วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 05:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โสตาปัตติยังคะ 4
(องค์คุณเครื่องบรรลุโสดา, องค์ประกอบของการบรรลุโสดา, คุณสมบัติที่ทำให้เป็นพระโสดาบัน - factors of Stream-Entry)

1. สัปปุริสสังเสวะ (เสวนาสัตบุรุษ, คบหาท่านผู้ทรงธรรมทรงปัญญาเป็นกัลยาณมิตร - associateion with good and wise persons)

2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใส่ใจเล่าเรียนฟังอ่านหาความรู้ให้ได้ธรรมที่แท้ - hearing the good teaching)

3. โยนิโสมนสิการ (ทำในใจโดยแยบคาย, รู้จักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี - analytical reflection; wise attention)

4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม, ปฏิบัติธรรมถูกหลัก ให้ธรรมย่อยคล้อยแก่ธรรมใหญ่ สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของธรรมทั้งหลายที่สัมพันธ์กัน, ปฏิบัติธรรมนั้นๆ ให้สอดคล้องพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถุประสงค์กับธรรมข้ออื่นๆ กลมกลืนกันในหลักใหญ่ที่เป็นระบบทั้งหมด, ดำเนินชีวิตถูกต้องตามธรรม - practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma)

โสตาปัตติยังคะ 4 หมวดนี้ ตรงกับหลักที่เรียกว่า ปัญญาวุฒิธรรม 4 หรือวุฒิธรรม 4
ธรรม 4 ประการนี้ มิใช่เพียงเป็นโสตาปัตติยังคะ ที่จะให้บรรลุโสดาปัตติผล คือเป็นพระโสดาบันเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม 4 ประการนี้ เมื่อเจริญ ปฏิบัติ ทำให้มาก ย่อมเป็นไปเพื่อการบรรลุอริยผลได้ทุกขั้นจนถึงอรหัตตผล (สํ.ม. 19/1634-1637/516-517 - S.V.411)
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=193


รู้สึกจะมีกระทู้ชื่อของคุณกรัชกายเอามาแจกแจกไว้ละเอียดมาก ลองค้นๆดูครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยการรู้เห็นที่ทำให้สิ้นอาสวะ

ิภิกษุรูปหนึ่ง ได้เกิดความปริวิตกแห่งในขึ้นว่า เมื่อบุคคลรู้อย่างไร เห็นอย่างไรหนอ อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปโดยลำดับ? พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้น ด้วยพระทัย จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมด้วยการเลือกเฟ้น แสดงสติปัฏฐาน ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงสัมมัปปธาน ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงอิทธิบาท ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงอินทรีย์ ๕ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงพละ ๕ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงโพชฌงค์ ๗ ด้วยการเลือกเฟ้น แสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยการเลือกเฟ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้แสดงธรรม ด้วยการเลือกเฟ้นเช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเราแสดงแล้ว ด้วยการเลือกเฟ้นเช่นนี้ เออก็มีภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ยังเกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นว่า เมื่อบุคคลรู้ได้อย่างไร เห็นอย่างไรหนออาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปโดยลำดับ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้ได้อย่างไร เห็นอย่างไร อาสวะทั้งหลายได้สดับแล้ว จึงสิ้นไปโดยลำดับ?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในอริยธรรม มิได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแล เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย แต่ว่าตามเห็นตนมีรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชา สัมผัสถูกต้องแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อันอาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ย่อมไม่ตามเห็นตนมีรูปแต่ว่าตามเห็นรูปในตน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแลเป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ย่อมไม่ตามเห็นตนมีรูปย่อมไม่ตามเห็นรูปในตน แต่ว่าตามเห็นตนในรูป. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแล เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ย่อมไม่ตามเห็นตนมีรูปย่อมไม่ตามเห็นรูปในตน ย่อมไม่ตามเห็นตนในรูป แต่ว่าตามเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนมีเวทนา ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นเวทนาตนใน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนในเวทนา ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนมีสัญญา ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นสัญญาในตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนในสัญญา ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนมีสังขาร ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นสังขารในตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนในสังขาร ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนมีวิญญาณ ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นวิญญาณในตน ฯลฯ แต่ว่าตามเห็นตนในวิญญาณ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแล เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้สัมผัสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ แต่ว่าเป็นผู้มีทิฏฐิ เช่นนี้ ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืนมั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรม. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิความเห็นว่าเที่ยงเช่นนั้น เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

ปุถุชนย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ เป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา แต่ว่าเป็นผู้มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า เราไม่พึงมี และบริขารของเราไม่พึงมีเราจักไม่มี บริขารของเราจักไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มีทิฏฐิความเห็นว่าขาดสูญเช่นนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ

ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่เห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ เป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา และเป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า เราไม่พึงมี และบริขารของเราไม่พึงมี เราจักไม่มี บริขารของเราจักไม่มี แต่ว่ายังเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรมเช่นนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้อง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 02:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ใครชนะ โลภะ โทสะ โมหะ ได้..คือพระอรหันต์

ขอรายละเอียดมาแสดงด้วยนะครับ อยากรู้จริงๆ

โมหะที่ผมว่ามีนิยามอย่างนี้นะครับ

โมหะ แปลว่า ความหลง ความเขลา ความโง่ หมายถึงความไม่รู้ตามที่เป็นจริง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งได้แก่อวิชชา นั่นเอง โมหะ เกิดจากความคิดเห็นที่ผิด จากการไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ประจักษ์ในเรื่องนั้นๆ ให้ถ่องแท้ถี่ถ้วนก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้ไม่รู้บุญไม่รู้บาป ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ชักนำให้ไปทำความชั่วความไม่ดีต่างๆ เช่น ประมาท ทะเลาะวิวาท แก่งแย่งชิงดี อวดดี เกียจคร้าน บ้ากาม อกตัญญู เชื่อง่าย หูเบา

โมหะ กำจัดได้ด้วยปัญญา คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ ให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์

กลุ่มโมหะ ธรรมฝ่ายชั่วนี้มี 4 อย่าง คือ

โมหะ เป็นความหลง หรือธรรมชาติที่ปิดความจริงของอารมณ์
อหิริกะ เป็นธรรมชาติที่ไม่ละอายในการทำผิดทางกาย วาจา ใจ
อโนตตัปปะ เป็นธรรมชาติที่ไม่กลัวเกรงต่อผลของบาป
อุทธัจจะ เป็นความฟุ้งซ่านหรือธรรมชาติที่จับอารมณ์ไม่มั่น[/color]


ทีคนอื่น..ทำมาเป็นขอรายละเอียด..
ทีตัวเอง..แค่ถามแล้วยังไม่ตอบเลย..โสดาบัน 4 ขั้นมาจากไหน? โสดาบันมีปัญญาชนะโมหะ เอามาจากไหน? ..ยังไม่ได้ขอรายละเอียดนะ..แค่คำตอบของคุณเองแค่นี้..ยังไม่ตอบเลย..

พระท่านก็บอกแล้วว่า..โสดาบันมี 3 ...โสดาบันมีปัญญาเล็กน้อยแค่เห็นจริงว่า..ร่างกายนี้ต้องตายแน่ ๆ ..แค่นั้น..แต่ผมเน้นคำว่า..เห็นจริง..ไม่ใช่..จำได้..2 คำนี้..ท่าน จขกท ว่ามีอาการต่างกันอย่างไร? ( นี้ก็คำถาม)

อ้อเกือบลืม..ที่ท่านขอรายละเอียดมา..

โลภะ โทสะ โมหะ มันก็อยู่พร้อมกันใน สังโยชน์ 10 นั้นแหละคุณ..

ตอนนี้..ทีคุณ..ต้องตอบแล้ว..

โสดาบันมี 4 ขั้น..เอามาจากไหน?
โสดาบันมีปัญญาชนะโมหะ คือความหลง..(หลงในรูป หลงในอรูป) หลงในตน อวดดี ..หลงฟุ้งซ่านอุทธัจจะ... หลงในอวิชชา..ได้เชียวหรือ..นี้มันสังโยชน์เบื้องสูงนะ..

ปล. ไอ้ที่เน้นคำ ก็เอามาจากคำของคุณเอง นะ.. อย่าบอกนะว่า..โมหะที่คุณว่าไม่ใช่นิยามอย่างนี้..

และอย่าบอกนะว่า..ตั้งใจพิมพ์ โสดาบันมี 3 แต่พิมพ์ผิด..จะพิมพ์ 3 กดผลาดเป็น 4 นะ..ถ้าพิมพ์ผิด..จะต้องอ๋ะใจ..แก้ไขแต่แรกแล้ว..

คุณต้ององอาจ..ในคำของตัวเอง..ทั้งที่ว่า..โสดาบันมี 4 ขั้น และ โสดาบันมีปัญญาชนะโมหะ..และอื่น ๆ ด้วย..

รับได้ทั้งผิดและรับทั้งชอบ..นี้เรียกว่าองอาจ..ควรกับผู้ใฝ่ธรรม

หากเรื่องตัวเองไม่ชี้แจง..แต่ชอบให้คนอื่นแจงรายะเอียด..จะไม่เป็นโมฆะบุรุษ..ไปดอกหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า เอาชนะหรือย่ำยีได้ กับขุดรากถอนโคน ไม่ได้เหมือนกันนะครับ ปัญญาเจตสิก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อโมหะเจตสิก เมื่อเกิดขึ้นทันโมหะเจตสิก ก็ถือว่าชนะ ในระดับโสดาบันขั้นต้น โมหะยังจะเกิดขึ้นได้บ้าง แต่ในขั้นสูง โมหะเจตสิกก็แทบจะไม่มีโอกาศเกิด หรือดับไปเลย ส่วนเจตสิกกลุ่มเดียวกันอีก ๓ ตัวก็จะอ่อนกำลังลง ตัวอุทธัจจะ ไม่ดับสนิท แต่ก็จะลดกำลังลงมาก

ในระดับโสดาบัน เราสร้างปัญญาเจตสิก มารบกับ โมหะเจตสิก งานเราก็มีเท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 20:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยความหมายของอวิชชา

พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉนหนอแล? และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่รู้ชัดซึ่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งความดับแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป ไม่รู้ชัดซึ่งเวทนา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสัญญา ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งสังขาร ฯลฯ ไม่รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งความดับวิญญาณ ไม่รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับวิญญาณ. ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.

ว่าด้วยความหมายของวิชชา

พระนครสาวัตถี. ภิกษุรูปนั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล? และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุอริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในโลกนี้ รู้ชัดซึ่งรูป รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดแห่งรูป รู้ชัดซึ่งความดับแห่งรูป รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งรูป รู้ชัดซึ่งเวทนา ฯลฯ รู้ชัดซึ่งสัญญา ฯลฯ รู้ชัดซึ่งสังขาร ฯลฯ รู้ชัดซึ่งวิญญาณ รู้ชัดซึ่งเหตุเกิดวิญญาณ รู้ชัดซึ่งความดับวิญญาณ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับวิญญาณ. ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.

อวิชชา แบ่งได้ ๘ ข้อ
๑. ความไม่รู้ใน "ทุกข์"
๒. ความไม่รู้ใน "สมุทัย"
๓. ความไม่รู้ใน "นิโรธ"
๔. ความไม่รู้ใน "มรรค"
๕. ความไม่รู้ใน "ความไม่รู้อดีต" ถึงการ ย้อนระลึกขันธ์ ๕ หรืออุปาทานขันธ์ ๕ ที่เคยเกิดเคยเป็น
๖. ความไม่รู้ใน "ความไม่รู้อนาคต" คือไม่รู้ไม่เข้าใจในการอุบัติ(เกิด) การจุติ(ดับ) ของขันธ์ทั้ง ๕
๗. ความไม่รู้ในทั้ง "อดีตและอนาคต" จึงไม่เกิดการยอมรับและเข้าใจในเหตุปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง
๘. ความไม่รู้ใน "ปฏิจจสมุปบาท"

อวิชชาที่ท่านเขียนไว้ข้อสุดท้าย เพราะอธิบายได้ยากที่สุด อันที่จริงเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ต้องศึกษาก่อน เป็นข้อสรุปและเป็นเหตุที่จะทำให้ละสังโยชน์ทั้ง ๙ ข้อได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
อนึ่งพระโสดาบัน ทุกชนิด ก็เหมือนประชาชนคนธรรมดาทั่วไปนี้แหละ แต่สามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ ขจัดอาสวะก็คือ ขจัดคลื่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากร่างกาย เปล่งเป็นแสงสีต่างกัน มี 6 ชนิดแสงสี แต่รูปแบบแห่งแสงสีเหล่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ขจัดคลื่นความคิด ณ. ศีรษะ ก็จะเปล่งแสงให้เห็นได้ด้วยตาเปล่ารอบศีรษะ เป็นแสงคล้ายดวงอารทิตย์หรือดวงจันทร์บ้าง เป็นแสงแฉกๆบ้าง เคลื่อนที่บ้าง ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงบอกว่า การปฏิบัติให้ถึงธรรมชั้น โสดาบัน เป็นเรื่องยาก สำหรับปุถุชนที่สมองสติปัญญาน้อยนิด แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะสามารถรู้ได้ว่า บุคคลปุถุชนนั้นๆ สามารถปฏิบัตธรรมได้ถึงชั้นโสดาบัน เพราะถึงจะมีสมองสติปัญญาอันน้อยนิด แต่ถ้ามีความเพียร ก็ย่อมปฏิบัติได้ และเมื่อบรรลุธรรมเพียงแค่ รู้จักมรรคผล อันเป็นธรรมชั้นโสดาบันบื้องต้น บุคคลนั้นๆ ก็ย่อมสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้เป็นบางเรื่อง บางอย่าง และขณะขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งแสงรัศมี หรือ ฉัพพรรณรังสี สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับ ความหนาแน่นของคลื่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง

Supareak Mulpong เขียน:
ออร่า :b10: :b14: :b5: :b23:

ยอมรับว่าไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ แล้วเห็นออร่าด้วยตาเปล่าได้ด้วย ...


จริง ๆ เคยจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้...
เพราะเคยเจอประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้...แต่ไม่เข้าใจ...
รบกวนคุณ Buddha ช่วยขยายความได้รึเปล่าคะ...
การปฏิบัติธรรม กับ รังสีที่ออกจากตัว มันสัมพันธ์กันอย่างไร...
คือพอดีเคยเห็นภาพถ่าย ออร่า ที่เขาเอามาปิดโชว์น่ะค่ะ
และเขาก็อธิบายภาพต่าง ๆ นานา มีการเอาภาพวัตถุมงคลมาถ่ายด้วย...

:b10: :b10: :b10:

ก็ดูแปลก ๆ น่ะค่ะ และไม่เข้าใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
Buddha เขียน:
อนึ่งพระโสดาบัน ทุกชนิด ก็เหมือนประชาชนคนธรรมดาทั่วไปนี้แหละ แต่สามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้ ขจัดอาสวะก็คือ ขจัดคลื่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากร่างกาย เปล่งเป็นแสงสีต่างกัน มี 6 ชนิดแสงสี แต่รูปแบบแห่งแสงสีเหล่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ขจัดคลื่นความคิด ณ. ศีรษะ ก็จะเปล่งแสงให้เห็นได้ด้วยตาเปล่ารอบศีรษะ เป็นแสงคล้ายดวงอารทิตย์หรือดวงจันทร์บ้าง เป็นแสงแฉกๆบ้าง เคลื่อนที่บ้าง ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงบอกว่า การปฏิบัติให้ถึงธรรมชั้น โสดาบัน เป็นเรื่องยาก สำหรับปุถุชนที่สมองสติปัญญาน้อยนิด แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะสามารถรู้ได้ว่า บุคคลปุถุชนนั้นๆ สามารถปฏิบัตธรรมได้ถึงชั้นโสดาบัน เพราะถึงจะมีสมองสติปัญญาอันน้อยนิด แต่ถ้ามีความเพียร ก็ย่อมปฏิบัติได้ และเมื่อบรรลุธรรมเพียงแค่ รู้จักมรรคผล อันเป็นธรรมชั้นโสดาบันบื้องต้น บุคคลนั้นๆ ก็ย่อมสามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลสได้เป็นบางเรื่อง บางอย่าง และขณะขจัดอาสวะแห่งกิเลส ก็จะเปล่งแสงรัศมี หรือ ฉัพพรรณรังสี สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับ ความหนาแน่นของคลื่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง

Supareak Mulpong เขียน:
ออร่า :b10: :b14: :b5: :b23:

ยอมรับว่าไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ แล้วเห็นออร่าด้วยตาเปล่าได้ด้วย ...


จริง ๆ เคยจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้...
เพราะเคยเจอประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้...แต่ไม่เข้าใจ...
รบกวนคุณ Buddha ช่วยขยายความได้รึเปล่าคะ...
การปฏิบัติธรรม กับ รังสีที่ออกจากตัว มันสัมพันธ์กันอย่างไร...
คือพอดีเคยเห็นภาพถ่าย ออร่า ที่เขาเอามาปิดโชว์น่ะค่ะ
และเขาก็อธิบายภาพต่าง ๆ นานา มีการเอาภาพวัตถุมงคลมาถ่ายด้วย...
:b10: :b10: :b10:

ก็ดูแปลก ๆ น่ะค่ะ และไม่เข้าใจ



ตอบ......
ฉัพพรรณรังสี ไม่ใช่ ออร่า ที่พวกชาติยุโรป เอามาสร้างกระแส
ออร่า ไม่ใช่ฉัพพรรณรังสี เพราะ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้เครื่องมือช่วยมนการมองเห็น

ออร่า ที่พวกเขาอ้างถึงนั้น แท้จริง ก็คือ คลื่นไฟฟ้าภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่ง มีอยู่เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว กล่าวคือ การทำงานตามระบบร่างกายของมนุษย์ อาศัย คลื่นไฟฟ้าจากหัวใจ และสมอง เป็นตัวนำ เป็นเครื่องมือ หรือเป็นปัจจัยในการทำงาน ในทุกระบบของร่างกาย เป็คลื่นไฟฟ้าตามปกติของร่างกายมนุษย์

ฉัพพรรณรังสี หากมีสภาพสภาวะอยู่ในร่างกาย ก็อยู่นอกเหนือ คลื่นไฟฟ้าปกติของร่างกาย เพราะะถูกสร้างขึ้น เหรือเกิดขึ้น เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายะตนะ ภายในและภายนอก เมื่อคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นใหม่ที่ได้กล่าวไปนั้น ถูกขับออกมา ตามหลักวิธีการปฏิบัติทางศาสนา ก็จะปรากฎให้เห็น ภายนอกร่างกาย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดังนั้น ออร่า กับ ฉัพพพรรณรังสี จึง เป็นคนละอย่างกัน

:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเป็นว่าเป็นรัศมีที่เปล่งออกมาจากกายที่บริสุทธิ์ แล้วก็มองได้ด้วยตาเปล่า แล้วถ่ายรูปติดด้วยหรือเปล่า?

แล้วที่ว่าปฏิบัติได้ยากนั้นมันเป็นมาอย่างไรละครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 00:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b53: :b53:
Supareak Mulpong เขียน:
ถามกันบ่อยสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมว่า รู้ได้อย่างไรว่าถึงโสดาบันแล้ว????

ในระดับโสดาบันนั้น แบ่งออกเป็น 4 ขั้นด้วยกัน ในขั้นแรก โสดาบันบุคคลขั้นนี้มีความแตกต่างจากคนธรรมเพียงเล็กน้อย สังเกตได้ยาก อาการอันเกิดจากปัญญาชนะโมหะได้

กระจากแก้วขุ่นมัวปิดบังเราจากภาพที่เป็นจริงเราย่อมเห็นภาพไม่ชัดเจนฉันใด เสมือนโมหะปิดบังเราจากความจริง เมื่อกระจกถูกขัดให้ใสขึ้น คืออาสาวะกิเลสทั้งหลายได้ลดลงด้วยปัญญาที่เกิด ภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน รสที่สัมผัส กายที่สัมผัส ใจที่นึกคิด ก็จะพบกับความจริง หรือความชัดเจนฉันนั้น ...




Supareak Mulpong เขียน:
มรรคจิตและผลจิต ของโสดาบันมีทั้งหมด ๕ คู่ (ฌาน ๑-๕) เป็นกุศลจิต ๔ คู่ อุเบกขาจิต ๑ คู่ แต่นับกันแค่ ๔ ระดับ ขึ้นอยู่กับกำลังของปัญญาเจิตสิกที่เกิด หรือที่เรียกว่าปัญญาอินทรีย์

ส่วนโสดาบันแบ่งเป็น ๓ ประเภท แบ่งแบบง่ายๆ เพื่อให้อธิบายเข้าใจได้ อย่างฌาน ๒ กับ ฌาน ๓ มันคล้ายกันมาก แยกไม่ออก ก็เอามารวมๆ กันได้

คำว่า เอาชนะหรือย่ำยีได้ กับขุดรากถอนโคน ไม่ได้เหมือนกันนะครับ


:b32: :b32: :b32: :b32:
:b41: :b45: :b46: :b47: :b43: :b49: :b55: :b53: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 01:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Buddha ยังไม่เห็นบอกเลยครับว่าปฏิบัติธรรมกันแถวใหน แล้วปฏิบัติกันอย่างไร แล้วแสงที่เห็นนี่เห็นด้วยตนเองหรือเปล่า?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 01:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขั้นรายการ คุณ Buddha
:b41: :b45: :b37: :b38: :b53: :b53: :b48: :b48: :b45:
:b43: :b43: :b39: :b39: :b30: :b30: :b46: :b48: :b49:
:b44: :b42: :b43: :b40: :b50: :b45: :b46: :b46: :b45:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2009, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วกายเป็นอสรพิษ..ด้วยหรือ..อย่างนั้น..คนที่กายเสีย.คือคนตายแล้ว..จะไม่เข้าถึงธรรมเร็วกว่า..คนเป็น..ดอกหรือ..ถ้าไม่ใช่..แล้วอะไรที่เป็นอสรพิษที่แท้จริงละ..ติกต๋อก..ๆ ..ช่วยวิเคาระห์ต่อด้วย..ท่าน จขกท.


(มารกล่าวว่า) ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 03:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
แล้วกายเป็นอสรพิษ..ด้วยหรือ..อย่างนั้น..คนที่กายเสีย.คือคนตายแล้ว..จะไม่เข้าถึงธรรมเร็วกว่า..คนเป็น..ดอกหรือ..ถ้าไม่ใช่..แล้วอะไรที่เป็นอสรพิษที่แท้จริงละ..ติกต๋อก..ๆ ..ช่วยวิเคาระห์ต่อด้วย..ท่าน จขกท.


(มารกล่าวว่า) ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแก่จักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ โสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ จมูกเป็นของเรา กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ก็เป็นของเรา ท่านจะ หนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็นของเรา อายตนะคือ วิญญาณอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่กาย สัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ใจเป็นของเรา ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ฯ


อสรพิษที่แท้จริง..คือใจที่คิดว่า..ขันธ์5 เป็นเรา..เป็นของเรา..ต่างหาก

เพราะแม้ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง..(อยู่ภายใต้อำนาจมาร..อย่างที่ท่าน จขกท. ว่า) แต่ใจตัวโง่นี้..ยังไปยึด (อุปาทาน) ในขันธ์ สร้างภพ สร้างชาติ สร้างขันธ์ ต่อไปไม่รู้จบ..

หากใจนี้..ไม่ไปยึด(อุปาทาน) ในขันธ์ ภพไม่เกิด..ชาติไม่เกิด..ขันธ์ (ของมาร) ก็ไม่เกิดแก่เรา..

ขันธ์..มันเป็นผล..ไม่ใช่เหตุ..ไม่ใช่อสรพิษ..ที่แท้จริงหรอกนะท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ยินดีที่ได้เสวนาด้วยครับคุณกบนอกกะลา โลกที่เราอยู่ทุกวันนี้เป็นโลกของมาร แม้กายเรานี้แท้จริงแล้วก็เป็นเครื่องมือของมาร เสมือนเบ็ดที่เกี่ยวเราไว้ไม่ให้พ้นอณาจักรของมาร ตามที่พระพุทธองค์ได้อุปมาไว้ เมื่อใจไปเกี่ยวติด ก็คือหลงกลมาร

ตีความอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าใหร่หรอก ขอเพียงให้ตระหนักว่า สึ่งเหล่านี่ไม่ใช่เรา ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของเรา หากสามารถทำตลอดทุกลมหายใจได้ ผู้นั้นก็สามารถสลัดตัวเองหลุดจากบ่วงของมารได้ในระยะเวลาอันสั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ตีความอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าใหร่หรอก ขอเพียงให้ตระหนักว่า สึ่งเหล่านี่ไม่ใช่เรา ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของเรา หากสามารถทำตลอดทุกลมหายใจได้ ผู้นั้นก็สามารถสลัดตัวเองหลุดจากบ่วงของมารได้ในระยะเวลาอันสั้น


รู้สึกดีที่ได้เข้ามาอ่านการสนทนาธรรมระหว่างท่านทั้งสองครับ...

ผมเป็นคนรู้น้อยครับ...การใช้ภาษาทางธรรมเป็นปัญหากับผมมาก...
จึงไม่ถนัดเลยสักนิด...ที่จะกล่าวอะไรอันเป็นเรื่องวิชาการ...
จึงเป็นผู้ที่คอยติดตามอ่านซะมากกว่า...

ขออนุโมทนาสาธุด้วยกับท่านทั้งสองครับ...
:b8: :b8: :b8:

:b16: :b16: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร