วันเวลาปัจจุบัน 28 ส.ค. 2025, 03:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.การสร้างทานบารมีกับพระอริยะสงฆ์แล้วอธิฐานขอพระนิพานจะทำให้เราเติม เต็มบารมีในเจริญสติได้เร็วกว่าใช่ไหมครับและรบกวนท่านอาจารย๋สนองแนะนำคำ อธิฐานเพราะๆ หน่อยครับ

2.ถ้าทำบุญทุกวันกับพระอริยสงฆ์หลายๆรูปจะมีผลยังไงและจะหนีวิบาก กรรมได้เร็วกว่าใช่ใหม่ครับ.

คำตอบ
(1) การอธิษฐานขอพระนิพพานเป็นการตั้งจิตปรารถนานำจิตเข้าสู่ภาวะนิพพาน เมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้ว ต้องทำเหตุให้ถูกต้องคือพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิและพัฒนาจิตให้เกิด ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้สติกับปัญญาเห็นแจ้ง ส่องดูใจตนเองแล้วกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์10) ให้หมดไปได้เมื่อใดสภาวะนิพพานตามที่อธิษฐานจึงจะมีจริงได้

(2) ทำบุญทุกวันกับหมู่อริยสงฆ์ ไม่สามารถหนี้วิบากกรรมได้เร็วเท่ากับการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์แต่ละตัวให้หมดไปจากใจ จนจิตบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว จะหนีวิบากของกรรมได้เร็วกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนถามปัญหาคือ ปัจจุบัน ตัวผู้ถาม ไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีงาน ไม่มีเงิน กลายเป็นคนเร่ร่อน นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้โกหก หรือหลอก แต่อย่างใด ขอเรียนถามความเห็น อ.สนองว่า ว่า ผู้ถามควรทำอย่างไรดี เพราะรู้สึกมืดมนจริง ๆ

กราบแสดงความนับถือ

คำตอบ
ในความมืดยังมีความสว่างเป็นของคู่ผู้ตอบปัญหาเคยได้สนทนาธรรม กับหลวงพ่อดาบส (มรณภาพแล้ว) มีอยู่เรื่องหนึ่งได้เรียนถามท่านว่า “ อะไรเป็นเหตุให้ท่านต้องมาบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ” หลวงพ่อตอบว่า “ เพราะความยากจนเป็นเหตุ จึงต้องมาบวชเป็นพระสงฆ์ ” หากผู้ถามมีชีวิตเป็นอิสระจากมนุษย์สมบัติดังที่บอกเล่าไปจริง นับว่าเป็นผู้มีโชคดี และจะดียิ่งขึ้น หากได้ประพฤติถูกตรงตามแบบอย่างหลวงพ่อดาบส และทำได้อย่างหลวงพ่อดาบส ผู้ตอบปัญหาจะได้อนุโมทนาด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องงานค่ะ คือดิฉันเพิ่งถูกเลิกจ้างค่ะ ตอนนี้ก็เลยต้องหางานใหม่ทั้ง ๆ ที่ทำงานเพียงแค่4 เดือน(ให้ออกเดือนมิถุนายน) และก็ไม่ได้มีความผิดอะไร แต่เค้าบอกว่าบริษัทมีปัญหาเรื่องการเงิน

อาจารย์คะ ก่อนหน้านี้ดิฉันก็มีปัญหา อย่างงานก่อนหน้านี้ดิฉันก็ถูกนินทาโดยที่ดิฉันไม่มีโอกาสชี้แจงเลยว่าอะไร เป็นอะไร นินทาจนดิฉันไม่รู้จะเอาตัวไปวางตรงไหน จะทำอะไรก็ถูกจับผิดไปหมด เหมือนเล่นซ่อนหาอยู่ตลอดเวลา เอาเรื่องดิฉันไปเล่าให้นายจ้างฟังจนมองดิฉันไม่ดี ทุกอย่างเกิดขึ้นลับหลังดิฉันและก็มีเหตุที่ดิฉันต้องออก(ดิฉันไม่มีโอกาส ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าทำผิดตรงไหนเขาไม่บอกต่อหน้าแต่เอาไปพูดกับคนอื่น)

ตอนนี้ดิฉันหางานใหม่ยอมรับว่าไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ถ้าย้อนกลับไปถ้าองค์กรที่อยู่ไม่มีปัญหาเรื่องการเงินจนต้องบีบพนักงานออก ก็เป็นเรื่องคนที่นินทาจนดิฉันไม่อยากจะอยู่ ทั้ง ๆ ที่พยายามทำดีด้วย พูดด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าฝืนตัวเองอย่างมากจริง ๆ ค่ะ แต่ก็ต้องทำ เราตอบโต้เขาไม่ได้
ดิฉันจะทำอย่างไรดีคะกับสภาพเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ ก็ต้องหางานใหม่ ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกหวั่นใจ และกลัวไม่รู้ว่าจะเจอกับคนแบบไหน ยอมรับว่ากลัวคนจริง ๆ ค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าที่ดิฉันต้องเจอแบบนี้ติด ๆ กันนี้เป็นกรรมเก่าของดิฉันหรือปล่าว ดิฉันจะทำอย่างไรดีคะ ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ

ไม่มีปรากฏการณ์ใดสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิดผู้ใดทำกรรมไว้ ก่อนแล้ว เมื่อกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับและต้องชดใช้กรรมจน กว่าหนี้ของกรรมจะหมดไป

ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและงาน มีคุณสมบัติประจำตัวดังนี้คือ ต้องเป็นคนเก่ง (มีความรู้+ความสามารถ) ต้องเป็นคนดี (มีคุณธรรม) ต้องมีดวงดี (ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 เนืองนิตย์) และต้องหยุดประพฤติอกุศลกรรมทั้งปวงให้ได้เมื่อใดกุศลที่ประพฤติส่งผล การถูกปฏิเสธ การถูกไล่ออกจากงาน การถูกนินทา ฯลฯ จะไม่เกิดกับบุคคลที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวมานี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนท่านอาจารย์ ดิฉันขอถามคำถามท่านอาจารย์ดังนี้คะ
คือเมื่อหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ปรารถนาไม่อยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก โดยปรารถนาจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ต่อเมื่อ พระอริยเมตตรัยบังเกิดในโลกมนุษย์(ปรารถนาพบพระพุทธเจ้า) โดยหลังจากที่หมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ในชาตินี้แล้ว ควรจุติเกิดเป็นอะไร เช่นเทวดา พรหม(เพื่อรอพบพระพุทธเจ้า) และความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ควรนำพาชีวิตอย่างไรเพื่อให้ไปจุติยังที่ ๆ ปรารถนาได้

ขอบพระคุณอย่างสูงคะ

คำตอบ
ต้องสร้างมหาทาน เช่น ทำอาหารเลี้ยงพระในวัดที่มีพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัย ต่อเนื่อง 7 วัน แล้วอธิษฐานขอเกิดมาพบพระศรีอารยเมตไตรย์ในกาลาข้างหน้า แล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงคือให้นำพาชีวิตไปเกิดในสวรรค์ด้วยการประพฤติ กุศลกรรมบถ 10 และในห้วงชีวิตที่เหลืออยู่ ต้องพัฒนาตนให้มีนิสัยชอบอยู่ในที่สร้างวิเวกพัฒนาตนให้ไม่มีความโลภ ไม่ตระหนี่ ยินดีบริจาคทานอยู่เสมอ มีจิตเมตตาอยู่เสมอ มีความยินดีสมาคมกับผู้มีสติปัญญาอยู่เสมอ ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้แล้วโอกาสเกิดมาพบพระศรีอารยเมตไตรย์ในวันข้างหน้าจึง มีได้ และทำไมไม่อธิษฐานขอบรรลุธรรมของพระองค์ด้วยล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) ปัจจุบัน ดิฉัน ได้ทำงานเป็นพนักงานนวดแผนไทย ในสปาแห่งหนึ่ง มีปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นกับพนักงานนวดทุกแห่งก็ว่าได้ คือ ผู้ชายที่เข้ามาในสปามักจะปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ไม่ว่าการกระทำ หรือวาจา (คือว่าการที่ลูกค้าแต่ละคนมาใช้บริการนั้น ตอนแรกเราจะไม่สามารถทราบได้ว่าลูกค้าจะมีนิสัยอย่างไร กว่าจะรู้ก็ขณะตอนที่พนักงานทำการนวดให้ค่ะ คาดว่าบุคคลเหล่านั้นบ้างก็เคยไปที่สปาแห่งอื่นที่อาจจะพบการบริการที่แอบ แฝงด้วยการค้าบริการด้วย หรือไม่ก็เป็นนิสัยส่วนตัวของบุคคลเหล่านั้นที่หมกหมุ่นในเรื่องกามราคะ) ดังนั้น เมื่อบุคคลเหล่านั้นเข้ามาใช้บริการในสปา ซึ่งทางสปาจะไม่มีเรื่องการให้บริการแอบแฝงแต่อย่างใด สำหรับดิฉันเองยังไม่เคยเจอกับตัวเอง เพราะเพิ่งจะเข้าไปทำงาน แต่ทราบจากเพื่อน ๆ ว่าจะเจอบุคคลเหล่านี้ทุกคน โดยผู้ชายเหล่านั้นจะแสดงกิริยาลวนลามพนักงานบ้าง ใช้วาจาลวนลามพนักงานบ้าง พนักงานนวดก็จะบอกให้เขาเข้าใจว่าสปาแห่งนี้ไม่ได้มีการค้าบริการ ดิฉัน จึงรู้สึกกังวลและไม่อยากให้ตัวเองต้องพบเจอบุคคลที่เป็นลูกค้าแบบนี้เลย เพราะถ้าพูดแล้วเขารู้เรื่องแล้วหยุดพฤติกรรมไม่ดี ก็ไม่เป็นไร แต่กลัวว่าจะเจอพวกที่พูดแล้วไม่ฟังไม่รู้เรื่องก็อาจจะนำภัยมาถึงตนเองได้ จึงอยากจะขอคำแนะนำจากท่านว่าการที่ดิฉัน สวดมนต์นั่งสมาธิที่บ้านของดิฉัน แล้วแผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทางที่ร้านสปาที่ทำงานอยู่ และแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร และแผ่เมตตาให้เทวดาที่คุ้มครองตัวเอง พร้อมกับการอธิษฐานไม่ให้เจอลูกค้าแบบนี้ การปฏิบัติเช่นนี้จะมีผลช่วยให้ดิฉันไม่เจอลูกค้าแบบดังกล่าว และอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่ค่ะ หรือจะต้องปฏิบัติธรรมอย่างไรให้ถูกทางและปลอดภัยที่สุด รบกวน ท่านดร.สนอง โปรดช่วยแนะนำด้วยค่ะ ( เพราะกว่าจะได้งานก็หายากแสนยาก หากจะไปทำที่อื่นในกิจการสายนี้ก็ต้องหนีไม่พ้นค่ะ )

2) อยากทราบว่า การถวายสังฆทาน พร้อมผ้าไตรจีวร ทุก ๆ เดือน นั้น จะก่อเกิดบุญกุศลในลักษณะใดบ้างค่ะ

3) ดิฉัน เคยอ่านหนังสือของท่าน ดร.สนอง ก็พอจะทราบว่าท่านไม่เชื่อเรื่องการทำนาย เพราะท่านจะบอกเสมอว่า คนเราสามารถทำให้ชีวิตตนเองให้อยู่เหนือดวงได้ แต่ทั้งนี้ ดิฉัน ได้ศึกษาศาสตร์ของการทำนายไพ่ยิบซี และการแปลงชื่อ-สกุลเป็นตัวเลขแล้วทำนายมาบ้าง เมื่อลองทำนาย จากที่สังเกตก็จะมีความแม่นยำ แต่คงจะไม่กล้าพูดว่า แม่นยำ 100% เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ดิฉัน เคยคิดว่าอยากจะหารายได้พิเศษจากการทำนายบ้าง เมื่อก่อนดิฉันก็เคยลองดูให้คนอื่น ทุกครั้งที่ดูให้ ดิฉัน ก็จะบอกกับทุกคนเสมอว่าอย่าเชื่อ 100% แต่สิ่งที่บอกเพื่อเป็นแนวทาง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับผลของกรรม และการกระทำของเราในปัจจุบันด้วย จากการที่เคยดูบุคคลอื่น ๆ มา จะทำให้ทราบว่าบุคคลที่มาดูนั้นเขามีพื้นฐานชีวิต นิสัย หรือกำลังพบเจอปัญหาในชีวิตเป็นอย่างไร ดิฉัน ก็จะแนะนำเขาโดยสอดแทรกธรรมะในการแก้ไข ซึ่งตามความเข้าใจของดิฉัน ๆ คิดว่าการนำธรรมะที่ครูบาอาจารย์และที่ท่านสอนไปสอดแทรก ก็เป็นเหมือนวิธีที่ทำให้บุคคลเหล่านี้นำไปปฏิบัติ แล้วอยู่เหนือดวงของตนเองได้ ความทุกข์ที่ประสบจะได้คลายลง ดิฉัน จึงอยากจะทราบว่าการทำนายไพ่ยิบซี อย่างที่ดิฉันตั้งใจจะทำนั้น สมควรที่จะกระทำหรือไม่ / แล้วถ้าบุคคลนั้นเขานำคำที่ดิฉันแนะนำไปปฏิบัติแล้วชีวิตดีขึ้น จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของคน ๆ นั้น มาเล่นงานดิฉันหรือไม่ค่ะ / และอยากให้ท่านอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่า การที่สมัยก่อนเวลาเขาจะออกไปทำศึกสงคราม ก็จะให้โหรหลวงทำนายทุกครั้ง แม้ปัจจุบันโหรหลวงก็ยังคงต้องมีการทำนายดูฤกษ์ยามในการทำพิธีในวันสำคัญ ต่าง ๆ นั้น กับการที่ไม่ให้เชื่อเรื่องการดูดวงนี้ มันมีความแตกต่างกันยังไงค่ะ

คำตอบ

(1) สิ่งอันเป็นอกุศลที่ถูกสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณแล้วมาปฏิสนธิเป็น มนุสฺสติรจฺฉาโน เป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขได้ยาก ด้วยเหตุนี้ผู้ใดเข้าใกล้และเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ประเภทนี้ ย่อมเปิดโอกาสให้อกุศลกรรมเกิดขึ้นได้ง่าย หากไม่ประสงค์จะพบกับเหตุการณ์นี้ต้องนำตัวเองออกห่างจากอาชีพดังกล่าว แล้วไปหาอาชีพอื่นที่เป็นสัมมาทำจะดีกว่าการแผ่เมตตาหรืออธิษฐานดังที่บอก เล่าไป

(2) อานิสงส์ที่จะเกิดจากการประพฤติดังที่บอกเล่าไปคือ ทำให้เป็นผู้เข้าถึงความบริบูรณ์ในเครื่องนุ่งห่ม เป็นที่รักของคนหมู่มากเป็นที่คบหาของคนดี เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ฯลฯ

(3) หากผู้ถามประสงค์นำพาชีวิต วนอยู่กับการเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสาร การประกอบอาชีพหมอดูสามารถทำได้และผู้ใดเข้าไปมีส่วนรวมในวงจรกรรมของผู้ อื่น ผู้นั้นต้องมีส่วนรับผลของกรรมนั้นด้วย ในสมัยก่อนมีการใช้ประโยชน์จากคำพยากรณ์ของโหรหลวง ก่อนออกสงครามรวมทั้งมีการประกอบพิธีกรรมในปัจจุบันยังต้องพึ่งความรู้จาก โหรหลวง เหตุเพราะบุคคลผู้เข้าร่วมกระบวนกรรมมิได้มีเจตนานำพาชีวิตให้พ้นไปจาก วัฏสงสารจึงสามารถทำได้ แต่หากผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากทุกข์ ต้องเชื่อและประพฤติตามคำชี้แนะของผู้รู้ โดยไม่เอาจิตไปข้องเกี่ยวกับคำพยากรณ์ใด ๆ ความปรารถนาบรรลุธรรมสูงสุดคือพระนิพพานจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้สวดมนต์และอธิษฐานจิต ต่อพระบรมสารีริกธาตุที่รับไปบูชาจากวัดสังฆทาน ว่าขอพระเมตตา และอานุภาพของพระศาสดา ได้โปรดเมตตาให้การนั่งสมาธิของหนูเกิดผล และเข้าถึงสมาธิด้วยเถิด ...และจากนั้นประมาณ 3-5 นาที จิตใจหนูก็สงบเย็น และมองเห็นกลุ่มควันสีขาวคล้ายหมอกบริเวณปลายจมูกขณะหายใจ เข้า-ออก กล่มควันนั้นค่อยๆ ล่องลอยอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนมารวมเข้าสู่ศูนย์กลางที่จุดๆ หนึ่ง ... แต่ยังไม่ทันไร ...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หนูเลยต้องออกจากสมาธิ

อยากรบกวนเรียนถามอาจารย์ว่าสิ่งนี้คืออะไร..ถือเป็นสมาธิหรือไม่...และต้อง ทำอย่างไรต่อไปคะ...เพราะว่าอาการแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกค่ะ...( อาการที่เกิดขึ้นส่วนมากขณะนั่งสมาธิจะไม่รับรู้ลมหายใจ...นิ่งแช่อยู่อย่าง นั้นนานๆ ค่ะ...)

ข้อที่สอง... ขณะหลับไปได้ยินเสียงแผ่วเบาลอยมาไกลๆ ... แต่ชัดมาก มาเรียกชื่อหนูประมาณ 5 ครั้งแต่หนูไม่ได้ลืมตามา อยากทราบว่าคืออะไร และต้องทำอย่างไรคะ... เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดแบบนี้3ครั้ง... ครั้งแรกมีคนเรียกชื่อหนูจริงหลังจากสอบถามคนที่สงสัยแล้ว... ครั้งที่2 เกิดขึ้นเพราะรุ่งเช้าหนูจะต้องไปทำธุระที่สำคัญ... แต่ครั้งสุดท้ายนี้เกิดขึ้นคืนวันอาทิตย์ก่อนวันวิสาข ... ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใดคะ... และต้องแก้ไขอย่างไร... ควรจะขานรับหรือไม่...



คำตอบ
(1) กลุ่มควันสีขาวที่เห็นเป็นผลเนื่องมาจากจิตเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรใช้จิตที่เริ่มตั้งมั่นนี้มากำหนดด้วยการบริกรรมคำว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลุ่มควันสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ทั้งนี้เพื่อให้จิตมีกำลังสมาธิเพิ่มมากยิ่งขึ้น

(2) สิ่งที่ปรากฎให้จิตสัมผัสได้ เหมือนกับข้อ (1) แต่เปลี่ยนจากการเห็นเป็นการได้ยิน ควรกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงที่ได้ยินหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ไม่ควรเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งเสียงที่ได้ยินด้วยการขานรับ เพราะจะทำให้กิเลสมีกำลังมากขึ้น นั่นคือสติที่ใช้ในการภาวนามีกำลังอ่อนลง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเรียนพึ่งจบและได้ทำงาน 2 เดือนแล้วกำลังศึกษางานแต่ยังไม่บรรจุในระหว่างอยู่ที่ทำงานรู้สึกว่าพี่ ๆเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าหนูมักจะนินทาลับหลังพูดจาดูถูกและพูดเสียดสีแต่ง เรื่องขึ้นมาโดยไม่เป็นความจริงแต่หนูรู้สึกเฉย ๆ ค่ะไม่คิดอะไรเลยจนพี่เขาบอกว่าเหมือนหนูไม่เอาหัวใจมาทำงานเพราะหนูคิดว่า คงจะเป็นกรรมของหนู และพี่ที่สอนงานหนูเวลาหนูไม่เข้าใจถามงานเขาบ่อย ทั้งหนูเป็นคนเข้าใจยากด้วย และทำงานผิดพลาดพี่เขาก็จะดุว่าหนูเสียงดังจนคนอื่นก็ได้ยินกันทั่วในแผนก แต่หนูก็รู้สึกผิดนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่รู้สึกกลัวหรือร้องไห้เหมือนคนอื่นเวลาโดนดุ

ไม่ทราบว่าหนูผิดปกติทางจิตหรือเปล่าคะ และพี่ที่ไม่ชอบหนูเขาก็แนะนำให้หนูไปทำงานที่อื่น หนูควรจะไปไหมคะ เพราะถ้าอยู่ไปก็คงจะไม่สบายใจที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะกรรมของหนูใช่ไหมค่ะ และจะทำอย่างไรปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับหนูอีกคะ

จึงเรียนให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
หากประสงค์ลดการถูกนินทาลง ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมให้ได้ทุกขณะตื่น เมื่อศีลคุมใจได้แล้ว ให้ประพฤติจิตตภาวนาตามบทกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของตน และเมื่อใดจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จิตจะไม่เคลื่อนออกไปนอกตัว ไม่เอาจิตไปรับเสียงนินทาของคนอื่นเข้ามาทางหู และสู่ใจปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบได้ คนที่ฉลาดในการใช้ตาดู ใช้หูฟังเสียง เขาทำกันอย่างนี้ เขาจึงไม่มีเรื่องไม่ดีเข้าสู่ใจ

ส่วนเรื่องที่เป็นคนสอนยากและทำงานผิดพลาด เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ผู้อุดมด้วยกิเลส หากประสงค์จะลดพฤติกรรมติดลบของตนเองให้น้อยลง ต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความรู้มีความสามารถในงานที่ทำ และต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมด้วยการประพฤติจริยธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นคนมีสัจจะ มีความขยันในงานที่ได้รับมอบหมาย และสุดท้ายมีความอดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อการทำงานที่ตรากตรำ และอดทนต่อความเจ็บใจ ต่อคำพูดเสียดสีของคนอื่นมนุษย์เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เขาประพฤติเช่นนี้

สิ่งที่พี่แนะนำนั้นเขาพูดถูก กับคนที่ไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเองแต่เป็นการพูดผิดกับผู้ที่ยอมรับความจริง และพัฒนาตัวเองให้ได้ตามคำชี้แนะดังกล่าวข้างต้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูเรียนหนังสืออยู่ชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทย์ มีเรื่องที่หนักใจและทำให้เกิดวิตกจริตอยู่บ่อยครั้ง อยากให้ครูช่วยแนะนะด้วยความเมตตากับหนูด้วยนะคะ

คือว่าหนูพยายามสังเกตตัวเองตั้งแต่อยู่ประถม มัธยม จนกระทั่งตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ว่าตัวหนูเองเป็นคนไม่กล้าแสดงออก และขลาดกลัวเวลาจะต้องนำเสนองานให้กับกลุ่มคนฟัง การให้ออกความคิดเห็นในที่ประชุม หรือกระทั่งทำฟันให้คนไข้โดยเฉพาะงานที่ไม่เคยทำมาก่อน หนูมักจะตื่นเต้นจนตัวสั้น มือทั้งเย็น เกร็งและสั่น หัวใจเต้นแรง เสียงก็สั่นด้วยคะ ตอนนั้นมักจะทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากจนหนูไม่อยากจะคิดแต่มันก็มักจะวนเวียนมาให้ได้พบ เจออยู่เสมอคะ เวลาเกิดความกลัวแล้วจะทำอะไรไม่ถูก สติ สมาธิ ปัญญา หายไปหมดเลยคะ และหลังจากผ่านเหตุการณ์แล้วกลับมาคิดว่าทำไมเราถึงไม่กล้า มันก็ทำให้เกิดความเครียด โกรธตัวเอง เกิดความกังวล และสีบสนขึ้นมาเสมอๆ ซึ่งหนูก็รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดี แต่หนูก็ห้ามที่จะไม่ให้เกิดความกล้วขึ้นมาได้คะ

หนูเองจึงอยากทราบว่าความกลัวเหล่านี้เกิดจากอะไร และหนูจะมีวิธีการใดในการจะจัดการกับความกลัวเหล่านี้ได้บ้างคะ หรือมีวิธีการใดที่ฝึกให้มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกใหม่ด้วยความ มั่นใจและครองสติให้อยู่กับตัวตลอดเวลาได้บ้างคะ

ขอบพระคุณคุณครูอย่างสูงคะ

คำตอบ
การมีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก มีต้นเหตุมาจากคนที่อยู่แวดล้อมเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ชอบครอบงำความคิดเห็นของคนอื่นให้เห็นด้วยตามที่ตัวเองต้องการให้เป็น ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีความคิดเห็นถูก เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะแนวทางเท่านั้น ผู้เห็นถูกไม่บังคับหรือครอบงำความคิดเห็นของคนอื่น แต่ให้คนอื่นมีอิสรภาพในความคิดความเห็นด้วยตัวเอง

หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปรับปรุงแก้ไข พฤติกรรมไม่ดีดังที่บอกเล่าไป ต้องนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึง ปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ได้แล้วสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระจะ เกิดขัน ความกล้ารวมถึงพฤติกรรมไม่พึงปรารถนาต่าง ๆ จะหมดไป นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรง ที่ผู้รู้ประพฤติได้แล้วและแสดงให้ดูแล้ว จึงนำมาบอกกล่าว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าหากเราจะใช้สิทธิในการเรียกร้องเงินชดเชยตามกฎหมายไม่ทราบว่าจะเป็นการ ถูกต้องหรือไม่(ในแง่กฎแห่งกรรม) ที่จริงทำใจได้แล้วแต่ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิทธิของเรา ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอคำแนะนำว่า มันจะเป็นการสร้างกรรมใหม่หรือไม่ หรือดิฉันควรจะอยู่เฉยๆรับกรรมไปเพราะมันคือกรรมเก่าของดิฉันเอง

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ค่ะ

คำตอบ
การเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นการกระทำที่ถูกต้องในทางโลก แต่ในทางธรรมแล้วถือว่าผิดเพราะเวรคือความแค้นเคือง ความแก้เผ็ด มิได้ถูกระงับ เมื่อใดที่คู่เวรโคจรไปพบกันอีกในกาลข้างหน้า การทวงหนี้และการชดใช้หนี้เวรกรรมก็จะเกิดขึ้นอีกไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงตรัสว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ดังนั้นเรื่องที่บอกเล่าไปผู้ถามปัญหาต้องเลือกทางชีวิตของตนเองว่า จะบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นว่าประสงค์จะจองเวรกันต่อไป หรือชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดกันไปจึงเป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ตอนนี้ ดิฉันเพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิค่ะ เพิ่งเริ่มศึกษา แล้วลองทำ ทำแบบรวมจิตไปที่ใดที่หนึ่งก่อน เช่น ที่ปลายจมูก หรือกลางอก เป็นต้น หลังจากนั้น เพิ่งรู้ว่ามีอีกแบบ คือ การดูจิต
ปัญหาก้อคือ ดิฉันสับสน ไม่รู้จะลำดับอย่างไรก่อน เพื่อให้เกิดสมาธิ เพราะเพิ่งลองนั่ง เลยอยากให้อาจารย์แนะนำเทคนิค ให้หน่อยค่ะ

2. ดิฉันเคยทำไม่ดี ตอนสมัยมัธยม เคยมีเงินไม่พอซื้อของ ก้อเลยหยิบเอาเงินที่พี่วางไว้ในเก๊ะไป จะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้บาปนี้ ติดตัวเราไปชาติหน้าคะ

3. ดิฉันเคยชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน สุดท้ายก้อเคยกิ๊กกันนิดๆ แต่ก้อเลิกไปเพราะอยู่ไกลกันมาก และเพื่อนที่ชอบผู้ชายคนเดียวกัน ก้อรู้ แต่เขาก้อไม่ว่าอะไร แล้วก้อยังสนิทกับเราเหมือนเดิม แต่เราก้อรู้สึกผิดในใจตลอดเวลา เพราะเราเลือกเพื่อน ไม่เลือกคนนั้น อาจารย์แนะนำว่า เราจะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้เรารู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ หรือว่า เราเอาดอกไม้ไปขอขมาเพื่อนดีคะ คือไม่อยากรู้สึกบาปต่อเพื่อนคะ

กราบขอบคุณอาจารย์มากมายล่วงหน้านะคะ

คำตอบ
(1) การพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิปัญญาเห็นแจ้ง ควรนำตัวเองเข้าฝากตัวเป็นศิษย์และขอรับกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ผู้มี ประสบการณ์จะได้ผลสัมฤทธิ์มากกว่าขอให้ผู้ตอบปัญหาแนะนำเทคนิคการฝึกจิตให้

(2) ประสงค์ไม่ให้บาปติดตัวไปถึงชาติหน้า ต้องไปบอกความจริงและยอมรับผิดกับพี่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ ด้วยการขอชดใช้หนี้ หรือขอให้เขายกหนี้ให้ หากเมื่อใดเจ้าของทรัพย์กล่าววาจาให้คุณชดใช้หนี้ที่เอาไปเป็นตัวเงิน หรือกล่าววาจายกหนี้ให้ คุณก็พ้นผิด และต้องไม่ประพฤติอทินนาทานเช่นนี้อีก

(3) ในฐานะที่ผู้ถามปัญหาเป็นฆราวาส และมิได้ประพฤติผิดศีล 5 ไม่ถือว่าเป็นบาป เหตุที่เกิดความรู้สึกว่าผิดในเรื่องที่บอกเล่าไป สาเหตุเกิดจากผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) นั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนกระผมนั่งสมาธิ จิตนิ่งสงบ มีสติอยู่ตลอด ในการนั่งสมาธิ พอนั่งไปสักพัก มีความรู้สึกว่ามีความเย็นเข้ามาที่ขาทั้งสองข้าง ตัวก้อรู้สึกเบา เกิดความสงสัยขึ้นกับจิต พอเกิดความสงสัย ความเบาตัวก้อหายไป ความรู้สึกเย็นที่กายและขาก็หายไป ความปวดขาก็ตามมา ผมพยายามนั่ง ต่อสู้กับความปวดเหมือนที่ ดร.สนองได้บอกไว้ในหนังสือ สมาธิมาอยู่กับความปวดที่ขา แล้วภาวนา ปวดหนอๆๆ ความปวดก้อหนักขึ้นๆ เรื่อยๆๆ ลักษณะเป็นมาสามวันแล้วอาการเจ็บปวดก้อไม่หายไป มีความรู้สึกกังวล หลังจากนั่งสมาธิทุกครั้ง ว่าจะเอาความเจ็บปวดออกไปได้อย่างไร

ขอความกรุณาแนะนะนำในขอสงสัย และชี้แนะในการปฏิบัติ ให้กระผมด้วย

คำตอบ
เหตุที่นั่งภาวนาอาการปวดที่ขายังไม่หายไป นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า กำลังของสมาธิยังไม่กล้าแข็งจึงควรเพิ่มกำลังของสมาธิ ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งภาวนาไปอยู่ในอิริยาบถเดินจงกรม สลับกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตมีกำลังของสมาธิกล้าแข็ง จนถึงระดับที่อยู่เหนือทุกขเวทนา (ปวดขา) ได้แล้ว เมื่ออาการปวดที่ขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ อาการปวดดังกล่าวจึงจะหายไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 การที่บางครั้งเราทำอะไรไปในชีวิตประจำวัน เช่นการปิดไฟ ปิดประตู แล้วเราขาดสติคือเราจำไม่ได้ว่าเราได้ทำไปแล้ว อาจจะต้องเดินย้อนกลับไปดูอีกครั้งทำนองนี้ อยากทราบว่ากรณีแบบนี้ 'รูป' ของเรานั้นขณะนั้นทำกิจนั้นไปได้อย่างไรคะ โดยที่เหมือนจิตไม่ได้รับรู้การทำนั้น แต่รูปได้ทำไปจริงได้อย่างไรคะ

2 การที่คนเราทำอะไรตามสัญชาตญาน จะเรียกว่าทำไปโดยเป็น อวิชชา ได้ไหมคะ

3 ระหว่าง จิตใต้สำนึก กับ จิตสำนึก ดูเหมือนว่ามีจิตอีกประเภทนึงคือ จิตที่รู้เฉยๆ ที่ไม่ใช่ทั้งจิตใต้สำนึก และจิตสำนึกใช่หรือไหมคะ เพราะมีความรู้สึกว่า จิตใต้สำนึก เราควบคุมไม่ได้ แต่จิตสำนึกก็เหมือนว่ามันจะมีการคิดปรุงแต่งปนอยู่ตามประสบการณ์ แต่บางทีมันก็เหมือนว่ามีแค่การรู้อาการเฉยๆ นั้น เลยสงสัยว่าในด้านจิตวิทยาเขาเรียกว่าการรู้เฉยๆ นั้นว่าอะไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาช่วยตอบปัญหาให้ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ได้ผ่อนคลายความสงสัย และขออนุโมทนากับการบำเพ็ญ บารมีของท่านอาจารย์ในทุกๆ กิจที่กระทำเพื่อพระพุทธศาสนาค่ะ



คำตอบ
(1) เป็นสัญญาเก่าที่จิตเก็บบันทึกไว้ จิตได้ใช้สัญญาเก่าสั่งร่างกายให้ปิดไฟปิดประตูโดยขาดสติกำกับพฤติกรรม

(2) เรียกว่า จิตมีอวิชชาได้

(3) ผู้ตอบปัญหามิได้เรียนวิชาจิตวิทยาใด ๆ จึงไม่ทราบสมมุติบัญญัติที่เขาใช้เรียกกันในหมู่นักจิตวิทยา แต่ผู้ตอบปัญหาขอสมมุติเรียกว่า จิตกึ่งสำนึก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ปฏิบัติกรรมฐานมาได้ สิบกว่าปี ได้มีคำถามอยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้
1. การปฏิบัติในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่เดินจงกลมอยู่ก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นคือ ในขณะนั้นปรากฏว่าได้เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่าง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่เช่นเดิม เหตุการณ์เช่นนี้ถือว่าได้ปฏิบัติถึงลำดับใดแล้ว และควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป

2. ขณะที่นั่งกรรมฐานเวลาประมาณตี 3 ได้เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้น คือ รู้สึกเหมือนมีความเย็นบริเวณศีรษะแล้วค่อยๆไหลลงมาคล้ายของเหลวมาอุดอยู่ ที่ลำคอ กระผมก็ได้กำหนดคำบริกรรมต่อไป ความเย็นนั้นก็ไหลลงมายังหน้าอกแล้วค่อยๆหายไป รู้สึกตัวเบา แล้วก็ผมได้เห็นแสงสว่างพุ่งออกครอบตัวเราไว้ อยากทราบอาการเช่นนี้ อาการที่เกิดขึ้นกับกระผมเช่นนี้เรียกว่าอะไร และควรปฏิบัติต่อไปอย่างไร

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้

คำตอบ
(1) ที่เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง (วิปัสสนูปกิเลส) ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่เข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน หากหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาวิปัสสนาญาณให้แจ่มใสต้องกำหนดสิ่งที่ถูกเห็น ด้วยจิตนั้นว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งดวงแก้วนั้นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

(2) เรียกว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส เช่นเดียวกันกับข้อ (1) เมื่อความเย็นเกิดขั้น ควรกำหนดว่า “ เย็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนความเย็นหายไป เมื่อรู้สึกตัวเบา ควรกำหนดวา “ เบาหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการรู้สึกว่าตัวเบาหายไป และเช่นเดียวกันเมื่อเห็นแสงสว่างพุ่งออกมาครอบตัว ควรกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” เรื่อยไปจนกว่าแสงสว่างที่พุ่งออกครอบตัวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมทุกครั้งเมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลส (แสงสว่าง ความอิ่มใจ ความรู้ ความสงบกายและใจ ความสบายกายสบายใจ ความน้อมใจเชื่อความเพียรที่พอดี ความชัดของสติ ความวางใจเป็นกลางและความพอใจ) ต้องบริกรรมหรือกำหนดตามอาการที่เกิดขึ้นกับจิต จนสิ่งเหล่านี้หายไป วิปัสสนาญาณจึงจะมีกำลังมากขึ้น จิตจึงจะเป็นอิสระต่อกิเลสเหล่านี้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมอยากพบเนื้อคู่ และได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา แต่ด้วยความที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ใจจึงโหยหา ที่จะตามหากันให้พบ ที่เคยพบก็โดนกระแสอกุศลกรรม ที่เคยทำมา ทำให้เสียใจอยู่ตลอด หาก ผมอธิษฐานให้พบคู่ที่ดี จะต้องทำเหตให้ตรงอย่างไรครับ?

2. หากจะอธิษฐานขอพบคู่ ต้องอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานแบบไหนครับ?

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความกรุณาที่มีให้เสมอมา ผมเกิดมาชาตินี้
ได้พบท่านอาจารย์ ก็เป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดจริงๆครับ

คำตอบ
(1) อธิษฐานขอพบเนื้อคู่ที่ดีสามารถอธิษฐานได้แต่จะได้ผลถูกตรงตามที่อธิษฐานไว้ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำไว้แต่อดีตว่าคู่ที่ดีคือคู่สร้างคู่สม อันได้แก่ สมสัทธา สมสีลา สมจาคา สมปัญญา ตัวเองได้เคยสร้างเหตุ 4 อย่างนี้ ร่วมไว้กับใครหรือไม่ หากเคยสร้างกรรมดี 4 อย่างนี้ไว้ แต่กรรมดีผลักดันให้เขาไปเกิดอยู่ในสุคติภพที่มิใช่ภพมนุษย์ โอกาสที่ปัจจุบันจะพบกันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือหากผู้ถามปัญหาไม่เคยสร้างกรรมดีทั้ง 4 นี้ไว้กับใครผู้ใด การอธิษฐานพบเนื้อคู่ที่ดีย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นอธิษฐานพ้นไปจากความทุกข์แล้วสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการปฏิบัติ กรรมฐานจะมิดีกว่าหรือ

(2) หากประสงค์จะพบเนื้อคู่ที่ดีต้องสร้างมหาทานให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงอธิษฐาน พบเนื้อคู่ แล้วสร้างเหตุ 4 อย่างตามข้อ (1) ให้ถูกตรงอยู่เสมอ คือสัทธาในสิ่งดีงามทั้งปวง รักษาศีล 5 ข้อให้คงอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีการบริจาคทานอยู่เสมอ และสุดท้ายพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามเป็นจริง เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว โอกาสพบเนื้อคู่ที่ดียังมีความเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การฝึกวิปัสสนาที่วัดจะมีขั้นตอนการสมาทาน การปฏิบัติ และหลังปฏิบัติ เช่น การแผ่เมตตา เมื่อกลับมาปฏิบัติเองที่บ้านควรปรับขั้นตอนวิธีการปฏิบัติอย่างไรคะ

2. เมื่อปฏิบัติเองที่บ้าน เวลาจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ มีความรู้สึกเหมือนกับถูกทดสอบทุกครั้ง คือ จะรู้สึกคันหรือปวดขามาก กำหนดรู้คัน รู้ปวดเท่าไรก็ไม่สามารถผ่านไปได้ จนต้องเกาหรือเปลี่ยนท่านั่ง เนื่องจากขันติยังไม่พอ อยากกราบขอคำแนะนำเพื่อให้การปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นค่ะ

3. สามีเป็นสัตวแพทย์ จำเป็นต้องฆ่าไก่เพื่อพิสูจน์โรค จะทำอย่างไรเพื่อให้กรรมเบาบางลงคะ เพราะเป็นความจำเป็นทางอาชีพที่เลี่ยงไม่ได้

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
(1) สมาทานอะไร หากเป็นการสมาทานศีลเมื่ออยู่ที่บ้านแล้วไม่ต้องสมาทาน เพียงแต่รักษาศีล 5 ให้อยู่กับใจทุกขณะตื่นเป็นอันใช้ได้ หลังจากนั้นนำเอาวิธีปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมาปฏิบัติเองที่บ้านตามรูปแบบที่ ครูผู้ให้การฝึกกรรมฐานแนะนำ ให้ปฏิบัติทั้งให้อิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) และในอิริยาบถย่อย (กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ) เมื่อปฏิบัติกรรมฐานแล้วเสร็จในแต่ละวันให้อุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วแก่ เจ้ากรรมนายเวรของผู้ปฏิบัติ และให้แก่สรรพสัตว์ตามที่ตัวเองปรารถนา

(2) ขณะนั่งปฏิบัติกรรมฐาน หากมีอาการรู้สึกคันเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการคันจะหายไป หากมีอาการปวดขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดขาจะหายไป หากกำหนดแล้วอาการดังกล่าวยังไม่หายไป ต้องเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนาไปเป็นเดินจงกรม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มกำลังของสติให้มีมากขึ้นจนถึงระดับที่เมื่อกำหนดแล้วอาการ คันอาการปวดขาหายไป

(3) ไม่มีใครผู้ใดสามารถทำให้กรรมไม่ดีเบาบางลงได้นอกจากต้องชดใช้อกุศลวิบากของ กรรมไม่ดีให้หมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร