ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สมถะกับวิปัสสนาควบคู่กันไป http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64862 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ก.ย. 2024, 08:14 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | สมถะกับวิปัสสนาควบคู่กันไป | ||
ยุคนัทธนัย สำหรับโยคีผู้ได้ฌานหรือที่เรียกว่าฌานลาภีบุคคลย่อมสามารถที่จะนำเอาฌาน กำหนดพิจารณาเป็นวิปัสสนาหลังจากที่ได้เข้าปฐมฌานแล้ว จากนั้น เมื่อได้ เข้าทุติยฌานแล้วก็จะนำทุติยฌานนั้นมากำหนดวิปัสสนาอีกครั้ง ทำโดยวิธีการนี้ ตามลำดับแห่งฌาน โดยเข้าฌานขั้นหนึ่งแล้วออก จากนั้นก็เข้าวิปัสสนา กันไปมาอย่างนี้ เป็นการเจริญควบคู่กัน ระหว่างสมถะและวิปัสสนาพร้อมๆกันไป จนกระทั่งมรรคเกิดขึ้น ภาวนาที่โยคีผู้นี้เจริญเรียกว่า ยุคนัทธภาวนานัย "หลักการ เจริญภาวนา ที่นำเอาสมถะและวิปัสสนามาเจริญควบคู่กันไป" จะอย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ เนื่องจากว่า เป็นการเอาสมถะและวิปัสสนามาเป็นบาทในครั้งแรก ดังนั้น วิธีการนี้จึงสงเคราะห์ เข้าในสมถปุพพังคมนัย สรุปประเด็นหลัก สำหรับวิปัสสนายานิกบุคคลนั้นไม่ได้ทำให้อุปจารสมาธิและวิธีละวิปัสสมาธิ เกิดขึ้นก่อน แต่มุ่งเจริญวิปัสสนาทันทีทันใด ซึ่งบุคคลเช่นนี้ยอมไม่มีอุปจารสมาธิ ละอัปปนาสมาธิ แต่จะได้วิปัสสนาญาณเกิดเป็นลำดับแรก ครั้นเมื่อวิปัสสนา บริบูรณ์เต็มทีแล้ว สมาธิก็จะเกิดขึ้น ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญ เป็นประเด็น หลักที่ควรจดจำซึ่งได้นำมาจากคัมภีร์อรรถกถาที่ท่านได้แสดงวิธีการเจริญวิปัสสนา แบบวิปัสสนาปุพพังคมนัยไว้ สำหรับอรรถกถาที่ท่านได้แสดงวิธีการเจริญวิปัสสนา ๒ อย่างนี้ ความจริงป็นคำพูดที่ท่านกล่าวตามพระบาลีนั่นเอง เพียงแต่พระอรรถกถาจารย์ท่านได้ เพิ่มเติมบางอย่างเข้ามา เพื่อให้ความายปรากฎชัดเท่านั้น แต่โดยส่วนมากแล้ว ความหมายเท่ากับพระบาลีเป็นหลัก ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ท่านลอกมาจาก พระบาลีก็ได้ เพราะฉะนั้น คำพูดของพระอรถกถาจารย์จึงไม่ควรที่ใครๆจะมีความ สงสัยหรือลังเลว่าตรงกับพระบาลีพุทธพจน์หรือไม่ เกี่ยวกับประเด็นนี้ หากโยคี ทั้งหลายต้องการศึกษารายละเอียดก็จงไปดูในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธกถา และในคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฏิปทารรค ส่วนในวิปัสสนาชุนีนี้
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |