อง
เกิดขึ้นพร้อมกันก็ได้ โดยในพระบาลีพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า

ตสฺส มยฺหํ ภนฺเต เอวํ โหติ, โกสุ นาม เม ธมฺโม อชฺฌตฺตํ อปฺปทีโน, เยน
เม เอกทา โลภธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฐนฺติ, โทสธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย
ติฎฐนฺติ, โมหธมฺมาปิ จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺฐนฺตีติ. โส เอว โข เต มหานาม
ธมฺโม อชฺฌตฺตํ อปฺปโน.


(ม.มู. ๑๒/๐๗๕/๑๓๖)

(พระเจ้ามหานาม ทูลถามพระบรมศาสดาว่า) "ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์นั้นเกิดความคิดอย่างนี้ว่า 'แม้ในบางครั้ง โลภธรรมทั้งหลายย่อ
เกิดขึ้นท่วมทับจิตใจของข้าพระองค์ ในบางครั้งเป็นโทสธรรมและในบางครั้งเป็น
โมหธรรมนั้นเป็นเพราะข้าพระองค์ยังไม่สามารถละกิเลสภายในอันใดได้หรือ
พระเจ้าข้า" (พระบรมศาสดา ตรัสตอบว่า) "เจ้ามหานาม ก็โลภะ โทสะ
โมหะมีอยู่ภายในจิตใจของท่านที่ท่านยังละไม่ได้นั่นแหละเป็นต้นเหตุ"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2023, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เล่ากันว่า พระราชาพระงค์นี้(มหานามะ)มีความสำคัญว่า "พระองค์ได้ละ
กิเลสคือ โลภะ โทสะ และโมหะ อย่างสิ้นเชิงด้วยสกทาคามิมรรค" ทรงทราบอีกว่า
กิเลสที่พะงค์ยังไม่ได้ละก็ยังมีอยู่" และเป็นผู้มีความสำคัญว่า "กิเลสที่พระองค์
ได้ละไปแล้วนั้นจักเกิดขึ้นได้อีกในภายหลังเพราะอาศัยกิเลสที่ยังละไม่ได้(เป็นตัวนำ)
(ก็หาก มีคำถามว่า) "พะอริยสาวกจักมีความสงสัยเช่นนี้ได้หรือ ?" (ควรตอบว่า)
"มิได้" เพราะพระองค์ไม่ทรงฉลาดในเทศนาบัญญัติ จริงอยู่ ความสงสัยเช่นนี้
ย่อมเกิดขึ้นได้ แม้แก่พระอริยสาวกผู้ไม่เข้าใจว่า กิเลสส่วนนี้ที่บุคคลพืงละได้ด้วย
อริยมรรคข้อนี้

ถามว่า "แล้วปัจจเวกขณญาณไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยสาวกนั้นหรือ"
ตอบว่า "เกิดขึ้น แต่ปัจจเวกขณญาณนั้นไม่บริบูรณ์ แก่พระอริยะทั้งหมดได้
หมายความว่าพระอริยสาวกบางท่านจะพิจารณาเฉพาะกิเลสที่ตนละได้แล้วเท่านั้น
บางท่านพิจารณาเฉพาะกิเลสที่ยังเหลืออยู่เท่านั้นบางท่านพิจารณาเฉพาะอริยมรรค
เท่านั้นบางท่านพิจารณาเฉพาะอริยผลเท่านั้นบางท่านพิจารณาเฉพาะพระนิพพาน
เท่านั้น แต่แน่ๆ ก็คือ ในปัจจเวกขณะทั้ง ๕ นี้ อย่างน้อยๆจะต้องเกิดขึ้นสัก ๑ หรือ
๒ อย่างเสมอ ไม่มีที่จะไม่เกิดขึ้นเลย"
ข้อความทียกมานี้ ฟังทราบว่าเป็นมติของกรรถกถาแห่งพระบาลีมูลปัณณาสก์
เท่านั้น ส่วนในอรรถาถาอื่นๆ ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า "ผู้บรรลุอริยมรรคแล้ว
จะต้องพิจารณา มรรค ผล และนิพพานแน่นอน ส่วนกิเลลที่ละไปแล้วหรือละยัง
มิได้นั้นจะพิจารณาหรือไม่ขึ้นอยู่กับบุคคพผู้นั้นว่ามีภูมิความรู้ปริยัติมากน้อยเพียงใด

สรุปแล้ว ในอรรถกถาแห่งพระบาลีมูลปัณณาสก์นั้น ท่านมีความเห็นว่า
ปัจจเวกขณญาณอาจเกิดขึ้นเพียงญาณเดียวก็ได้ เป็นความเห็นที่แตกต่างจาก
อรรถกถาอื่นๆ แต่จะอย่างไรก็ตาม การที่บุคคลสามัญจะไปตัดสินว่า พระอริยะ
องค์นั้นมีปัจจเวกขณญาณเดียว ส่วนองค์โนั่นมี ๕ นั้น ย่อมไม่ใช่วิสัยแน่ ดังนั้น
ไม่ว่าจะ เป็นความคิดเห็นของอรรถกถาไหนเราก็ควรให้ความเคารพในความเห็นของ
ท่านเหมือนๆกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร