ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

คำว่าเหตุและปัจจัยในปัฏฐาน
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65239
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 31 ธ.ค. 2024, 17:07 ]
หัวข้อกระทู้:  คำว่าเหตุและปัจจัยในปัฏฐาน

คำว่าเหตุและปัจจัยในปัฏฐาน

เหตุ มีความหมายแคบกว่า เพราะหมายเฉพาะเหตุ ๖ ที่ใน
เหตุปัจจัยเท่านั้น มี โลภเหตุ เป็นตัน
ปัจจัย มีความหมายกว้างกว่าเพราะหมายเอาธรรมที่เป็นอุปการะ
เป็นได้ทั้ง ๒๔ ปัจจัย
แต่ถ้ากล่าวโดยทั่วไป คำว่า เหตุ และ ปัจจัย ก็แปลว่าสิ่งที่ทำให้
เกิดผล หรืออุปการะให้ผลเกิดขึ้นนั่นเอง
ความหมายของ เหตุและผล ในปัจจัย ๒๔ นี้ หมายถึงธรรมที่เป็น
ปัจจัยเนื่องกัน หรืออิงอาศัยกันในธรรมอันเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นเหตุ
ธรรมที่เป็นผล และธรรมที่นอกจากผล ดังนั้น เหตุและผลในที่นี้จึงไม่จำเป็น
ต้องได้ผลตรงกันเสมอไป เหมือนเช่นการหว่านข้าวเปลือกเป็นเหตุ ผลก็ต้อง
ได้ข้าวเปลือกเหมือนกัน ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลกันโดยตรง แต่ เหตุและผล ตาม
ปัจจัย ๒๔ นี้ หมายเอาเป็นเหตุเป็นผลเพราะอิงอาศัยกัน หรือ อุปการะกัน
ให้ผลอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่นหว่านข้าวเปลือกเป็นเหตุ ทำให้เกิดต้นข้าวเป็น
ผลก็ได้ หรือ วิบากจิตเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจิตก็ได้ เช่น สัมปฏิจฉนจิต
เป็นปัจจัยให้เกิดสันตีรณจิตก็ได้ โดยอนันตรปัจจัย เป็นต้น แต่ถ้ากล่าวถึง
เหตุผลโดยตรง วิบากซึ่งเป็นผลแล้วจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลอีกไม่ได้

ในการเรียนมหาปัฏฐานนี้ จะต้องเข้าใจสังคหะพอสมควร เพราะ
จะต้องเกี่ยวด้วยจิตตุปบาทแต่ละดวง คือจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นจะต้องรู้ว่ามี
เจตสิกประกอบได้เท่าไร เรียกว่า สังคหะ ที่ต้องรู้สังคหะ เพราะปัจจัย
บางปัจจัยเป็นเหตุเป็นผลกันในจิตดวงเดียวกันก็มี เช่น โลภเหตุ โมหเหตุ
เป็นปัจจัยแก่โลภจิต ๑ เจ ๑๗ ( เว้นเหตุ ๒ ที่เป็นปัจจัยออกไป ) เป็นต้น
และข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง จะต้องเข้าใจวิถีจิตด้วย เพราะการเป็นปัจจัย
ของธรรมย่อมเป็นปัจจัยกันที่วิถีจิต จะต้องเกี่ยวเนื่องด้วยการเกิดขึ้น ตั้ง
อยู่ ดับไป ของนามรูป จึงจะสามารถรู้ว่าปัจจัยนั้นเกิดในกาลไหน เป็นปัจจัย
กันในขณะไหน ในทวารไหน และในวิถีจิตอะไรได้บ้าง เพราะเมื่อยกวิถีจิต
ขึ้นแสดงแล้ว ก็สามารถรู้การเป็นปัจจัยของธรรมนั้นได้ชัดเจนทั้ง ๒๔ ปัจจัย

ไฟล์แนป:
1735614151178.jpg
1735614151178.jpg [ 71.96 KiB | เปิดดู 1046 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 31 ธ.ค. 2024, 18:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: คำว่าเหตุและปัจจัยในปัฏฐาน

ได้กล่าวมาแล้วว่าเรียนมหาปัฏฐานั้น คือการเรียนธรรมในมาติกา
ซึ่งเป็นแม่บทของธรรมทั้งปวง เพราะไม่มีธรรมอะไรที่นอกไปจากธรรมใน
มาติกา เพราะฉะนั้นจึงได้เอาธรรมในมาติกามาแจกให้รู้ว่าเป็นปัจจัยกัน
อย่างไร หรือธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นจากอะไร เช่น กุศลเป็นปัจจัยแก่กุศล
กุศลเป็นปัจจัยแก่อัพยากตะ และกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลและอัพยากตะ
เป็นต้น ด้วยอำนาจเหตุปัจจัย จนครบ ๒๔ ปัจจัย

เหตุนี้การเรียนปัฏฐาน คือการเรียนปัจจัย ๒๔ เพราะปัฏฐาน
แปลว่าผลธรรมที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ คือเกิดจากปัจจัย ๒๔ นี้เอง เพราะ
ธรรมในปัจจัย ๒๔ ได้แก่ สังขารธรรม คือธรรมที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมมีการเกิดดับ เว้นพระนิพพานอันเป็น วิสังชารธรรม คือธรรมที่พ้นจาก
ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีการเกิดดับ เพราะพระนิพพานนั้นอยู่แล้ว พระนิพพาน
ไม่ได้กิดจากเหตุปัจจัย พระนิพพานจึงเป็นผลไม่ได้ แต่พระนิพพานเป็น
ปัจจัยได้ คือเป็นอารัมมณเปัจจัยได้ แม้บัญญัติธรรมก็เป็นธรรมที่พันจาก
ปัจจัยปรุงแต่ง บัญญัติก็เป็นผลไม่ได้ แต่เป็นปัจจัยได้ คือเป็นอารัมมณ
ปัจจัยก็ได้ เป็นอุปนิสสยปัจจัยก็ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมในปัจจัย ๒๔ ย่อม
ได้ทั้งปรมัตถธรรม และบัญญัติธรรม

เหตุที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปัจจัย ๒๔ ก็เพื่อให้เวไนยสัตว์ ได้รู้
ธรรมที่เป็นเหตุและเป็นผลของปรมัตถธรรม โดย แบ่งปรมัตถธรรรมออกเป็น
๓ อย่าง คือ
๑. ธรรมที่เป็นเหตุ เรียกว่า ปัจจัยธรรรม
๒. ธรรมที่เป็นผล เรียกว่า ปัจจยุบบันธรรม
๓. ธรรมที่นอกจากผล หรือธรรมที่เหลือจากผล เรียกว่า ปัจจนิกธรรม
สรุปแล้วการเรียนปัฏฐาน เพื่อให้รู้เหตุ และผลของธรรมที่เป็น
สังขตธรรม และทางที่จะดำเนินไปสู่พระนิพพาน อันเป็นอสังขตธรรม

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/