วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 04:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2024, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1703980412580-removebg-preview (1).png
ei_1703980412580-removebg-preview (1).png [ 423.8 KiB | เปิดดู 674 ครั้ง ]
เทียบเคียงการกำหนครู้กับหลักฐานจากพระคัมภีร์

กายานุปัสสนา

การกำทนดรู้ในขณะที่เห็น

เมื่อสมถยานิกะเข้าถึงฌานใด ออกจากฌานนั้นแล้ว ย่อมพิจารณากำหนดรู้
ณานนั้น และรูปอันเป็นที่อาศัยของฌานนั้น พร้อมทั้งรูปเกิดเพราะฌานนั้น ฉันใด
แม้วิปัสสนายานิกะ ก็ควรพิจารณากำหนรู้ฉันนั้นเช่นกัน คือ กำหนดรู้จิตเห็น
จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตกระทบสัมผัส จิตคิด ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วดับไป
ในตอนนั้น พร้อมทั้งรูปอันเป็นที่อาศัยของจิตทั้งทลายเหล่านั้น และรูปที่เกิดเพราะ
จิตเหล่านั้น รวมถึงรูปที่เป็นอารมณ์ของจิตเหล่านั้นด้วย ซึ่งข้อนี้ได้เปรียบเทียบ
ไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา

คำว่า "จิตเห็น" ในที่นี้ หมายถึง จักขุทวารวิถีทั้งวิถี ซึ่งเริ่มต้นที่อาวัชชนะ
สิ้นสุดที่ตทารัมมณะ ทั้งนี้เพราะว่า ในการเจริญวิปัสสนานั้น โยคีไปสามารถนำ
เอาจิตตุปบาทแต่ละดวงมากำหนดหรือพิจารณาแยกเป็นดวงๆได้เลย จึงต้อง
กำหนดโดยวิถีจิตทั้งวิถี ตามที่ได้นำเสนอเทียบเคียงกับหลักฐานจากพระไตรปิฎก
อัฏฐกถา และฎีกาไปแล้วนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปริเฉทที่ ๖ ตอนที่ว่าด้วยเรื่อง
ของภังคญาณนั้น จะได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก

ถามว่า : จะกำหนด "จิตเห็น" อย่างไร?
ตอบว่า : ในขณะที่เห็น พึงกำหนดว่า "เห็นหนอ" ให้ทันในทุกขณะของการ
เห็นเลยที่เดียว แม้ในขณะ อื่นๆก็พึงกำหนดโดยทำนองเดียวกันนี้ เช่น ในขณะที่
ได้ยินเสียง ก็พึงกำหนดว่า "ได้ยินหนอๆ"

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2024, 04:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ถามว่า : ในกรกำหนดว่า "เห็นหนอๆ" ในขณะที่เห็นอยู่นั้น เรียกว่า
เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรมใดฤๅ?
ตอบว่า : เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรม ๕ ประการ คือ จักขุปสาท รูปายตนะ
จักวิญญาณ ผัสสะ และเวทนาโดยมีลักษณะของการกำหนดรู้ดังนี้ คือ
หากจักขุรูป (จักขุปสาท) ที่มีความใสหมดจดนั้นปรากฏชัดขึ้นมาโยคีก็สามารถ
เห็นจักษุรูปที่มีความใส เรียกว่า "จักขุปสาท" เป็นอารมณ์ แล้วในกรณี
เดียวกัน หากสภาวธรรมฝ่ายที่เป็นรูปารมณ์ปรากฎชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการรู้
รูป(สีสันวรรณะ) ซึ่งเรียกว่า "รูปายตนะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก โดยทำนองเดียวกัน
หากจิตที่รู้ปรากฏเกิดขึ้นชัดกว่าทั้งสอง(จักขุปสาทและรูปายตนะ) ก็เรียกว่าเป็นการ
รู้ตัวจิตซึ่งเป็นตัวเห็น ซึ่งเรียกว่า "จักวิญญาณ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก หากการ
กระทบสัมผัสระหว่างรูปสีสันกับการเห็นปรากฏชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการกำหนด
รู้การเห็นการกระทบสัมผัส ซึ่งเรียกว่า "จักขุสัมผัสสะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก

โดยทำนองเดียวกัน หากเห็นแล้วรู้สึกดี เห็นแล้วรู้สึกไม่ดี เห็นแล้วรู้สึกทั้ง
ดีและไม่ดี ก็เรียกว่าเป็นการกำหนดรู้ความรู้สึกจากการเห็นดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า
"จักขุสัมผัสสชาเวทนา"

ถามว่า : ในการกำหนดนั้น ควรที่จะกำหนดโดยให้ศัพท์และความหมาย
มีความสอดคล้องกัน เช่น หากจักขุปสาทปรากฎชัด โยคีก็ควรกำหนดด้วยภาษา
ของตนให้สอดคล้องกับความหมายของคำบาลี ดังนี้ว่า "ตาใสหนอๆ" หรือ
หากรูปสีสันปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "เห็นรูปหนอๆ" หรือหากจักขุวิญญาณ
ปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "รู้เห็นหนอ" หรือหากผัสสะปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า
"ประจวบหนอ" หรือถ้าเวทนาปรากฏชัด ก็กำหนดว่า "รู้สึกหนอ" มิใช่หรือ?

ตอบว่า : แม้จะควรกำหนดให้สอดคล้องกันก็ตาม แต่ว่า หากมัวแต่จดจ้อง
กำหนดอยู่อย่างนั้น ในแต่ละครั้งที่มีการเห็นเกิดขึ้น ก็จะทำให้เกิดการพิจารณา
ใคร่ครวญเกี่ยวกับการเห็นนั้นโดยทำนองที่ว่า "ธรรมใดหนอ จะปรากฎชัดกว่า
เราจะกำหนดธรรมนั้นอย่างไรหนอ" ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดช่องว่างระหว่าง
การกำหนดหน้ากับการกำหนดหลังได้ ซ้ำยังไม่สามารถกำหนดให้เป็นปัจจุบัน
จะๆได้และไม่สามารถกำหนดจิตทั้งหลายที่ทำหน้าที่พิจารณาได้ จึงทำให้สติสมาธิ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2024, 04:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


และปัญญาแก่กล้าช้า ด้งนั้น โยคีจึงไม่ควรกำหนดโดยมัวแต่เน้นให้ศัพท์และ
ความหมายมีความสอดคล้องกัน แต่ควรทำการกำหนดรู้โดยลักษณะพื้นๆ เช่น
ในขณะที่เห็น ก็ควรพิจารณาว่า "เห็นหนอ" เท่านั้น ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ จะทำให้
โยคีหมดปัญหาตามที่ได้กล่าวมาแล้วและก็จะทำให้โยคีผู้นั้นสามารถนันและ
รู้สภาวะใดสภาวะหนึ่งที่ปรากฏชัดในขณะที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็ การที่โยคี
สามารถรู้เช่นที่กล่าวมานี้นั้นจะทำให้สำนวนโวหารที่เป็นคำเรียกกิริยาอาการ
เช่น "เห็นหนอ" ได้ชื่อว่าเป็นวิชชมานบัญญัติ ตัชชาบัญญัติ แก่โยคีผู้นั้นผู้ซึ่ง
มุ่งประสงค์จะรู้ชัดแต่เพียงสภาวะของรูปนามทีปรากฎในขณะทีเห็นเท่านั้น

คำว่า วิชชมานบัญญัติ นั้น หมายถึง ชื่อหรือนามบัญญัติที่ใช้เรียกปรมัตถ
ธรรม ซึ่งมีปรากฏอยู่จริง ก็แล ชื่อของปรมัตถ์นี้ ยังได้ชื่อว่าตัชชาบัญญัติด้วย
ในฐานะเป็นสื่อแสดงให้รู้ถึงสภาวะของปรมัตถ์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยสอดคล้องต้องกัน
ตามที่มีอยู่จริงดังที่ในคัมภีร์ทั้งหลายท่านได้ตั้งรูปวิเคราะห์ให้คำจำกัดความไว้ดังนี้ว่า

ตสฺส ปรมตฺถสภาวสฺส อนุรูปํ ชายตีติ ตชฺชา, สา เอว ปญฺญาเปตพฺพํ
ปรมตฺถสภาวํ ปญฺญาเปตีติ ตชฺชาปญฺญตฺติ.

สาเหตุที่เรียกว่า ตชฺชา เพราะเป็นชื่อหรือนามบัญญัติที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้อง
กับสภาวะปรมัตถ์นั้น เนื่องจากเป็นทั้งชื่อหรือนามที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้องกับ
สภาวะปรมัตถ์และสามารถสื่อสภาวะปรมัตถ์ให้บุคคลเข้าใจได้ ดังนั้น จึงเรียกชื่อ
หรือนามนั้นว่า ตัชชาบัญญัติ

ตามนัยที่กล่าวมานี้ พึงทราบว่า ชื่อหรือนามของปรมัตถ์ทั้งหมดทั้งปวงไม่ว่า
จะเป็นชื่อที่เป็นภาษาใดๆ เช่น ชื่อในภาษาบาลีว่า ปถวี, ผสฺส ดังนี้เป็นต้น หรือชื่อ
ในภาษาไทย เช่น ดิน, แข็งกระด้าง, นุ่ม, เห็น, ได้ยิน เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่ได้
ชื่อว่าเป็นตัชชาบัญญัติทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นนี้ก็ได้แสดงไปแล้วในตอนที่ว่าด้วยเรื่อง
ปรมัตกับบัญญัติในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา

ถามว่า : หากโยคีทำการกำหนดโดยใช้ชื่อที่เป็นตัชชาบัญญัติ เช่น "เห็นหนอ"
เป็นต้น แล้วจะไม่เป็นการกำหนดอารมณ์ที่เป็นบัญญัติดอกหรือ?
ตอบว่า : ใช่ หากเป็นแต่ในตอนช่วงต้นๆที่ภาวนายังไม่แก่กล้าเท่านั้น ด้วยว่า
ในตอนเริ่มต้นเจริญวิปัสสนานั้น หากโยคีผู้ใดได้ทำการกำหนดรู้โดยใช้ชื่อเป็นตัว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2024, 06:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1705061491993-removebg-preview (3).png
ei_1705061491993-removebg-preview (3).png [ 488.88 KiB | เปิดดู 272 ครั้ง ]
กำหนดไซร้ โยคีนั้นก็จะมีจิตตั้งมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นเหตุให้สามารถรู้สภาวะ
ของนามรูปตามความเป็นจริงและสามารถทำลายสันตติฆนบัญญัติกล่าวคือทิวแถว
แห่งรูปนามจนทะลุทะลวงมองเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงได้ในที่สุด ยิ่งเมือ
ภาวนาของโยคีนั้นแก่กล้าเต็มที่แล้ว ก็จะทำให้จิตที่กำหนดอยู่นั้นสามารถละทิ้ง
อารมณ์ที่เป็นปัญญัติได้โดยอัตโนมัติ โดยจะรับรูปนามปรมัตถ์แท้ที่กำลังเกิดดับอยู่
มาเป็นอารมณ์เท่านั้น สำหรับโยคีผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ควร
พีจะปลงใจเชื่อตามนยะหรือหลักการที่ท่านได้แสดงไว้ในคัมภีวัวิสุทธิมรรคมหาฏิกา
(๑/๒๖๖) ดังนี้ว่า

นนุ จ ตชฺชาปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คยฺหตีติ?, สจฺจํ คยฺหติ ปุพฺพภาเค
ภาวนาย ปน วทฺฒมานาย ปญฺญตฺติ สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว ติฏฐติ.

ถามว่า : ควรที่โยคีจะกำหนดรู้(มนสิการ) สภาวธรรมโดยอาศัยชื่อหรือนาม
ที่เป็นตัชชาบัญญัติหรือไม่?
ตอบว่า : ในตอนเริ่มต้นของการปฏิบัตินั้น โยคีสามารถทำการกำหนด
เช่นนั้นได้ แต่เมื่อภาวนาแก่กล้าแล้ว จิตของโยคีนั้นจะสามารถข้ามพ้นบัญญัติ
ดังกล่าวแล้วรับเอาสภาวะปรมัตถ์เท่านั้นเป็นอารมณ์

นี่คือคำที่กล่าวไว้ในพุทธานุสสติวรรณนา ตอนที่ว่าด้วยการอธิบายเกี่ยวกับ
พุทธานุสสติกัมมัฏฐาน แม้ถึงกระนั้น คำฎีกานี้ก็สามารถเป็นสาธกหลักฐานที่จะ
ทำให้เรามีความเชื่อถือเป็นแบบในเรื่องของวิปัสสนาได้

อนึ่ง ในช่วงที่วิปัสสนาญาณทั้งหลายมีอุทยัพพยญาณเป็นต้น เกิดขึ้นนั้น
เนื่องจากรูปนามปรากฏรวดเร็วมากจึงทำให้ไม่สามารถที่จะกำหนดโดยออกชื่อ
ได้ทัน จึงเพียงแต่กำหนดรู้สภาวะการเกิดดับได้เท่านั้น ซึ่งข้อนี้โยคีจะได้ศึกษา
ในปริเฉทที่ ๕ และก็จะได้ประสบกับตัวเองโดยตรงในเวลาปฏิบัติถึงญาณเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น โยคีจึงไม่ควรนั่งนึกตรึกเอาว่า เราจะต้องกำหนดธรรมใด สภาวะใด
แต่จะต้องสำเหนียกว่า ทุกๆครั้งที่มีการเห็น ก็ให้กำหนดรู้ว่า "เห็นหนอๆ" ผู้ที่
กำหนดเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสภาวธรรมปรากฏชัดนั้น ในเบื้องต้นของ
การปฏิบัตินั้น สภาวธรรมที่จะปรากฎแก่โยคีนั้น ก็จะปรากฎโดยลักขณะ
ปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โยคีก็จะรู้ตามทันสภาวธรรมที่
ปรากฏนั้น เพราะฉะนั้นเพื่อให้โยคีสามารถกำทนดรู้ได้อย่างถูกต้อง และให้
สภาวธรรมปราฏได้อย่างถูกต้องในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านจึงได้กล่าวคำนี้ว่า
ลกฺขณรสาทิวเสนปริคฺคเหตพฺพา โยคีพึงกำหนโดยความเป็นลักขณะรสะเป็นต้น
ซึ่งคำอธิบายข้อความนี้ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ตอนว่าด้วยเรื่องของ
การปฏิบัติที่ควรถือเป็นแนวทาง
การหยั่งรู้ลักษณะของสภาวธรรม ทั้งที่ไม่มีสุตะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2024, 13:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้ที่ประจักษ์แจ้งกับสุตะ"สิ่งที่ตนได้เคยเล่าเรียนมา"
ขึ้นชื่อว่าปุถุชนทั้งหลายสามารถที่จะรูประจักษ์แจ้งรูปนามฝ่ายกามาวจรได้
ทั้งนี้เพราะว่า สภาวะเหล่านั้นปรากฏเกิดขึ้นในขันธสันดานของตนโคยตรง และ
เพราะว่าเป็นสภาวธรรมที่ปรากฎในทวารทั้งหก จึงสามารถรู้ได้โดยประจักษ์แจ้ง
แม้ด้วยการเจริญภาวนา แต่สำหรับบุคคลผู้เป็นฌานลาภีหรือผู้ที่ได้ฌานแล้วย่อม
สามารถรูประจักษ์แจ้งมหัคคตธรรมทั้งหลาย ก็ในตอนที่รูประจักษ์แจ้งอย่างนั้น
ย่อมสามารถรู้ตามความเป็นจริง เช่น รู้ว่า ปฐวี จิต ผัสสะ เป็นต้นตามที่คัมภีร์ได้
แนะนำไว้นั้นมีสภาวะเช่นนี้ๆและตามที่เป็นจริงงอาศัยสุตะทีตนได้ยินได้ฟังมา
เช่น ปฐวี จิต ผัสสะ เป็นต้นที่พระธรรมกถึกได้เคยแสดงให้เราฟังนั้น แท้จริงแล้ว
มีสภาวะเช่นนี้ๆนั่นเทียว อุปมาเหมือนกับผู้ที่ไม่เคยรับประทานองุ่น ตอนแรกก็ยัง
ไม่รู้รสชาติองุ่นตามความเป็นจริง แม้จะได้รับข้อมูลจากบุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาแล้ว
ก็ตาม แต่เมื่อใดที่บุคคลนั้นได้รับประทานด้วยตนเองแล้ว ก็จะสามารถรู้รสของ
องุ่นว่ามีรสชาติเช่นไร ตรงกับที่บุคคลอื่นอธิบายไว้เช่นไร อุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น
ก็ในเรื่องนี้ บุคคลคิดว่า "ปุถุชนทั้งหลายไม่สามารถรู้แจ้งเฉพาะโลกุตตรธรรมเท่านั้น
ส่วนโลกิยธรรมทั้งหมดสามารถที่จะรู้แจ้งได้" ความจริงแล้ว ไม่ควรที่จะคิดเช่น
การอุปมาด้วยผลองุ่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้เป็นข้อคิด โดยมิให้เกิดความคิดตามที่กล่าวมา
แล้วนั่นเอง ผู้ที่บอดมาแต่กำเนิดนั้นไม่สามารถที่จะรู้รูปารมณ์ได้ตามความเป็นจริง
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 77 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร