ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สัมปยุตตปัจจัย http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65221 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 26 ธ.ค. 2024, 15:39 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | สัมปยุตตปัจจัย | ||
๑๙. สัมปยุตตปัจจัย ๑. สัมปยุตตะ หมายความว่า การประกอบกันที่พร้อมด้วยลักษณะ ๔ ประการคือ ๑.เอกุปปาทะ เกิดพร้อมกัน ๒. เอกนิโรธะ ดับพร้อมกัน ๓.เอกาลัมพนะ มีอารมณ์เดียวกัน ๔. เอกวัตถุกะ มีที่อาศัยเดียวกัน ธรรมที่ประกอบกันพร้อมด้วย ลักษณะ ๔ ประการที่กล่าวนี้ ก็มีแต่จิตกับเจตสิกเท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีอีกเลย ๒. ประเภท นามเป็นปัจจัย นามเป็นปัจยุบบัน ๓. ชาติ เป็น สหชาตชาติ ๔. กาล เป็นกาลปัจจุบัน ๕. สัตติ มีทั้ง ชนกสัตติ และ อุปถัมภกสัตติ ๖. องค์ธรรมของปัจจัย ได้แก่ นามขันธ์ ๔ คือ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ แล้ว แต่จะยกขันธ์ใด จะเป็นขันธ์เดียว ๒ ขันธ์ หรือ ๓ ขันธ์ก็ตาม เป็นปัจจัยขันธ์นั้นก็ เป็นสัมปยุตดปัจจัย องค์ธรรมของปัจขยุบบัน ได้แก่ นามขันธ์ ๔ คือ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ แล้วเฉพาะขันธ์ที่เหลือ จะเป็น ๓ ขันธ์, ๒ ขันธ์ หรือขันธ์เดียว ตามลำดับนั้น เป็นสันสัมปยุตตปัจจยุบบัน องค์ธรรมของปัจจนิก ได้แก่ รูปทั้งหมด ๗. ความหมายโดยย่อ สัมปยุตตปัจจัยนี้ มี ๓ วาระ (๑) กุสลเป็นปัจจัยแก่กุสล กุสลนามขันธ์ ๔ อันได้แก่กุสลจิต ๒๑ เจตสิก ๓๘ ขันธใดขันธ์หนึ่ง เป็นสัมปบุตตปัจจัย ขันธ์ที่หรือนั้นก็เป็น สัมปยุตตปัจจยุบบัน (๒) อกุสลเป็นปัจจัยแก่อกุสล อกุสลนามชันธ์ ๔ อันได้แก่อกุสลจิต ๑๒ เจตสิก ๒๗ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง เป็นสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ที่เหลือนั้น ก็เป็นสัมปยุตตปัจจยุบบัน (๓) อพยากตะเป็นปัจจัยแก่อพยากตะ วิบากนามขันธ์ ๔ อันได้แก่ วิบากจิต ๓๖, กิริยานามขันธ์ ๔ อันได้แก่ กิริยาจิต ๒๐ เจตสิก ๓๘ ในปวัตติการและในปฏิสนธิ กาลนั้น ขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง เป็นสัมปยุตตปัจจัย ขันธ์ที่เหลือในจิตดวงเดียวกันนั้นก็เป็นสัมป- ยุตตปัจจยุบบัน ๘. ปัจจัยที่เกิดร่วมด้วยกันได้ รวม ๗ ปัจจัย คือ ๑. สัมปยุตตปัจจัย ๒. สหชาตปัจจัย ๓. อัญญมัญญปัจจัย ๔. สหชาตนิสสยปัจจัย ๕. วิปากปัจจัย ๖. สหชาตัตถิปัจจัย ๗. สหชาตอวิคตปัจจัย
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 06 ม.ค. 2025, 12:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมปยุตตปัจจัย |
สำหรับนามธรรมที่เกิดในปัญจโวการภูมิ จะต้องมีลักษณะครบทั้ง ๔ ประการ เพราะจะต้องมีวัตถุรูป ๖ เป็นที่อาศัยให้จิตเจตสิกเกิด แต่ถ้าเกิดในจตุโวการภูมิก็มีลักษณะครบ ๓ ประการ เพราะนาม ในที่นั้นไม่ต้องอาศัยวัตถุรูปเกิด นามธรรมคือ จิตและเจตสิกนี้ เมื่อเกิดขึ้น ประกอบพร้อมกันแล้ว ก็ยังกลมกลืนเข้ากันได้สนิทเหมือนธรรมอันเดียวกัน จนไม่อาจแยกได้ว่าอะไรเป็นอะไร อุปมาเหมือนยาที่ชื่อว่า จตุมธุรส อัน ประกอบด้วยของ ๔ อย่าง คือ น้ำมันเนย น้ำมันงา น้ำผึ้ง น้ำตาลโตนด เมื่อเาสิ่งเหล่านั้นผสมกวนให้เข้ากันแล้ว ผู้บริโภคก็ไม่สามารถจะแยกออก ได้ว่านี้เป็นรสของเนย นี้เป็นรสของน้ำมันงา นี้เป็นของน้ำผึ้ง หรือนี้เป็น รสของน้ำตาลโตนด ทั้งที่ยานี้เป็นรูปรรรม ซึ่งมีสภาพหยาบกว่านามธรม ก็ยังเเยกออกให้รู้ไม่ได้ฉันใด จิตและเจตสิกซึ่งเป็นนามธรรมที่ละเอียด มอง ไม่เห็นจะแยกออกได้อย่างไรว่า นี้เป็นจิต นี้เป็นเจตสิก แต่เพราะอาศัย พระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงรู้ในสิ่งที่รู้ให้ยากยิ่ง จึง สามารถแยกนามธรรมเหล่านี้ออกจากกันได้ แล้วก็ได้นำมาแสดงให้ผู้อื่นได้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 06 ม.ค. 2025, 13:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สัมปยุตตปัจจัย |
รู้ตาม คือบอกลักษณะของจิตและเจตสิกที่มีลักษณะต่าง ๆ กัน ให้รู้ตรง ตามความเป็นจริงทุกประการ แม้ว่าจิตและเจตสิกนั้นจะเกิดพร้อมกัน แต่ พระพุทธองค์ก็สามารถรู้ได้ และแยกนามธรรมต่าง ๆ เหล่านั้นออกจากกัน ได้ เพราะธรรมดาจิตที่เกิดขึ้น จะมีจิตอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีเจตสิกหลาย อย่างเกิดร่วมด้วย นามธรรมที่เกิดพร้อมกันในลักษณะ ๓ หรือ ๔ อย่างนี้ จึงเรียกว่า สัมปยุตตปัจจัย คือนามเป็นปัจจัยแก่นามเท่านั้น และ ามธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกันแล้ว ต่างก็อาศัยซึ่งกันและกันด้วย เพราะ นามขันธ์ มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ต่างก็เป็น ปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกันในขณะที่เกิดพร้อมกัน และต่างก็ทำหน้าที่ของ ตน ๆ ไปในคราวเดียวกัน พร้อม ๆ กันด้วย โดยไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลย การที่เป็นไปได้เช่นนี้ ก็เพราะการช่วยอุดหนุนอุปการะซึ่งกันและกัน โดย ความเป็นสัมปยุตตปัจจัยนั่นเอง จึงได้ชื่อว่าสัมปยุตตปัจจัย ส่วนรูปกับนามถึงแม้ว่าจะเกิดพร้อมกันได้ แต่ก็ไม่ได้ทำกิจร่วมกัน ครบทั้ง ๔ จึงไม่เป็นสัมปยุตตปัจจัย เช่นรูปเกิดพร้อมจิตแต่ก็ไม่ได้ทำกิจ ร่วมกันครบทั้ง ๔ จึงไม่เป็นสัมปยุตตปัจจัย คือเกิดพร้อมจิต แต่ไม่ได้ดับ พร้อมจิต ส่วน รูปกับรูป ถึงแม้ว่าเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันได้ แต่ ก็ไม่ชื่อว่า สัมปยุตตปัจจัย เพราะไม่ประกอบด้วยลักษณะ ๓ หรือ ๔ ประการ ที่กล่าวแล้ว แม้นามธรรมที่เป็นนามขันธ์ ๔ กับนามที่เป็นพระนิพพาน เกิดพร้อม กันได้ แต่ก็ไม่เรียกว่าสัมปยุตตปัจจัย เพราะนามธรรมที่เป็นสัมปยุตตตปัจจัย ได้ ก็เฉพาะแต่นามขันธ์ ๔ คือ จิตกับเจตสิกที่เกิดพร้อมกันเท่านั้น แม้ นามธรรมที่ป็นกุศลกับอัพยากตะก็ไม่ชื่อว่า สัมปยุตกัน เพราะเกิดในจิตคน ละดวงกัน ที่เป็นสัมปยุตตปัจจัยได้จะต้องเป็นนามธรรมที่เกิดในจิตดวงเดียวกัน สัมปยุตตปัจจัย เป็นประเภทนามเป็นปัจจัยแก่นาม เกิดขึ้นพร้อม กันในจิตดวงเดียวกัน จึงเป็นปัจจุบันกาล เป็นประเภทสหชาตชาติ ๒ กิจ คือชนกกิจ และอุปถัมภกกิจ สัมปยุตตปัจจัยจึงมีลักษณะคล้ายสหชาต ปัจจัย และอัญญมัญญปัจจัย เพราะเหตุนี้ อิงอาศัยซึ่งกันและ กันด้วย และมีลักษณะครบทั้ง ๓-๔ ประกอบด้วย |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |