วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 18:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2024, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Flock-Of-Flying-Bird.png
Flock-Of-Flying-Bird.png [ 52.71 KiB | เปิดดู 764 ครั้ง ]
วิธีการที่โยคีควรถือเป็นแนวทาง

ต่อไปนี้จะได้นำเอาวิธีการปฏิบัติที่ควาถือเกินแบบอย่างจากสมถยานิกะทั้งหลาย
โดยมีวัตถุประ สงค์เพื่อให้โยคีได้อิงอาศัยหรือยึดเป็นแนวทาง ซึ่งแม้ว่าหลักการ
ปฏิบัติวิปัสสนาในหนังสือเล่มนี้ จะ เป็นแนวทางหรือวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรโดยตรง รวมทั้งยังสอดคล้องกับพระ สูตรอื่นๆด้วยก็ตาม
แต่ถ้ำโยคียังมองภาพของวิธีการปฏิบัติไม่ออก ก็อาจทำให้เกิดความสงสัยในหลัก
การปฏิบัติได้ ด้วยเหตุนี้ โยคีทั้งหลายจึงควรที่จะได้อาศัยตัวอย่างการสาธิตหลักการ
ปฏิบัติขจัดความสงสัยแล้วเกิดธัมมววัตถานญาณต่อไป

อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺกํ
สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ, โส "ยเทว ตตฺถ โหติ
รูปคตํ เวทนาคตํ สญฺญาคตํ สงฺขารคตํ วิญฺญาณคตํ", เต ธมฺเม อนิจฺจโต
ทุกฺขโต โรคโต คณฺฑโต สลฺลโต อฆโต อาพาธโต ปรโต ปโลกโต สุญฺญโต
อนตฺตโต สมนุปสฺสติ.


(อง.นวก. ๒๒๐)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ สงัดแล้วจากกามคุณ สงัดแล้วจาก
อกุศลกรรม บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขที่เกิดแต่วิเวกอยู่ เธอย่อม
หยั่งเห็นธรรมเหล่านั้น คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ในขณะเกิด
ปฐมฌานนั้น ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เหมือนโรค เหมือนฝี เหมือนหนาม ไม่ดีงาม
เหมือนโรค เป็นสภาพอื่นจากตัวตน แตกสลาย ว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน

พระบาลีข้างต้นนี้แสดงให้ทราบว่า ภิกษุผู้ที่ได้ฌานนั้น ในเบื้องต้น ก่อนที่จะ
เจริญวิปัสสนาท่านได้เข้าปฐมฌานโดยเอาปฐมฌานนั้นเป็นบาทก่อน และทันทีที่
ออกจากฌาน ท่านก็ได้ทำการเจริญวิปัสสนาโดยเอาขันธ์ทั้งหลายที่ได้ปรากฎในฌาน
ที่เข้าปฐมฌานนั่นเองมาพิจารณาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น
นอกจากเข้าปฐมฌานแล้ว แม้ในฌานอื่นๆที่เหลือคือรวมทั้งรูปฌานและ
อรูปฌาน ก็พึ่งทราบโดยทำนองเดียวกันนี้แล แม้ในพระสูตรอื่นๆก็พึงทราบว่ามี
การแสดงวิธีการและขั้นตอนการเจริญวิปัสสนาของสมถยานิกบุคคล โดยทำนอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2024, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


เดียวกันนี้ ในพระบาลีนั้น จะบอกไว้อย่างชัดเจนว่า "ภายหลังจากที่ภิกษุเข้าฌาน
ใดฌานหนึ่งแล้ว เมี่ออกจากนั้นก็จะรับเอารูปนามที่มาปรากฎในขณะที่เข้า
ฌานมาพิจารณาเป็นอารมเณ์ของวิปัสสนา"

แต่ไม่มีพระบาลีใดบอกว่า "มีการนำเอารูปนามตามที่ตนเคยได้ยินได้ฟังหรือ
ศึกษาเล่าเรียนมาพิจารณาโดยอาศัยอนุมานญาณ" ดังนั้น จึงขอให้โยคีทั้งหลาย
จงใส่ใจประเด็นนี้ให้จงหนัก

ด้วยข้อความว่า อนิจฺจโต เป็นต้น ในพระสูตรที่ยกมาข้างต้นนั้น ไม่ควรที่จะ
เข้าใจว่า "พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาเช่นนั้นเฉพาะในขั้นของ
อนิจจาทิวิปัสสนา(วิปัสสนามีอนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนาและอนัตตานุปัสสนา)
เท่านั้น แต่สำหรับในชั้นของนามรูปปริเฉทญาณและปัจจยปริคคหญาณแล้ว โยคี
ย่อมสามารถที่นำเอานามรูปมาพิจารณาเปรียบเทียบเป็นวิปัสสนาได้"

ก็สาเหตุที่ไม่ควรเข้าใจเช่นนั้น เป็นเพราะว่าในที่นี้ เป็นการกล่าวโดยยกเอา
อนิจจาทิวิปัสสนาเป็นประธานหรือเป็นประเด็นหลัก ส่วนญาณทั้ง ๒ กล่าวคือ นาม
รูปปริเฉทญาณและปัจจยปริคคหญาณ แม้จะไม่ได้เอ่ยไว้โดยตรง แต่ก็พึ่งทราบ ว่า
ทรงแสดงไว้โดยนัยชึ่งเรียกว่าปธานนัย [สำนวนโวหารที่ยกเอาเพียงธรรมที่เป็น
ใหญ่หรือประธานขึ้นมากล่าว ส่วนธรรมอื่นๆที่ไม่ใช่ประธานถือว่าให้สงเคราะห์
เข้าได้]นั่นเอง ซึ่งได้เคยกล่าวไปครั้งหนึ่งแล้ว ในปริเฉทที่ ๒ ตอนว่าด้วยเรื่องของ
การจำแนกหลักการเจริญมรรคภาวนา ๒ วิธี

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค(๒/๒๒๒) ท่านได้กล่าวอธิบายไว้โดย
อาศัยพระบาลีที่ได้ยกมาข้างต้นนั่นเอง ดังนี้ว่า

นามรูปานํ ยาถาวทสฺสนํ ทิฏฐิวิสุทฺธิ นาม. ตํ สมฺปาเทตุกาเมน สมถ-
ยานิเกน ตาว ฐเปตฺวา เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อวเสสรูปารูปาวจรชฺฌานานํ
อญฺญตรโต วุฎฐาย วิตกฺกาทีนิ ฌานงฺคานิ ตํสมฺปยุตฺตกา จ ธมฺมา ลกฺขณรสา-
ทิวเสน ปริคฺคเหตพฺพา.


การหยั่งเห็นรูปนามตามความเป็นจริง ชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ(ความหมดจดแห่ง
ความเห็นโยคีผู้เป็นฝ่ายสมถยานิกต้องการเข้าถึงทิฏฐิวิสุทธินั้นเมื่อออกจากรูปฌาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2024, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240104-103001_Samsung Members.jpg
Screenshot_20240104-103001_Samsung Members.jpg [ 99.25 KiB | เปิดดู 673 ครั้ง ]
หรืออรูปฌานอย่างใดอย่างหนึ่งยกเว้นเนวสัญญานาสัญญยตนฌานแล้วพึงกำหนด
องค์ฌาน มีวิจารณญาน และสัมปยุตธรรมมีผัสสะ สัญญา เจตนา จิตเป็นต้น ที่ประกอบกับ
องค์ฌานนั้น โดยลักษณะและหน้าที่เป็นต้น

ในข้อความวิสุทธิมรรคข้างต้นนี้ พึงทราบว่า ทิฏฐิวิสุทธิ ก็คือญาณที่หยั่งรู้
รูปนามตามความเป็นจริง สมถยานิกบุคคลผู้ที่ประสงค์จะทำให้ทิฏฐิวิสุทธิดังกล่าว
สำเร็จ ในเบื้องต้นพึงเข้าฌานไม่ว่าเป็นรูปฌานหรืออรูปฌามอย่าใดอย่างหนึ่ง
ผมแล้วออกจากฌานนั้น จากนั้น ให้นำเอาองค์ฌานกล่าวคือวิตก วิจาร ปิติ สุข"
อุเบกขาและ เอกกัคคตา ซึ่งเป็นธรรทีปรากฎอยู่ในฌานจิตตุปบาทนั้นนั่นเองมา
พิจารณาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา รวมไปถึงให้นำเอาสภาวธรรมอื่นๆเช่น ผัสสะ
สัญญา เจตนา จิต ฉันทะ เป็นต้น โดยมุ่งกำหนดให้เห็นสภาวลักษณะ รสะ
ปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐานของธรรมนั้นๆตามความเป็นจริง

คำว่า "ลกฺขณรสาทิวเสน" ในพระบาลีข้างต้นนั้น แสดงให้เห็นว่า ข้อที่ว่า
ให้กำหนดองค์ฌาน. สัมปยุตตจิตและ เจตสิกเป็นวิปัสสนานั้น เป็นการเฟงพิจารณา
ควบคุม และรู้เห็นสภาวสักษณะและรสะเป็นต้นของธรรมทั้งหลายนั้นเอง มิได้เป็น
การมุ่งให้โยคีกำหนดรู้รายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวกับสภาวธรรมนั้น เช่น ชื่อ รูปทรง
สัณฐานและจำนวนของสภาวธรรมเป็นต้นแต่อย่างใด อุปมาดุจในการกล่าวว่า
อภิธมฺมํ ชานามิ ข้าพเจ้ารู้พระอภิธรรม" นั้น ฟังทราบว่า มิได้เป็นการรู้พระอภิธรรม
หมดทุกแง่ทุกมุมแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการที่จะสื่อให้ทราบว่า อภิธมฺมํ เอกเทส
วเสน ชานามิ "ข้าพเจ้ารู้พระอภิธรรมเพียงบางส่วน" เท่านั้นเอง

แม้ในการกล่าวว่า จนฺทํ ปสฺสามิ "ข้าพเจ้าเห็นดวงจันทร์" ก็ไม่ได้หมายถึง
การเห็นทุกส่วนของดวงจันทร์ เป็นแค่กาวเห็นส่วนที่เป็นพื้นด้านล่างของดวงจันทร์
เท่านั้น การกล่าวว่า จนฺทํ ปสฺสามิ จึงมีความหมายเท่ากับคำว่า จนฺทํ เหฎฐิมตล-
วเสน ปสฺสามิ "ข้าพเจ้าเห็นพื้นส่วนที่เป็นด้านล่างของดวงจันทร์" อุปมานี้ ฉันใด
อุปไมยก็ฉันนั้น นั่นก็คือว่า การที่กล่าวว่า "โยคีจะต้องกำหนดลักษณะและรสะ
เป็นต้น" นั้น หมายความว่า โยคีจะต้องตามกำหนดรู้เฉพาะลักษณะและรสะเป็นต้น
ของธรรมที่เป็นองค์ฌานและจิตเจตสิกที่เป็นสัมปยุตตธรรมทั้งทลายเท่านั้น จึงจะได้
ชื่อว่า เป็นการรู้ปรมัตถ์อย่างแท้จริง ด้วยว่า สภาวลักษณะและรสะเป็นต้นนั่นแหละ
ชื่อว่าเป็นสภาวปรมัตถ์อย่างแท้จริง สิ่งอื่นหาได้เป็นปรมัตถ์อย่างแท้จริงไม่

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2024, 06:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


จะอย่างไรก็ตาม แม้ในการวรู้สภาวลักณะเป็นต้นของปรมัตถธรรมเหล่านั้น
มิได้เป็นการรู้เพียงบางส่วน แต่เป็นการรู้ทั้งสภาวะปรมัตถ์นั่นเทียว ดีวอย่างเช่น
ในกรณีการรู้ผุสสนลักษณะกล่าวคือการกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์นั้น มิไช่
เป็นการรู้เพีงบางส่วนบางผัสเจตสิก แต่เป็นการรู้ผัสสะทุกแง่มุมอย่างสมบูรณ์
แบบนั่นเทียว ดังนั้น พึงทราบว่า การใช้คำว่า วเสน ต่อท้ายคำนามอื่นๆจึงมีลักษณะ
ของการอธิบายโดยทำนองเดียวกันนี้แล

ในคัมภีร์ฎีการะบุไว้ว่า ในกรณีของโยคีผู้เริ่มต้นปฏิบัตินั้น ให้ยกเว้นการกำหนด
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ทั้งนี้เพราะไม่มีสักยภาพพอที่จะตามกำหนดพิจารณา
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ โยคีทั้งหลายจะได้เข้าใจในตอน
ยกเอาอนุปทสูตรมาแสดงในช่วงถัดไป

นอกจากนี้แล้ว สาเหตุที่ไม่แสดงรูปไว้เป็นธรรมที่โยคีควรตามกำหนดพิจารณา
ไว้เหมือนในพระไตรปิฎกนั้น เป็นเพราะว่า สำหรับสมถยานิกบุคคลนั้น โดยส่วน
มากแล้ว นามธรรมที่เป็นฌานจิตตุปบาทจะปรากฏก่อน ดังนั้น บุคคลเหล่านั้นก็
จะทำการกำหนดพิจารณาโดยเริ่มต้นที่นามธรรมนั้นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนรูปนั้นเป็น
ธรรมที่ไม่ค่อยจะปรากฎก่อน จึงไม่ค่อยถูกนำมาพิจารณาเป็นลำดับแรกเหมือนกับนาม
ซึ่งวิธีการกำหนดพิจารณาที่ไม่ค่อยจะถูกนำมาพิจารณาดังกล่าวนี้ ผู้เขียนจะได้นำ
มาแสดงรวมไว้กับวิธีการกำหนดพิจารณาของวิปัสสนายานิกบุคคล

สรุปว่า พระอรรถกถาจารย์ท่านประสงค์จะแสดงหลักการกำหนดนามธรรม
ไว้โดยตรง ส่วนการกำหนดรูปธรรมนั้น โยคีจะต้องตีความเอาโดยเยภุยยนัย[สำนวน
โวหารที่ยกเอาสิ่งที่มีมากขึ้นมาพูด แต่ก็ครอบคลุมไปถึงสิ่งอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวไว้ด้วย)
อีกนัยหนึ่ง เพราะประสงค์จะแสดงการกำหนดนามธรรมไว้โดยปธานนัย จึงได้ละ
หรือข้ามการกำหนดนามธรรมไป(คำว่า ปธานนัย หมายถึง วิธีการแสดงโดยระบุ
เฉพาะสิ่งที่เป็นประธานหรือหัวหน้าเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เป็นรองหรือลูกน้อง แม้จะ
ไม่ระบุก็พึงทราบว่า มีการนับเอาด้วยเช่นกัน]

นอกจากนี้ เนื่องจากว่านามกับรูปนั้นเป็นสภาวธรรมที่ไม่สามารถจะนำ
มากำหนดรู้ในขณะเดียวกันได้ ท่านจึงได้แสดงเฉพาะนาม โดยยังไม่ได้แสดง
รูปธรรมร่วม แต่จะเห็นว่า ท่านได้แยกวิธีการกำหนดหทยรูปอันเป็นที่อาศัยของ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2024, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


นามธรรมที่เป็นฌานนั้นเป็นเอกเทส ไว้ในตอนถัดไป ดังนั้น ข้อความในคัมภีร์
วิสุทธิมรรคจึงสอดคองเป็นเนื้อหาสาระเดียวกันกับข้อความในพระไตรปิฎก
อังคุตตรนิกายนั่นเอง ด้วยเทตุนี้ จึงไม่ควรที่จะเข้าใจผิดคิดว่าข้อความในคัมภีร์
วิสุทธิ์มรรคนั้นขาดวิธีการกำหนดเนวสัญญานาสัญญายตนฌานกับวิธีการกำหนด
รูปธรรมไม่สมบูรณ์เหมือนกับข้อความในพระไดรบิฎก เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีข้อความ
ยืนยันจากคัมภีร์ฎีกาถึง ๓ แห่ง ดังต่อไปนี้

ข้อความที่เป็นหลักฐานยืนยันที่ ๑

อรูเป วิปสฺสนาภินิเวโส เยภุยฺเยน สมถยานิกสฺส โหติ
(วิสุทฺ.ฎี. ๒/๔๗๐)

การเริ่มต้นเอาใจใส่กล่าวคือการเรีมต้นกำหนดพิจารณาวิปัสสนาโดยนำเอา
นามธรรมเป็นอารมณ์นั้น โดยส่วนมากแล้ว พึ่งทราบว่า เป็นวิธีของสมถยานิกบุคคล
[หมายความว่า การนำเอารูปธรรมมาพิจารณาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาเป็นอันดับ
แรกนั้น ไม่ใช่จะมีไม่ได้ แต่มีน้อยมาก]

จะอย่างไรก็ตาม ในกรณีที่โยคีนั้นเป็นวิปัสสนายานิกบุคคล พึงทราบย่า
โดยส่วนมากแล้วมีการนำเอารูปธรรมมาพิจารณาก่อน ดังนั้น ในคัมภีก็วิสุทธิมรรค
มหาฎีกา นั่นเอง ท่านจึงได้กล่าวข้อความสำหรับวิปัสสนายานิกบุคคลไว้ว่า

รูเป วิปสฺสนาภินิเวโส เยภุยฺเยน วิปสฺสนายานิกสฺส โหติ
การเริ่มต้นเอาใจใส่กล่าวคือการเริ่มต้นกำหนดพิจารณาวิปัสสนาโดยนำเอา
รูปพรรมเป็นอารมณ์นั้น โดยส่วนมากแล้ว พึงทราบว่า เป็นวิธีของวิปัสนาย่านการค้า

สำหรับในหนังสือเล่มนี้ จะได้นำเอาวิธีการเริ่มต้นพิจารณาที่รูปธรรมมากล่าว
ไว้ในปริเฉท ๕ ต่อไป

ข้อความที่เป็นหลักฐานยืนยันที่ ๒
ฌานงฺคานิ ปริคฺคณฺหาติ อรูปมุเขน วิปสฺสนํ อภินิวิสนฺโต.

(มหาวรรคฎีกา.๓๐๐)


โยคึผู้เริ่มพิจารณากำหนดองค์ฌานนั้น ก็คือผู้ที่เริ่มกำหนควิปัสสนาโดยอาศัย
นามธรรมเป็นอารมณ์หลักนั่นเอง

คำว่า อรูปมุเขน ที่มาในคัมภีร์ฎีกานี้ แสดงให้ทราบว่า ในบรรดานามรูปที่
เกิดขึ้นพร้อมกันนั้น โยคีจะต้องกำหนดเอาเฉพาะนามที่ปรากฏชัดเท่านั้น ส่วนรูป
ไม่จำเป็นต้องแยกมากำหนดเป็นเอกเทศ ซึ่งข้อความนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า แม้จะ
ไมต้องกำหนดรูปเป็นเอกเทศ แต่โยคีผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยังกิจ "การกำหนด"
ทั้ง ๒ คือ การกำหนดรูปและการกำหนดนาม ให้สำเร็จนั่นเอง โดยทำนองเดียวกัน
หากโยคีนำเอารูปมากำหนดเป็นประธานหลัก โยคีนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกำหนดนาม
เป็นเอกเทศเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์ฎีกาดังกล่าวท่านจึงได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า
อสฺสาสปสฺสาเส ปริคฺคณฺหาติ รูปมุเขน วิปสฺสนํ อภินิวิสนฺโต
โยคีผู้เจริญวิปัสสนาโดยวิธีการกำหนดรูปเป็นประธานนั้น ย่อมกำหนด
หายใจเข้าหายใจออก

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 71 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร