ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

การละสังโยชน์ตามกำลังอินทรีย์
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65531
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 23 มี.ค. 2025, 10:25 ]
หัวข้อกระทู้:  การละสังโยชน์ตามกำลังอินทรีย์

"ในบรรดาสังโยชน์ ๑๐ เหล่านั้น สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ
สีลัพตปรามาส ย่อมดับไปเมื่อบรรลุอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์(ปัญญาในโสดาปัตติมรรค)
สังโยชน์ ๗ คือ กามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ
อวิชชาที่เหลือ ย่อมดับไปเมื่อบรรลุอัญญินทรีย์ (ปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓)
ญาณที่รู้เห็นอย่างนี้ว่า 'ชาติของเราสิ้นแล้ว' เป็นญาณรู้ความสิ้นไป[ของชาติ)
(ขยญาณ และญาณที่รู้เห็เห็นว่า "ที่กิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เป็นญาณรู้การไม่
เกิดขึ้น(ของปฏิสนธิจิต] (อนุปปาทญาณ) ญาณทั้งสองอย่างนี้เป็นอัญญาตาวินทรีย์ (ปัญญา
ในอรหัตตผล)
ในบรรดาอินทรีย์เหล่านั้น อินทรีย์เหล่านี้ คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ และ
อัญญินทรีย์ ย่อมดับไปเมื่อบุคคลบรรลุอรหัตตผลอันสูงสุด
ในบรรดาญาณเหล่านั้น ญาณทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ ญาณรู้ความสิ้นไป[ของชาติ) (ขย~
ญาณ) และญาณรู้การไม่เกิดขึ้น[ของปฏิสนธิจิต] (อนุปปาทญาณ) เป็นปัญญาอย่างเดียวกัน
[อรหัตตผลญาณ] แต่ชื่อทั้ง ๒ ย่อมปรากฏโดยประเภทแห่งอารมณ์ เพราะเมื่อพระอรหันต์
รู้ว่าชาติของเราสิ้นแล้ว' ญาณดังกล่าวย่อมได้ชื่อว่า ขยญาณ เมื่อท่านรู้ว่า "กิจที่ควรทำ
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี' ย่อมได้ชื่อว่า อนุปปาทญาณ

ไฟล์แนป:
Screenshot_20250209-072831_Google.jpg
Screenshot_20250209-072831_Google.jpg [ 100.63 KiB | เปิดดู 893 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 23 มี.ค. 2025, 10:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การละสังโยชน์ตามกำลังอินทรีย์

ปัญญา(ที่เป็นเครื่องตัดกระแส)นั้นชื่อว่า ปัญญา เพราะมีสภาวะหยั่งเห็น
สติ(ที่เป็นเครื่องกั้นกระแส)นั้นชื่อว่า สติ เพราะมีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย
[เหมือนสมอปักลงดิน] ตามอารมณ์ที่ตนได้พบเห็น"
[อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คือ ปัญญาในโสดาปัตติมรรค ทำหน้าที่ละสังโยชน์ ๓ คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส เมื่อบุคคลบรรลุโสดาปัตติมรรคแล้ว สังโยชน์ ๓ ข้างต้นย่อม
หมดสิ้นไป
อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓ ทำหน้าที่ละลังโยชน์ ๗ คือ กามฉัมทะ พยาบาท
รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ แล้ว สังโยชน์
เหล่านั้นย่อมหมดสิ้นไปตามสมควรแก่มรรคนั้นๆ
อัญญาตาวินหรือ คือ ปัญญาในอรหัตผล ทำหน้าที่รู้เห็นว่าชาติสิ้นแล้วและรู้เห็น
ว่ากิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี กิจดังกล่าวหมายถึง ปริญญากิจ คือ กิจในการรู้ชัดทุกขสัจ
ปหานกิจ คือ กิจในการละสมุทัยสัจ สัจนิกิริยากิจ คือ กิจในการกระทำให้แจ้งนิโรธสัจ และภาวนากิจ
คือ กิจในการเจริญมรรคสัจ
เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ อนัญญาตัญญัติสามิตินทรีย์ย่อมดับไป และเมื่อเขาบรรลุ
อรหัตตผล อัญญินทรีย์ย่อมดับไป ดังนั้น ธรรมที่มีในภูมิ ๓ ที่เกิดขึ้นเสมอแก่บุคคลผู้บรรลุพระนิพพาน
ก็ย่อมดับไปเช่นเดียวกัน เพราะแม้กระทั่งธรรมที่เป็นเหตุให้บรรลุพระนิพพานยังแปรปรวนดับไปสังขต-
ธรรมในภูมิ ๓ ก็ต้องดับไปโดยแท้

ขยญาณ คือ ญานรู้ความสิ้นไปของชาติ และอนุปปากญาณ คือ ญาณรู้การไม่เกิดขึ้นของ
ปฏิสนธิจิต ญาณทั้งสองนี้เป็นชื่อของอรหัตตผลญาณเหมือนกัน แต่เรียกเป็นสองชื่อตามปัจจเวกขณญาณ
ที่รับเอาอารมณ์ต่างกันซึ่งเป็นความสิ้นไปของชาติและการไม่เกิดขึ้นของปฏิสนจิต

คำว่า อปิลาปน (ไม่เลื่อนลอย) ประกอบรูปศัพท์จาก น ศัพท์ + ปฺลุธาตุ (คติยํ = ไป) +
ณาเป การิตปัจจัย + ยุ ปัจจัย
สติมีลักษณะ หน้าที่ อาการปรากฏ และเหตุใกล้ คือ
๑. มีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย (อปิลาปนลกฺขณา) คือ ทำให้จิตหยั่งลงในอารมณ์ที่พบ
เห็นเหมือนสมอปักลงดิน
๒. มีหนักที่ไม่หลงลืม (อสมฺโมสรสา) คือ ทำให้ระลึกได้อยู่เสมอ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 23 มี.ค. 2025, 11:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: การละสังโยชน์ตามกำลังอินทรีย์

๓. มีการรักษาจิตเป็นเครื่องปรากฎ(อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา) คือ รักษาจิตไว้ให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์
๔. มีสัญญาเป็นเหตุใกล้ (สญฺญาปทฎฺฐานา) คือ สติในขณะระลึกถึงความดีมีเหตุใกล้
คือสัญญา ซึ่งเป็นการจำได้หมายรู้ ดังคัมภีร์อรรกถา" กล่าวว่า ถิรสญฺญาปทฏฺฐานา (มีเหตุใกล้คือ
สัญญาที่มั่นคง) แต่สติในขณะปฏิบัติธรรมมีเหตุใกล้คือกองรูปเป็นต้น ดังคัมภีร์อรรถกถา" กล่าวว่า
กายาทิสติปฏฺฐานปทฎฺฐานา (มีเหตุใกล้คือที่ตั้งของสติมีกองรูปเป็นต้น) ดังนั้น วิปัสสนาภาวนาจึงมี
ไม่ได้โดยปราศจากการเจริญสติรับรู้สภาวธรรมเป็นอารมณ์ ดังสารกในคัมภีร์อรรถกถาว่า
ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ, ตสุมา เตปิ
อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกุกนฺตาติ เวทิตพฺพา.""
"อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าภาวนาที่ไม่เนื่องด้วยกาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อม
ไม่มี ดังนั้น พึงทราบว่าแม้ท่านเหล่านั้นล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ด้วยทางสายนี้"
ด้วยเหตุนี้ การใคร่ครวญพิจารถนาด้วยจินตามยปัญญาจึงในใช่การปฏิบัติธรรม ความจริมแล้ว
โยนิโสมนสิการที่กล่าวไว้ในพระสูตรต่างๆ มีความหมายตามศัพท์ว่า "การใส่ใจด้วยปัญญา" บางแห่ง
หมายถึงการพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผล บางแห่งหมายถึงการเจริญสติระลึกรู้สภาวธรรมปัจจุบันโดย
มีปัญญาหยั่งเห็นสภาวลักษณะหรือสามัญลักษณะประกอบร่วมกับสติ (ดู ข้อ [๗] เรื่องภาวนามย-
ปัญญา)]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/