วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 10:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 10:36
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หน้าตาพวกเทวดา อินทร์ พรหม เป็นไงหนอ... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แล้วคนที่รู้สึกยังงี้ เป็นงี้จะทำยังไง...
เลิกนั่งสมาธิ เลิกสวดมนต์ ก็หายแล้ว สวดมนต์ไม่รู้คำแปล ก็ได้แต่สมาธิ ไม่มีปัญญาประกอบทั้งคู่

ศาสนาในโลก แบ่งเป็นสองฝ่าย คือ พวกหนึ่งอ้อนวอน อีกพวกหนึ่งไม่อ้อนวอน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องทำเอาเอง ไม่มีการอ้อนวอน ลองหาคำแปลบทสวดมาดู หากเป็นการอ้อนวอน ไม่ใช่พุทธ

การอ้อนวอนนั้น ถ้าได้ตามที่ขอจริง ไม่มีอะไรเหลือถึงรุ่นเราหรอก รุ่นที่เกิดก่อนเอาไปหมดแล้ว

กรัชกาย เขียน:
แล้วที่สอนคนพอมีบ้างไหมขอรับ หากมีนำมาบ้างดิว่าสอนว่ายังไง
ก็เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เป็นส่วนมาก ๔๕ ปีที่สอนคน สอนเทวดา ฯ มันเยอะมาก คนก็มีพื้นฐานไม่เหมือนกัน การเริ่มสอนก็ไม่เหมือนกัน แต่จบที่เดียวกัน คือ มีดวงตาเห็นธรรม

คนดีที่โลกลืม เขียน:
เทวดา อินทร์ พรหม เปรต ผีนรก ฯลฯ ภพภูมิอื่นๆทั้งหมด ล้วนอยู่ในจิตใต้สำนึกเราทั้งนั้น ... ภวังค์ คือ องค์แห่งภพ = ประตูลับเปิดเข้าสู่ภพ 3 ภูมิ 31-33 ภูมิ
ฮินดี้+ซิกมันฟร์อย+ฝันเอา :b7:

กรัชกาย เขียน:
ถามเลยทั้งสองคนเลยนะครับ พรหมมีกี่ชั้น แล้วเค้าเป็นอยู่กันยังไงอ่ะน่ะ
ถนัดนะท่านเรื่องจะพาออกนอกประเด็นเนี๊ย :b4:

hobbit เขียน:
หน้าตาพวกเทวดา อินทร์ พรหม เป็นไงหนอ...
ก็ลองเอาพวกที่บอกว่าเห็นเทวดา ฯ ไปหัดวาดรูป แล้ววาดออกมาให้พวกเราดูกันสิ :b13:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็ลองเอาพวกที่บอกว่าเห็นเทวดา ฯ ไปหัดวาดรูป แล้ววาดออกมาให้พวกเราดูกันสิ


แล้วที่พูดมาสะยึดยาว เคยเห็นเทวดา อินทร์ พรหม มาแล้วบ้างไหมเนี่ย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เป็นส่วนมาก ๔๕ ปีที่สอนคน สอนเทวดา ฯ มันเยอะมาก คนก็มีพื้นฐานไม่เหมือนกัน การเริ่มสอนก็ไม่เหมือนกัน แต่จบที่เดียวกัน คือ มีดวงตาเห็นธรรม


ยกที่พระพุทธเจ้าสอนคนมานักหน่อยสิขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เรื่องยสกุลบุตร
[๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ในพระนครพาราณสี มีกุลบุตร ชื่อ ยส เป็นบุตรเศรษฐีสุขุมาลชาติ. ยสกุลบุตรนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือ หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูหนาว หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน. ยสกุลบุตรนั้นรับบำเรอด้วยพวกดนตรี ไม่มีบุรุษเจือปน ในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน ไม่ลงมาเบื้องล่างปราสาท. ค่ำวันหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรอิ่มเอิบพร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ ได้นอนหลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภายหลัง. ประทีปน้ำมันตามสว่างอยู่ตลอดคืน. คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นก่อน ได้เห็นบริวารชนของตนกำลังนอนหลับ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอบางนางมีเปิงมางตกอยู่ที่อก บางนางสยายผม บางนางมีน้ำลายไหล บางนางบ่นละเมอต่างๆปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจป่าช้าผีดิบ. ครั้นแล้วความเห็นเป็นโทษได้ปรากฏแก่ยสกุลบุตร จิตตั้งอยู่ในความเบื่อหน่าย จึงยสกุลบุตรเปล่งอุทานว่า ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอแล้วสวมรองเท้าทองเดินตรงไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆอย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตรเลย. ลำดับนั้น ยสกุลบุตรเดินตรงไปทางประตูพระนคร. พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทำอันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตร. ทีนั้น ยสกุลบุตรได้เดินตรงไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.

[๒๖] ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคตื่นบรรทมแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้. ขณะนั้น ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ. ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูกรยส ที่นี่ไม่วุ่นวายที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยส นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ. ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่าได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ดังนี้ แล้วถอดรองเท้าทองเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้วพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.


ในพระไตรปิฎกจริงๆ มีบันทึกเรื่องสอนคนธรรมดาไว้น้อยมาก ส่วนมากสอนอริยบุคคล แต่ถ้ารวมพวกเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ พ่อค้าคหบดี ที่ยังไม่บรรลุธรรมเป็นคนธรรมดาด้วย ก็พอจะมีให้ตามศึกษา แต่พวกนี้เรื่องมาก ขี้สงสัย มีแต่คำถามมาถาม พระพุทธองค์ต้องยกตัวอย่างยาวยืด ม้วนเดียวไม่จบ เรื่องพระยสะนี่สั้นที่สุดแล้ว

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปเกิดอ่านพระไตรปิฏก จำไม่ค่อยได้แล้วว่ากระจายอยู่ในเล่มใหนตอนใหนบ้าง ส่วนมากจะอยู่ท้ายๆ เล่ม หรือท้ายๆ วรรค เป็นสูตรเล็กๆ หลายๆ สูตร ถ้าเอามารวมกัน ก็ยาวอยู่ เพราะสูตรหนึ่งก็สอนเรื่องหนึ่ง บางสูตรจะสอนโดยพระเถระ ตั้งแต่พระสูตรเล่ม ๗ ถึงเล่ม ๑๖ นี่แหละ (ประเภทม้วนเดียวจบไม่น่าจะมี)

จริงๆ คนธรรมดาบุญน้อย โอกาสจะมีดวงตาเห็นธรรมนั้นยากกว่าพวกเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ พ่อค้าคหะบดี การปฏิบัติธรรม จะเกิดดวงตาเห็นธรรม ต้องมีบุญเป็นบาทเป็นฐาน (รถเบนส์ก็เบนส์เถอะ ไม่มีน้ำมัน ก็จอดตายเป็นเศษเหล็ก) เอาแค่เรื่องการทำบุญทำทาน ก็พอแล้ว พระพุทธองค์ถึงกำหนดให้ชาวบ้านทำบุญกริยาวัตถุ ๓ ประการ เพื่อวางรากฐานต่อไปว่า คนเหล่านี้จะได้มีบุญพอที่จะบรรลุธรรมได้

สูตรสำเร็จการสอนธรรมของพระพุทธองค์ ก็คือ พระพุทธองค์จะรู้ก่อนด้วยพระโพธิญานว่าผู้ใดจะสามารถบรรลุธรรมได้บ้าง ถ้าไม่ ก็ไม่สอนให้เสียเวลา มีอะไรมาถามก็ตอบไปเท่านั้น

ทรงแสดงอนุบุปพิกถา เพื่อให้รู้ว่าเกิดมาทำไมก่อน เมื่อผู้นั้นเข้าใจเรื่องจุดมุ่งหมายการเกิดมาที่แท้จริง มีแววว่าจะบรรลุธรรมแน่นอน ก็จะแสดงอริยสัจจสี่ต่อ ถ้าฟังแล้วยังมืดตื้อ ก็หยุดเพียงเท่านั้น ต่อมาก็จะชักชวนให้บวช และสอนวิธีวิปัสสนา

ถ้าเป็นหลักสูตรของพระ ตั้งแต่สมมุติสงฆ์ ถึงพระอรหันต์ ก็ไปดูได้ที่มูลปริยายวรรค หรือพระสูตรกลางทั้งหมด เนื้อหาสาระโดยสรุป อยู่ใน ๑๐ สูตรแรก นอกนั้นเป็นการขยายความและกรณีศึกษา แต่สำหรับฆารวาส ก็ดูเฉพาะเรื่องการพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ (พระสูตรเล่ม ๗ ถึง ๑๑)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 26 ก.พ. 2010, 23:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ฝากลิงค์ อริยสัจจ์ไว้ด้วย
ด้วยความเคารพนะท่าน ท่านจะเอาอริยสัจจ์สี่ไปปฏิบัติไม่ได้หรอก ผิดหลักเหตุปัจจัย ที่ท่านอธิบายมานั้นถูกหมด เพียงแต่มันเป็นผล

อริยสัจจ์สี่เป็นผลการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เราต้องเจริญที่เหตุของการตรัสรู้ พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้เพราะอาศัยวิปัสสนา การเดินตามมรรค ท่านต้องมีสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะก่อน ตามหลักของเหตุปัจจัย สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ หรือ สัมมาทิฏฐิที่นับเนื่องเป็นองค์มรรคเกิดขึ้นเองไม่ได้ ฝากไปให้คิดต่อนะท่าน :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 26 ก.พ. 2010, 23:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
aswakos เขียน:
"ตายแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิไหนต่อไป ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่จิตหน่วงเหนี่ยวในขณะจะตาย"
aswakos เขียน:
แปลง่าย ๆ ทุกภูมิ เวลาเคลื่อนหรือตาย ไปเกิดได้ทุกภูมิ
มนุษย์ตายจากความเป็นมนุษย์จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกหรือไม่ เทวดาหรือพรหม จุตติแล้วจะเกิดไปภพภูมิเดิมหรือที่สูงกว่าได้หรือไม่ (กรณียังไม่ได้สำเร็จเป็นอริยะบุคคล)

ถามต่อ พอจุตติแล้วจากภพนี้ มาภพนั้น จุตติจากภพนั้นแล้วจะไปภพใหนต่อ?

บุญมันก็มีเท่านี้ บาปมันก็มีเท่านี้ มาทำกันได้มากๆ ก็ตอนยังเป็นคน บุญเยอะ สู่สุคติภูมิ บาปเยอะ ลงอบายภูมิ เป็นโอปะปาติกะ จะได้ไปทำบุญตอนใหน? เมื่ออยู่เทวโลกจนบุญหมด ก็ต้องจุตติจากภพนั้น แล้วจาปายหนายยยยยยยยยย ... ?


ก็คิดอยู่ ที่ตอบตอนกลางวัน รีบตอบลวก ๆ คลุมเครือ ทีนี้ ว่าให้ชัด เรื่องภูมิจะได้จบ ๆ
ตอบไม่หมด ก็ไม่สบายใจอยู่ กลัวผู้รู้ตำหนิเอา


ก่อนอื่น ดูอธิบายง่าย ๆ ปูพื้นสำหรับบางท่านนะครับ ที่รู้แล้ว ขออภัย

ภูมิ มี ๓๑ คือ

อบายภูมินี้มี ๔ ( ๑. นิรยภูมิ ๒. ดิรัจฉานภูมิ ๓. เปรตภูมิ ๔. อสุรกายภูมิ)
กามสุคติภูมิ มี ๗ ภูมิ คือ มนุษย์ ๑ ภูมิ
เทวดา ๖ ภูมิ จาตุมมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี )

รูปาวจรภูมิถึง ๑๖ ภูมิ ตรงนี้ ขอละเอียดนิดนึงนะครับ

- ปฐมฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ แบ่งตามผลของความประณีตของฌาน ธรรมดา ประณีตมาก และ มากที่สุด
๑. ปาริสัชชาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมบริษัท คือ พรหมสามัญธรรมดา ไม่มี คุณวุฒิ หรืออำนาจอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงบริวารของมหาพรหมเท่านั้น
๒. ปุโรหิตาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมปุโรหิต คือพรหมที่เป็นที่ปรึกษาของ มหาพรหม
๓. มหาพรหมมาภูมิ เป็นที่อยู่ของพรหมที่มีความยิ่งใหญ่ในปฐมฌานภูมิ คือ พรหมที่เป็นชั้นหัวหน้า

- ทุติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ
๔. ปริตตาภาภูมิ เป็นพรหมบริษัทในชั้นที่ ๒ นี้
๕. อัปปมาณาภาภูมิ เป็นพรหมปุโรหิตในชั้นที่ ๒ นี้
๖. อาภัสสราภูมิ เป็นท้าวมหาพรหมในชั้นที่ ๒ นี้

- ตติยฌานภูมิ มี ๓ ภูมิ
๗. ปริตตสุภาภูมิ เป็นพรหมบริษัทในชั้นที่ ๓ นี้
๘. อัปปมาณสุภาภูมิ เป็นพรหมปุโรหิตในชั้นที่ ๓ นี้
๙. สุภกิณหา หรือสุภากิณณาภูมิ เป็นมหาพรหมในชั้นที่ ๓ นี้

- จตุตถฌานภูมิ มี ๗ ภูมิ
๑๐. เวหัปผลาภูมิ
๑๑. อสัญญสัตตภูมิ เป็นที่อยู่ ของพรหมที่เจริญสัญญาวิราคะ ภาวนา (ภาวนาไม่ให้มีนามขันธ์ หรือ พรหมลูกฟัก พรหมชั้นนี้มีแต่รูป ไม่มีนาม )
สุทธาวาส ๕ จะมีเฉพาะพระอนาคามีและพระอรหันต์ที่บรรลุจตุตถฌาน เท่านั้น
๑๒. อวิหาภูมิ
๑๓. อตัปปาภูมิ
๑๔. สุทัสสาภูมิ
๑๕. สุทัสสีภูมิ
๑๖. อกนิฏฐาภูมิ (ทุสสเจดีย์ เจดีย์บรรจุผ้าที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเปลื้อง อยู่ชั้นนี้)

อรูปภูมิ ๔
๑. อากาสานัญจายตนภูมิ
๒. วิญญาณัญจายตนภูมิ
๓. อากิญจัญญายตนภูมิ
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

(อรูปภูมิทั้ง ๔ นี้ ถึงแม้จะเรียกว่า ภูมิ แต่ก็ไม่มีรูปร่างสัณฐานวิมานพื้นที่ อย่างใดเลย มีแต่อากาศอันว่างเปล่า แม้แต่อรูปพรหมเอง ก็มีแต่นามอย่างเดียว ไม่มีรูปร่างสัณฐานอย่างใดเช่นกัน ดังนั้น วิมาน สวน สระ ต้นไม้ หรือสิ่งที่เป็นรูป ทั้งหลาย จึงไม่มีในอรูปภูมินี้เลย)

พอแค่นี้ก่อนนะ เกริ่น ๆ ปูทางไว้ก่อน เดี๋ยว หน้ามืด แค่นี้ก็คงไม่มีคนอ่านแล้ว
บอร์ด ต่อไป จะบอกว่า ตายจากภูมิไหน จะไปภูมิไหนได้มั่ง ภูมิไหน ไม่ได้


แก้ไขล่าสุดโดย aswakos เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 01:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 01:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ค่อนข้างหลักวิชา ขออภัยนะครับ คืออยากตอบให้จบจะได้สบายใจ

ทีนี้ ต่อไป จะบอกว่า ตายจากภูมิไหน จะไปภูมิไหนได้มั่ง ภูมิไหน ไม่ได้

ขออนุญาตว่าบาลี ทำท่าเป็นผู้รู้ นิดนึง

ปุถุชฺชนา น ลพฺภนฺติ สุทธาวาเสสุ สพฺพถา โสตาปนฺนา จ สกทาคามิโน จาปิ ปุคฺคลา
อริยา โนปลพฺภนฺติ อสญฺญาปายภูมิสุ เสสฏฐาเนสุ ลพฺภนฺติ อริยา นาริยาปิ จ


บุคคลใดเกิดได้ในภูมิไหน และบุคคลใดเกิดไม่ได้ในภูมิไหนนั้น มีดังนี้

ปุถุชน โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี(มัคค)ไม่เกิดในสุทธาวาส แน่นอน

( สุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ เป็นที่เกิดโดยเฉพาะของอนาคามิผลบุคคล ที่ได้จตุตถฌาน (ตามจตุกกนัย)หรือปัญจมฌาน(ตามปัญจกนัย)โดยอำนาจแห่งปฏิสนธิ และเป็นที่เกิดอรหัตตมัคคบุคคล อรหัตตผลบุคคล โดยอำนาจแห่งการเจริญภาวนาที่สุทธาวาสภูมินั้น)

-พระอริยะไม่เกิดในอสัญญีภพและอบายภูมิเลย

ส่วนภูมิที่เหลือนอกนั้นจะเป็น พระอริยะและแม้มิใช่พระอริยะก็เกิดได้

- โสดาปัตติมัคคบุคคล ๑ โสดาปัตติผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้เกิด ได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๐ (เว้นสุทธาวาส ภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) รวม ๑๗ ภูมิ

(หมายความว่า มนุษย์ เทวดาและรูปพรหมที่กล่าวนั้น สามารถเจริญวิปัสสนา
ภาวนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้
ส่วน อรูปพรหมที่เป็นปุถุชน คือยังไม่ถึงมัคคถึงผลเลยนั้น ไม่สามารถเริ่มเจริญวิปัสสนาให้เกิดโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้)


มีต่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ ๆ

- อริยะบุคคลอีก ๖ คือ สกทาคามิมัคคบุคคล สกทาคามิผลบุคคล
อนาคามิมัคคบุคคล อนาคามิผลบุคคล อรหัตตมัคคบุคคล และอรหัตตผลบุคคล
นั้นเกิดได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๕
(เว้น อสัญญสัตตภูมิ ๑) และ อรูปภูมิ ๔ รวม ๒๖ ภูมิ


(หมายความว่า มนุษย์ เทวดา รูปพรหมและอรูปพรหม
สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนา(ต่อ) ให้บรรลุเป็นอริยะ ๖ นี้อีกได้)

(...โสดาบันบุคคล ที่ได้อรูปฌาน เมื่อถึงแก่มรณะก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมที่เป็นพระโสดาบัน
โสดาบันบุคคลที่เป็นอรูปพรหมนี้เจริญวิปัสสนาภาวนา(ต่อ) เพื่อให้บรรลุเป็น
พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้ )

- โสดาปัตติผลบุคคล ๑ สกทาคามิผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้
เฉพาะที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยาแล้วก็อาจจะมาเกิด
(โดยอำนาจ ปฏิสนธิ) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ อีกได้


แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฌานด้วย ก็ไปเกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ได้ในรูปภูมิ ๑๐
(เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) และอรูปภูมิ ๔ ตามชั้นฌานที่ตนได้


(เฉพาะโสดาปัตติผลบุคคล สกทาคามิผลบุคคล ที่เป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหมอยู่แล้ว
จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย)

- พระอนาคามีที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมแน่นอน
ไม่กลับ มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย เพราะพระอนาคามีนั้นประหารกามราคะ
และ พยาปาทะได้เด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว ขณะจะทำกาลกิริยา ฌานจะมาโดยอัตโนมัติ


- ถ้าอนาคามิผลบุคคลผู้นั้นได้จตุตถฌาน (ตามจตุกกนัย)หรือปัญจมฌาน
(ตามปัญจกนัย) ด้วย ก็ไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ โดย อำนาจปฏิสนธิแต่อย่างเดียว


สำคัญตรงนี้ครับ

ทีฆายุกาปิ พฺรหฺมาโน อิทธิมนฺโต ชุตินฺธรา
ปตนฺติ ยถากฺกมํ เต จวนฺติ อปราปรํ

แม้พรหมทั้งหลายที่มีฤทธิ์มาก มีรัสมีรุ่งเรือง มีอายุยืนเหล่านี้
ก็ต้องค่อย ๆ ตายทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้น ยังต้องตกอยู่ในเวียนว่ายตายเกิด
ตามยถากรรมของตน
(ถ้าตราบใดยังไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า)

...

สาธุ สาธุ สาธุ สำหรับท่านที่ทนอ่านจนจบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 05:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ต.ค. 2009, 13:53
โพสต์: 95

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


Supareak Mulpong เขียน:
เอ ชักจะออกนอกหัวเรื่อง ...

ภาพนิมิต ก็คือภาพเนรมิต อันเดียวกัน เห็นจริงๆ เห็นด้วยตาในหรือตาที่คนเราใช้ฝัน แปลว่า เราเป็นฉากรับ แล้วก็มีพวกอื่นมาฉายให้ดู ไม่มีโลกุตระปัญญา ไม่มีทางรู้ว่ามันคืออะไร มาจากใคร เรื่องอะไร จริงหรือไม่จริง แต่สังเกตุง่ายๆ คือ ไม่ได้กำหนดรู้ ไม่ได้กำหนดเห็น มาอยู่ดีๆ ก็ลอยมา

นั่งสมาธิตัวเบาๆ ลอยๆ เป็นเรื่องปกติ เมื่อเลื่อนจิตจากความฟุ้งซ่านไปสู่ความสงบ จิตก็ไปพอดีกับพวกโอปะปาติกรอบๆ ตัว ทั้งเปรต อสูรกาย เทวดา ผมเลิกนั่งสมาธิก็ด้วยเหตุผลเดียวกับคุณนั่นแหละ หันมาเอาโลกุตระปัญญาอย่างเดียว

ถ้าโชคร้ายเจอพวกเจ้ากรรมนายเวร อันนี้ตัวไครตัวมัน อยากเห็นอะไร อยากดูอะไร พี่เนรมิตให้รู้ให้เห็นหมด จะหลอกเอาจนบุญเราหมดตกนรกไปนั่นแหละ พวกนี้ถึงจะสมใจ

พวกอ่านใจคนออก มองเห็นอนาคต ส่วนมาก โดนเปรตหลอก พอมาอยู่ในที่ๆ พวกนี้ไม่กล้าเข้า นั่งทั้งวัน ก็ไม่เห็นอะไร ไม่ได้อะไร นอกจากเมื่อยกับเมื่อย พบเจอมาหลายคนแล้ว ช่วยได้มั่งไม่ได้มั่ง ถ้าเจ้าตัวไม่ดำริที่จะช่วยตัวเองออกมาจากการครอบของเจ้ากรรมนายเวร ไปหลงกับมายา นึกว่าได้อญิญญา ก็จบข่าว

หนักที่สุดก็คือลูกที่แท้ง เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรปัจจุบัน เล่นแรง ไม่ลดละ ส่วนตัวผมถูกลูกเล่นงานมากว่าสิบปี กว่าจะรู้ก็เล่นเอาเกือบหมดบุญ เกือบหมดหมดตัว

การที่จะรบกับพวกนี้ได้ ต้องมีฌานวิสัย หรือฌานทัศนะ เกิดกับอริยะบุคคลตั้งแต่โสดาบันขั้นปลายๆ ใกล้จะถึงสกิทาคามี และก็ไม่ได้เกิดกับทุกคนด้วย เกิดเฉพาะกับพวกกายะสักขี

ทางที่ดีก็คือ เลิกนั่ง จิตไม่สงบพวกนี้ครอบเราไม่ได้ ทำบุญส่งให้พวกนี้ไปเกิดซะ แบบนี้แก้ปัญหาแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

... รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม เผื่อชาติหน้า บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ได้ไปเกิดเป็นเทวดา จะได้รู้ว่าจะได้ไปใหนต่อ ให้ศึกษาเรื่องตัวเองจริงๆ ไม่ได้เฉไฉ ... เป็นเทวดาตายแล้วไปหนายยยยยยยย ...


อ่านแล้วทำให้นึกถึงพวกที่ "ทำนาบนหลังคน หากินบนความทุกข์ผู้อื่น" ซึ่งก็คือพวกที่อวดอ้างตัวเองว่ามีคุณวิเศษ(คุณวิเศษที่สามารถหลอกเอาเงินผู้อื่น) "ก็พวกสแกนกรรม เปิดกรรม และแก้กรรมทั้งหลายแหล่" ทีีเรียกเก็บเงินเป็นพันบาท


แก้ไขล่าสุดโดย LOCOMOTIVE เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 05:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ฝากลิงค์ อริยสัจจ์ไว้ด้วย
ด้วยความเคารพนะท่าน ท่านจะเอาอริยสัจจ์สี่ไปปฏิบัติไม่ได้หรอก ผิดหลักเหตุปัจจัย ที่ท่านอธิบายมานั้นถูกหมด เพียงแต่มันเป็นผล

อริยสัจจ์สี่เป็นผลการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เราต้องเจริญที่เหตุของการตรัสรู้ พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้เพราะอาศัยวิปัสสนา การเดินตามมรรค ท่านต้องมีสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะก่อน ตามหลักของเหตุปัจจัย สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ หรือ สัมมาทิฏฐิที่นับเนื่องเป็นองค์มรรคเกิดขึ้นเองไม่ได้ ฝากไปให้คิดต่อนะท่าน :b38:



คุณศุภฤษก์ จัดอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โดยความเป็นเห็นเป็นผลสิ

ขอรับ ลองดูครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 07:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




x63345627qw7qo1.gif
x63345627qw7qo1.gif [ 68.46 KiB | เปิดดู 3996 ครั้ง ]
ตามหาคนดี ฯ พลศักดิ์ หายไหนแล้วขอรับ กำลังอยากฟังเรื่องผี เปรต อสูรกาย สัตว์นรกเป็นต้นอยู่

มาที่กระทู้นี้ดิขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าใช้สอนคนมีมากมาย เช่นคำสอนสำหรับผู้ครองเรือน ที่เรียกว่า คิหิปฏิบัติ

(สิงคาลสูตร) ได้แก่การปฏิบัติชอบต่อกันระหว่างพ่อแม่ลูก ระหว่างศิษย์กับอาจารย์เป็นต้น

พูดรวม ๆก็คือพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ดังนั้นคำสอนของพระองค์จึงใช้สอนคน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 09:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 3966 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
ตามหาคนดี ฯ พลศักดิ์ หายไหนแล้วขอรับ กำลังอยากฟังเรื่องผี เปรต อสูรกาย สัตว์นรกเป็นต้นอยู่

มาที่กระทู้นี้ดิขอรับ


:b13: อ้าววว...คุณกรัชกายหนีมาจากนรกได้ยังไงค่ะ...

เอายมฑูตไปหมกไว้ที่ไหนน๊า...

หรือว่าขาดความรักเหมือนกัน...ยมฑูตที่รัก...
:b16: :b16:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q11a5.gif
q11a5.gif [ 47.05 KiB | เปิดดู 3755 ครั้ง ]
นางแมว- :b1:

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=8609

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 12:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร