วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมบรรยายโดยพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ (ศิษย์หลวงพ่อชา สุภัทโท) เรื่อง "จิตสุข ในความทุกข์"
ณ.ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ (สี่แยกราชประสงค์)
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2552 13.00-16.30 น.

ขอเรียนเชิญท่านที่สนใจธรรมบรรยายนี้ แต่ไม่ได้ไปฟัง หรือฟังแล้วอยากอ่านซ้ำหลายๆครั้ง เชิญอ่านได้ครับ

หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมต้องขออภัยท่านพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
(ได้เรียน ขออนุญาติท่านไว้แล้ว ว่าจะถอดเทปมาเผยแพร่ และท่านก็ยินดีให้ทำ)

กุศลใดที่เกิดจากการเผยแพร่คำสอนท่านในครั้งนี้ ขอน้อมบูชาพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกท่าน และท่านพระอาจารย์ชยสาโร อีกทั้งขอมอบแก่ท่านเจ้าภาพงานนี้
เจ้าหน้าที่ดำเนินงาน อาสาสมัคร และผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้มาร่วมฟังธรรม มาร่วมอ่าน
ศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมทุกๆท่านนะครับ

เชิญอ่านได้ครับ อ่านง่ายๆ สบายๆ ภาษาไทยสำนวนฝรั่ง ซึ่งผมได้ปรับเล็กน้อย

ตอนที่ ๑

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อสุเมโธ พระราชสุเมธาจารย์ ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงวันแรก
ครั้งแรกที่ท่านจะขึ้นธรรมมาส ที่วัดหนองป่าพง ท่านทราบว่าหลวงพ่อชาห้ามไม่ให้
เตรียมคำเทศน์ล่วงหน้า แต่ท่านอดไม่ได้ ท่านกลัวจะพูดไม่ออก ท่านได้เตรียมอย่าง
ละเอียด พิสดารพอสมควร ขึ้นธรรมมาสพูดได้ดี ลงจากธรรมมาสทุกคนก็ชม
ไม่ว่าพระไม่ว่าโยม ชมว่าท่านสุเมโธเทศน์ได้ดี ดีมากๆ เลย เสร็จแล้วท่านไปกราบหลวง
พ่อชาที่กุฏิ ใจท่านเหมือนลูกศิษย์ทั่วไป คำชมของคนอื่นไม่มีน้ำหนักเท่าหนึ่งในร้อยของ
คำชม ของผู้เป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ต้องการให้หลวงพ่อชาชมบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้
แสดงอะไรออกมาให้เห็น หลวงพ่อก็ชวนคุยเรื่องอื่น สุดท้ายท่านมองหน้าท่านสุเมโธพูด
เสียงเรียบๆ ว่า โอกาสหน้าอย่าทำอย่างนั้นอีก หลังจากนั้นท่านเลยเลิกการเทศน์นอกครู
ท่านก็ทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน

ดังนั้นการแสดงธรรมของอาตมาก็ตาม สไตล์นี้เหมือนกัน คือพูดสิ่งที่รู้สึกสมควรจะพูด
เรื่องที่เกิดขึ้นเวลานี้ สิ่งหนึ่งที่นึกขึ้นมาก็คือ ความทรงจำว่าสมัยวัยรุ่น ชอบฟังเพลง เพลง
ร็อคเสียงดังๆ เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป แล้วก็มีปีหนึ่งอาตมาขึ้น ม.2-ม.3 มีเด็กย้ายบ้านมา
จากลอนดอน ครอบครัวมีฐานะดี แล้วก็มีเครื่องสเตอริโอรุ่นใหม่สุดอยู่ที่บ้าน ชวนเราไป
ฟังเพลงที่บ้าน ตื่นเต้นเหมือนกัน คือเราเป็นเด็กบ้านนอก เขาเป็นคนจากกรุง เครื่องเล่น
ดนตรีของเราไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ก็ตื่นเต้นที่ได้ฟังเสียงชัดๆ เหมือนเครื่องเสียงที่นี่ ก็ไปนั่ง
ฟังเพลงกับเพื่อน อาตมาก็นั่งหลับตามีความสุข เพื่อนก็ลุกไปปรับเสียง นั่งลง 2-3 วินาที
ทำหน้านิ่ว ลุกขึ้นปรับนั่นปรับนี่อยู่เรื่อย จนกระทั่งอาตมามีความรู้สึกว่า ผมฟังเพลง เพื่อน
ฟังเครื่องเสียง นี่เป็นข้อคิดที่ดีข้อหนึ่ง ตอนหลังมาศึกษาปฏิบัติธรรม เพราะเป็นคนมีการ
ศึกษาน้อย ก็อยู่ในป่า บางทีคุยกับเพื่อนที่มีการศึกษามากกว่า เวลาฟังเทศน์ เราฟังเทศน์
ก็มีความรู้สึกเหมือนสมัยวัยรุ่นว่าเราฟังเสียง ท่านฟังเครื่องเสียง ท่านรู้มากแล้วแต่ท่านก็
ไม่ค่อยมีความสุขเหมือนเรา

หลวงพ่อชาท่านบอกว่า บางสิ่งบางอย่างที่สอนอาจจะไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก แต่ไม่เคย
ออกนอกเขตของตำรา มันสอดคล้องกันได้เป็นเรื่องเดียวกัน ฉะนั้นเรื่องความทุกข์ เรื่อง
ความสุข เราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนทุกคน ไม่ว่าเราเป็นนักบวช เรา
เป็นคฤหัสถ์เหมือนกันหมด พระเราถ้าไม่มีความสุขในชีวิตพรหมจรรย์ ก็คงอยู่ได้ไม่นาน
แรกๆ อาจมีสิ่งดลบันดาลใจ ตั้งอกตั้งใจฟัง อดทน สู้ แต่เราจะมีศรัทธามากมายแค่ไหน
จะปฏิบัติแบบสู้ กัดฟัน ไม่กี่ปีก็หมดแรง หมดกำลัง ผู้ที่อยู่ได้นานก็เพราะมีความสุขในชีวิต
พรหมจรรย์มากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ข้างนอก บางท่านพยายามพิจารณา โอ้..ชีวิตคฤหัสถ์ใน
โลกนี้ ชีวิตมันแย่มาก มันมั่วมาก อาตมาสังเกตว่าคนที่ชอบว่าชีวิตของตนด้วยสำนวน
แรงๆ มักจะเป็นคนที่จะลาสิกขาไปภายในไม่กี่ปี ก็จะมีความรู้สึกอย่างนั้นที่จะแสดงออก
มา

ในชีวิตของเราทุกคน เราต้องหันมาสนใจ ศึกษาเรื่องความสุข เรื่องความทุกข์ ความทุกข์
มันเกิดมาจากสิ่งใด ความสุขเกิดมาจากสิ่งใด ความทุกข์ความสุขมีความสัมพันธ์อาศัยกัน
อย่างไร โดยที่เราถือหลักสำคัญว่า มนุษย์เรามีศักยภาพในการเรียนรู้ มนุษย์เราสามารถ
เปลี่ยนแปลงหรือกลับใจได้ ไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ในชีวิตของเราหรือในจิตใจของเราที่เป็น
ของแน่นอนตายตัว มีแต่สิ่งที่ผันผวนปรวนแปรอยู่ทั้งนั้น และในกระแสของความเปลี่ยน
แปลงนั้น ผู้มีปัญญาจะศึกษาเพื่อให้ทราบว่า ส่วนไหนเราควรจะอดทน ทำใจ ส่วนไหนเรา
ควรจะปรับปรุงแก้ไข ส่วนไหนควรจะส่งเสริมอย่างมีสติ กระแสนั้นมันเป็นกระแสที่สลับซับ
ซ้อนพอสมควร ผู้ที่ไม่สนใจศึกษามักจะจับผิดประเด็น อย่างเช่น อดทนในสิ่งที่ไม่ควรอด
ทน บางทีกลับภูมิใจว่าเป็นผู้อดทนสูง แต่เป็นความอดทนในสิ่งที่ไม่ควรอดทน หรือทำสิ่ง
ที่ไม่มีทางจะได้ผล หลวงพ่อชาท่านเปรียบเทียบเหมือนกับชาวบ้านผู้ไปตกปลาในหนองที่
ไม่มีปลา ขยันหมั่นเพียรอย่างไรก็ไม่มีทางได้ปลามา เราจะทำสิ่งใดเราต้องฉลาดที่จะรู้ว่า
คุ้มค่าไหมกับการใช้เวลา ใช้กำลังกาย กำลังใจ ในการดำเนินในสิ่งนั้นๆ ฉะนั้นไม่ควรอด
ทนในสิ่งที่ไม่ควรอดทน แต่อดทนในสิ่งที่ควรอดทน ที่ควรละ เราก็ต้องละถูกจุดของมัน ก็
ต้องมีเทคนิค ต้องมีวิธีในการละจนได้

ในการบำเพ็ญก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดเป็น
บาปอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเกิดความไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือว่ารู้ผิดเข้าใจผิดในเรื่องบุญและบาป
เรื่องกุศล อกุศล มันจะทำให้เราอาจจะแสวงหาสิ่งผิดๆบางสิ่งบางอย่าง ด้วยเชื่อว่าเป็น
บุญ หรือว่าอาจจะเกิดความละอายใจ ความเกรงกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อว่าบาป ทั้ง
ที่จริงเป็นบุญ ดังนั้นจิตใจของเราต้องระมัดระวังให้มาก เพราะถ้าตั้งต้นผิดแล้ว มันจะผิด
ไปอย่างไม่รู้ตัว ถ้าคนรู้บาปบุญคุณโทษ พลั้งพลาดหรือผิดพลาดบ้าง ก็ยังพอมี หิริโอตัป
ปะเป็นเครื่องห้ามอยู่บ้าง

การปรับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องที่เป็นเพื่อนทางของชีวิต เป็นงาน
สำคัญที่เราไม่ควรจะละเลย สิ่งที่เรามักจะไม่ค่อยรับรู้รับทราบนั้นก็คือ ความกะล่อนของ
จิตใจตัวเอง จิตใจเรามันกลิ้ง กลับกลอก ตลบตะแลงมันเชื่อไม่ได้เลย แต่นอกจากการ
หลอกหลวง ในระดับที่พอจะจับได้บางครั้งบางคราวเมื่อมีสติขึ้นมา มีหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่มันละเอียด ที่ยากจะสังเกตเห็น อาตมาจะยกตัวอย่างว่า ที่เมืองนอกมีการวิจัยอย่างหนึ่ง
ในซุปเปอร์มาเก็ต ที่เขาขายเหล้าไวน์ ส่วนหนึ่งเป็นไวน์เยอรมัน ส่วนหนึ่งเป็นไวท์
ฝรั่งเศส วันหนึ่งเขาเปิดเพลงภาษาฝรั่งเศส อีกวันหนึ่งเปิดเพลงเยอรมัน วันที่เปิดเพลง
ฝรั่งเศสขายเหล้าไวน์ฝรั่งเศส 40 ขวด ขายเหล้าไวน์เยอรมัน 10 กว่าขวด วันไหนเปิด
เพลงเยอรมัน เหล้าไวน์ฝรั่งเศสขายไม่ค่อยออก ได้ 10 ขวดเอง เหล้าไวน์เยอรมันขายดี
เมื่อผู้ซื้อเหล้าไวน์แล้ว ถูกสัมภาษณ์ คิดอย่างไรถึงซื้ออย่างนี้ เขาไม่รู้เลยว่าเพลงมีผล มี
อิทธิพลของจิตใจ หลายสิ่งหลายอย่างที่มีผลต่อจิตใจของเรา เป็นโดยอัตโนมัติ เป็นโดย
เราไม่รู้ตัว

เราชอบถือว่าเราเป็นผู้มีเหตุมีผล แต่แท้ที่จริงแล้วเรามีน้อยกว่าที่คิด ที่อเมริกาเขาทำการ
วิจัยเรื่องการเมือง เขาดูรูปของนักการเมือง ครั้งแรก วินาทีแรกเกิดความรู้สึกอย่างไร สิ่ง
นั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะเลือกตั้งคนนั้นหรือไม่ ยังไม่ทราบนโยบายของพรรค ไม่
ทราบว่าคนนั้นเป็นยังไง แค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น วินาทีแรกที่เห็นรูป นั้นจะเป็นตัวปัจจัยที่
สำคัญที่สุด ที่จะกำหนดว่าเลือกหรือไม่เลือก

เรื่องราวเหล่านี้ซึ่งมีมากมาย วันนี้ก็ยกตัวอย่างเพียงสองสามข้อ เพียงเพื่อพิสูจน์ว่าจิตใจ
ของเราไม่เหมือนที่เราคิด เราเองก็ไม่เหมือนที่เราคิด ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เหมือนที่เราคิด
เลย เราดำเนินชีวิตอย่างงมงาย งมงายในเรื่องของกาย งมงายในเรื่องของใจ แล้วก็ไม่
ค่อยจะรู้เท่าทันชีวิตของตน เมื่อเราไม่รู้เท่าทัน เราก็เป็นเหยื่อของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรา
ไม่ค่อยเป็นอิสระภายในเลย แต่เนื่องจากว่าเราไปโน่นไปนี่ได้ ทำนั่นทำนี่ได้ ซื้อสิ่งนั้นสิ่ง
นี้ได้ จะไปบริโภค จะไปซื้อของมีให้เลือกเยอะ เราก็เลยหลงว่าตัวเองเป็นตัวของตัว แต่ถ้า
เรากล้า เราสนใจมาดูด้านในหน่อย จะสังเกตเห็นว่าไม่เหมือนที่เราคิดเลย จิตใจของเรา
อยู่ใต้อิทธิพลของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อยู่ตลอดเวลา รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ตราบใดที่
จิตใจของเราไม่มีหลัก ไม่มีแก่น ไม่มีวิหารธรรม คือใจไม่มีที่อยู่อาศัยที่สม่ำเสมอปกติ
สุขอยู่ในปัจจุบันแล้ว เรื่องความสุข แล้วมันมียาก ความสุขที่ได้นั้นจะเป็นความสุขชั่ว
คราว และจะเป็นความสุขที่เกิดจากการกระตุ้นประสาทต่างๆ ซึ่งเป็นของสติอย่างหนึ่ง

ดังนั้นการหันมาดูจิตใจของตัวเองนี้มันสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่ให้เวลาในการดูจิตใจ
แล้ว มันจะประมาทอยู่เรื่อย นี้ก็เป็นปัญหา อย่างเช่นการตั้งงานปฏิบัติธรรม โดยการชวน
คนเข้าวัด ส่วนมากคนที่เคยเข้าก็ดีบ้างอยู่แล้ว แต่คนที่ควรเข้ามากที่สุดคือคนที่ไม่เคย
เข้า ที่โรงเรียนทอสีอาตมาเป็นประธานที่ปรึกษา เมื่อหลายปีที่แล้ว มีการประชุมเรื่องการ
ปฏิบัติธรรมของครู ว่าจะตั้งระเบียบเรื่องการปฏิบัติธรรมอย่างไร ครูชั้นผู้ใหญ่อยากให้จัด
ปฏิบัติธรรมปีละครั้งนั้นเป็นข้อบังคับ ส่วนครูชั้นผู้น้อยส่วนมากคิดว่าไม่ควรจะบังคับเรื่อง
ศาสนา เรื่องการปฏิบัติ ควรแล้วแต่ความสมัครใจ ฝ่ายผู้ที่ต้องการให้เป็นข้อบังคับ ก็มีเหตุ
ว่าถ้าไม่บังคับผู้ที่ควรจะเข้าก็จะไม่เข้า ครูในโรงเรียนจะขาดความสามัคคี ส่วนผู้น้อยก็ถือ
ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรมีการบังคับ สุดท้ายก็ให้อาตมาเป็นผู้ชี้ขาด เป็นผู้
ตัดสินใจ อาตมาก็เลยบอกว่าทางพุทธศาสนาเรานี้ เราต้องถือทางสายกลาง เราไม่ควรจะ
บังคับทุกคนให้เข้าปฏิบัติธรรม เราจะบังคับเฉพาะครูที่ไม่สมัครใจเท่านั้น ก็เลยเป็นที่ตกลง
ในโรงเรียน คือการปฏิบัติมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ ถ้ายังไม่เคยปฏิบัติจะกลัว จะเครียด จะถือว่าไม่
สมควร แต่พอถูกบังคับแล้ว เกือบทุกคนที่ถูกบังคับจะขอบคุณที่ได้ถูกบังคับ เพราะเป็น
โอกาสที่จะได้รู้ได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เหมือนกับเป็นการเปลี่ยนจากสองมิติเป็น
สามมิติ เห็นของเดิมแต่ว่าเห็นมุมมองใหม่ เหมือนกับสูงขึ้นมาหน่อย ถึงจะไม่สงบระงับ
อะไรมาก อย่างน้อยก็ได้มองจิตใจ และจะเริ่มเข้าใจในเรื่องกิเลส

มีเล่าเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ตอนอาตมายังไม่ได้มาเมืองไทย ยังเป็นฆราวาสอยู่ อยู่ประเทศ
อินเดีย อยู่เทือกเขาทางปักษ์ใต้ของอินเดีย แล้วก็เดินในเขา ก็ไปพักอยู่ที่หมู่บ้านของชาว
เขา อยู่ในที่ห่างไกลความเจริญมาก เขาไม่เคยเห็นฝรั่งมาก่อน เขาตื่นเต้นมาก 20-30
กว่าหลังคาเรือน เขาแย่งกันอยากจะให้อาตมาไปค้างในบ้านเขา เกือบจะเป็นเรื่องเหมือน
กัน สุดท้ายอาตมาต้องไปทานข้าวทุกบ้าน ทานบ้านละช้อนๆ เหมือนเป็นพระเลย ที่นี้ตอน
เย็นอาตมาจะไปอาบน้ำในห้วย เดินออกไปแล้ว ได้ยินเสียงข้างหลัง โอ้โฮ มีเด็กตามหลัง
ตั้ง 20-30 กว่าคน ไปดูอาตมาอาบน้ำ ไปถึงที่อาบน้ำแล้ว อาตมาก็เริ่มถู ถูตัว เด็กก็มอง
ตาโต มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก อาตมาก็ยื่นสบู่ให้เขา เขาถูสบู่ เขาร้องกรี๊ดเลย ไม่น่า
เชื่อ ผิวหนังเปลี่ยนสี ขาวขึ้นเยอะเลย เขานึกว่าเป็นไสยศาสตร์อะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะ
ในหมู่บ้านนั้นเขาไม่รู้จักสบู่ ไม่เคยเห็น แล้วเขาคิดว่าสีนี้เป็นสีธรรมชาติของเขา แต่ที่จริง
ไม่ใช่ มันเป็นเพราะไม่เคยถูสบู่ อาตมาเลยเป็นที่นิยมของเด็กๆ มากเลยตอนนั้น สบู่ วัน
สองวันก็หมดเลย ทุกคนขอใช้ สนใจไสยศาสตร์ของฝรั่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๒ เชิญอ่านต่อนะครับ

ตอนหลังอาตมาก็คิดว่าคนส่วนมาก ก็เหมือนกับเด็กชาวเขาในอินเดีย ฉันก็เป็นอย่างนี้
แหละ เป็นตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นี่ก็คือปกติของฉัน ปกติของฉันเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้จักสบู่
ของพระพุทธเจ้า ถูสบู่ของพระพุทธเจ้ามันสวย มันสะอาดกว่านี้เยอะเลย สิ่งที่เราถือว่ามัน
ปกติ จริงๆมันไม่ปกติ แต่เราไม่มีเครื่องเปรียบเทียบ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธ
ศาสนา ก็เพื่อจะรู้ เพื่อจะเห็นความจริงของชีวิต ไม่ใช่เรื่องจะยัดเยียดคำสอน บังคับให้
เชื่อ ถึงจะบังคับก็แค่บังคับให้ลอง บังคับให้ดู บังคับให้สนใจศึกษาความจริง ตอนนั้น
อาตมาบวช ครอบครัวของอาตมา ไม่ค่อยสนใจเรื่องศาสนาเท่าไหร่ ก็มีคนหนึ่งเป็นน้า รู้
ว่าอาตมาจะออกบวช พูดว่าไม่เคยรู้ว่าหลานสนใจเรื่องศาสนา อาตมาบอก ฉันก็ไม่เคยรู้
เหมือนกัน คืออาตมาไม่เคยสนใจเรื่องศาสนา เห็นว่า หนึ่ง ไม่จำเป็น แล้วก็ สอง ฟังแล้วก็
รู้สึกเรื่องราวพิลึกๆ ไม่มีเหตุผล อาตมาคิดว่าสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่แสวงหาในชีวิต คงไม่ได้
ด้วยคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่ง พอมาเจอพระพุทธศาสนา แทนที่จะมีความรู้สึกว่าพิลึกและไม่จำ
เป็น กลับรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องลอง จะต้องปฏิบัติ

เรื่องของพระพุทธศาสนาอยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่ความชั่ว จึงเป็นศาสนาสากล สากล
ถือว่าใครจะละบาปบำเพ็ญกุศล ทำความดีความงามให้เกิดขึ้น ไม่ว่านับถือศาสนา ไม่ว่า
เชื่ออะไรก็ตาม ก็สามารถไปที่ดี สามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า
เป็นพุทธ กับเชื่อในคัมภีร์ของพุทธ มันอยู่ที่การกระทำ เป็นศาสนาแห่งการกระทำ ดังนั้น
การประพฤติปฏิบัติของเรา จึงเริ่มต้นด้วยความเชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ได้เชื่อสิ่งนอกตัว เชื่อ
ว่าตัวเองสามารถลดความทุกข์ในชีวิตของตนได้ สามารถเพิ่มความสุขในชีวิตได้ เพราะ
ความทุกข์และความสุข ไม่ใช่การให้รางวัล หรือการลงโทษจากเทพใดเทพหนึ่ง ไม่ใช่ว่า
ชีวิตของเราไปตามดวง ไปตามชะตากรรม มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และคนเรา
สามารถมีศักยภาพพอ ที่จะลดสิ่งที่ทำให้จิตใจเราทุกข์เดือดร้อนได้ สามารถสร้างสิ่งที่นำ
ไปสู่ความสุขได้ ถ้าเราเชื่ออะไรให้เชื่อในความสามารถของตัวเอง ถ้าเชื่อแล้วก็ต้องลอง
ทำดู เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยปรัชญา หรืออุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่ง แต่เราเรียนรู้จากการ
สังเกตชีวิตจริงของเรา

อย่างเช่นเรื่องง่ายๆ เรื่องความทุกข์ ความสุข น่าจะเห็นได้ว่าทุกข์กาย ทุกข์ใจต่างกัน ต่าง
กันตรงไหน สมมุตว่ามีใครมาตบหน้าเรา ตบหน้าแล้วเจ็บตรงไหน เจ็บที่หน้า ผู้ชายก็เจ็บ
ผู้หญิงก็เจ็บ คนไทยก็เจ็บ คนอังกฤษก็เจ็บ ปุถุชนก็เจ็บ พระอรหันต์ก็เจ็บ เหมือนกันหมด
เพราะธรรมชาติของร่างกาย ของคนเป็นเช่นนั้นเอง อันนี้เรื่องทุกข์กาย

แต่เรื่องทุกข์ใจไม่เหมือนกัน สมมุติว่าเราถูกด่า แล้วมีคนมาดูถูกดูหมิ่น บางคนอาจจะทุกข์
มาก บางคนอาจจะทุกข์น้อย บางคนอาจจะไม่ทุกข์เลย มันมีความแตกต่างกันใช่ไหม
ปุถุชนอาจจะทุกข์มาก พระอริยะเจ้าไม่ทุกข์เลย มีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่เป็นตัวกำหนดว่า
ทุกข์หรือไม่ทุกข์ อย่างเช่นคนที่ดูถูกเรา เป็นคนที่เราเคารพนับถือไหม เป็นคนที่พูดอะไรมี
น้ำหนักกับชีวิตเราหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ศึกษาในเรื่องความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิต
ใจของเราเองว่า เรื่องหนึ่งอาจจะทำให้เราทุกข์มากในเวลาหนึ่ง อีกเวลาหนึ่งอาจจะไม่
ทุกข์เลย เช้านี้บางทีอารมณ์หงุดหงิด รำคาญอยู่แล้ว ใครพูดอะไรทำอะไรก็พร้อมที่จะเป็น
ทุกข์มาก อีกเวลาหนึ่ง จิตใจของเราปกติ เมื่อมีการกระทบบางอย่างก็ไม่ค่อยกระเทือน
เฉยๆ อันนี้จากการสังเกตเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ก็นำไปสู่ผลสรุปว่า จิตใจเราจะเป็น
ทุกข์ไม่ใช่เพราะสิ่งนอกตัว สิ่งนอกตัวนั้นก็เป็นแค่ปัจจัย แต่ตัวเหตุนั้นอยู่ที่เรา มันต้องมี
ส่วนหนึ่งมาจากเรา จึงจะสำเร็จเป็นทุกข์ได้ ถ้าเราชอบพูดว่าคนนั้นเขาทำให้ฉันเสียใจ
มาก ทำให้ฉันผิดหวัง ทำให้ฉันโกรธ นี้เป็นการใช้ภาษาอย่างสะเพร่า ไม่ตรงตามความเป็น
จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งภายในจิตใจของเราผสม
โรง อันที่จริงแล้วจิตใจของเรามันมีส่วน มีบทบาทมากกว่าสิ่งที่มาจากข้างนอกด้วยซ้ำ
ไป เราอาจจะเปรียบเทียบเหมือนกับว่า สิ่งนอกตัวเรานี่เป็นห่วง ไม่ใช่ว่าตัวเราเป็นห่วง จิต
ใจของเรานี่เป็นตะขอ คราวนี้เรามาเจอห่วง ห่วงใหญ่ แต่ห่วงก็เป็นแค่ห่วง ห่วงไม่มีความ
หมายถ้าไม่มีตะขอ มาชัก มาเกี่ยว ถ้าเราตัดตัวตะขอออกจากจิตใจ เราเจออะไรก็เป็นแค่
เจอห่วงเฉยๆ ไม่มีความหมาย พระอริยะเจ้าเป็นผู้จิตใจไม่มีตะขอ คำพูดคนเขาทำให้เรา
โกรธไหม ไม่นะ คำพูดเขาเป็นห่วงเฉยๆ ถ้าจิตใจเราไม่มีตะขอ ก็สักแต่ว่าคำพูดเฉยๆ แค่
นั้นเอง ตรงนี้ที่เราจะเห็นความสุขเกิดขึ้นอย่างมาก เพราะเราเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

ทุกวันนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กดดันมาก ทำให้เราเครียด ทำให้เราวุ่นวาย ทำให้เรานั้น....
เหมือนกับดูถูกตัวเอง ดูถูกตัวเองว่าเราเป็นเหยื่อ อะไรเป็นยังไงเราก็เป็นอย่างนั้น มันเป็น
การไม่ให้เกียรติกับตัวเอง แล้วมันเป็นการมองข้ามความจริงว่า สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ทำให้
เราเครียด ไม่ได้ทำให้เรากังวล ไม่ได้ทำให้เราหวาดระแวง ไม่ได้ทำให้เราซึมเศร้า อย่าง
มากสิ่งเหล่านั้นก็แค่ชวนให้เครียด ชวนให้กังวล ชวนนั่นชวนนี่ แต่เรามีศักยภาพ มีสติที่จะ
ไม่รับการชวนเชิญนั้นได้ สิ่งนั้นก็เป็นแค่ห่วงที่แขวนไว้ต่อหน้าเรา แต่เราไม่ต้องไปชักไว้
ไม่ไปเกี่ยวไว้ก็ได้ มันอยู่ที่เรา ทีนี้เราจะเห็นว่า ความเป็นอิสระของเราเป็นสิ่งที่ไม่เหลือ
วิสัย เป็นสิ่งที่เป็นได้ เราจะมีความรู้สึก ท้าทายคำพูดและการกระทำของคนอื่น สิ่งแวด
ล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ท้าทายให้เราเป็นทุกข์ ทำอย่างไรเราจะไม่เป็นทุกข์กับมัน
แต่พอเรามาดูจิตใจอย่างละเอียดหน่อย เราจะปรับความคิดปรับความเห็นหลายประการ
ภาษาธรรมะว่า ทำทิฐิให้ตรง ทำทิฐิให้ตรงไม่ใช่บังคับให้เชื่อ แต่มันเป็นการปรับความคิด
ปรับความเข้าใจ ปรับค่านิยม ปรับความเข้าใจในสิ่งที่ควร ไม่ควร ตามข้อมูลที่เรารับรู้อยู่
ในเวลานั้น

อาตมาจึงชอบบอกว่าปัจจุบันขณะเป็นห้องเรียน การอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็น
เงื่อนไข เป็นเหตุให้เราเรียนรู้เรื่องทุกข์ เรื่องสุขอย่างเป็นประสบการณ์ตรง ในเมื่อเรา
สามารถอยู่ในปัจจุบัน อยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เราก็เรียนรู้ นี่ทุกข์นะ นี่สุข ถ้าทำอย่าง
นี้ พูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ความสุขก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ถ้าคิดอย่างนี้ตั้งอย่างนี้ ความทุกข์ก็เกิด
ขึ้น หรือความทุกข์ดับไป เกิดความสุข ฯลฯ เราจะฉลาด ฉลาดในวิถีจิต ฉลาดในการรู้จัก
ว่าสิ่งไหนควรจะอดทน สิ่งไหนควรจะปล่อยวาง มันไม่มีสูตรตายตัวที่เราจะท่องได้ แต่จิต
ใจที่สามารถอยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง จะมีความยืดหยุ่น พร้อมที่จะทำ จะพูด จะคิดใน
สิ่งที่เหมาะสม สิ่งที่สมควร

จิตใจเรามันมีอำนาจมาก เพราะสิ่งหนึ่งที่จิตใจทำ เพื่อเป็นการสร้างกรอบของข้อมูลที่เรา
รับมาจาก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต่างๆ เราสร้างกรอบไว้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเรารู้เท่าทัน
กรอบของตนแล้ว เปลี่ยนกรอบเสียใหม่ ก็สามารถพลิกความรู้สึกได้ ถ้าเราพลิกไม่ได้ ก็จะ
เป็นเหยื่อของสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ระวัง กิเลสมะรุมมะตุ้มเข้ามาครอบงำจิตใจ ไม่มีทางออก
แล้วก็รู้สึกเหมือนกับสิ้นหวัง สิ้นหวังก็ขาดสตินั่นเอง กรอบคืออะไร เป็นอย่างไร หลวงพ่อ
ชาท่านเคย เปรียบเทียบอุปมาอย่างนี้ สมมุติว่าเราเดินตามถนน สวนทางกับคนๆ หนึ่ง เขา
เห็นหน้าแล้วก็ด่า ใช้ภาษาหยาบคายเหลือเกิน ด่าๆ เราก็รู้สึกทุกข์ใจ สะเทือนใจ แล้วมี
เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า อย่าไปถือสาเลย คนนั้นเป็นโรคจิต พอเรารู้ว่าคนนั้นเป็นโรคจิตแล้ว
ความรู้สึกหายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เกือบจะไม่มีเหลือ ทั้งๆ ที่เขากำลังด่าอยู่ กำลัง
แสดงอาการเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ความหมายที่เราให้กับสิ่งนั้น กรอบ
ความหมายที่เราสร้างไว้ เข้าใจสิ่งนั้นเปลี่ยนไป สิ่งนั้นก็เลยหมดฤทธิ์ ทำให้จิตใจของเรา
ปกติได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆชัดๆในชีวิตประจำวัน

ศิลปะอย่างหนึ่งต้องการจะรู้เท่าทันว่า เรากำลังสร้าง กำลังมองเรื่องผ่านกรอบอะไรบ้าง
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทุกข์เพราะปรารถนาใช่ไหม ฉะนั้นเราจำคำนี้ไว้ ทุกครั้งที่จิตใจ
เราเริ่มเป็นทุกข์ ให้รู้ว่าถ้าไม่มีตัณหาเป็นตะขออยู่ในใจ ความทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ หลังจาก
นั้นนำไปสู่การดู การสืบสาวหาตัวตัณหาในขณะนั้น ซึ่งเป็นตัววาดกรอบให้เรามีความ
อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ต้องมีข้อใดข้อหนึ่งอยู่ใน
ขณะนั้น จึงเป็นทุกข์ได้

เรามักจะเป็นทุกข์กับใครมากที่สุด ทุกข์กับคนรอบข้าง เพราะว่าอะไร เพราะการกระทำของ
เขามีความหมาย แล้วเรามีความคาดหวัง กรอบที่เรามอง ภายในใจที่เราปราถนาจากคน
รอบข้าง เราควรจะ เขาน่าจะ สามีของเราน่าจะ เมียของเราก็น่าจะ ลูกของเราก็ควรจะ ลูก
ของเราก็ไม่ควรจะ นี่คือกรอบ ที่เราจะแปลความหมายของสิ่งที่เขาทำ ของสิ่งที่เขาพูด นี้
คือตัวตัณหา คือไม่ใช่ว่าทุกข์เพราะเขาพูดอย่างนั้น ทุกข์เพราะไม่อยากให้เขาพูดอย่าง
นั้น ทุกข์เพราะอยากให้เขาทำอย่างอื่น ไม่อยากให้เขาทำอย่างนี้ นี้คือตะขอ นี้คือเหตุให้
เกิดทุกข์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นนักปฏิบัติแล้ว แล้วต้องเป็นคนทำใจ บางคนก็เข้า
ใจผิดอย่างนั้น

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีงูไปฟังเทศน์พระ งูก็คงเข้าใจภาษาคน พูดก็พูดไปบ้างแบบงูๆ
ปลาๆ ฟังพระท่านเทศน์เรื่องศีล เรื่องการไม่เบียดเบียน ก็เกิดความเข้าใจ เกิดความ
ศรัทธา ไปกราบพระ บอกว่าต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจะไม่ฉกใคร จะไม่กัดใคร ข้าพเจ้าจะ
เมตตาคน พระก็อนุโมทนาสาธุ และหลังจากนั้นงูตัวนั้นก็พยายามสำรวม พยายามไม่ฉก
ใคร เด็กๆ ในหมู่บ้านทราบว่างูอสรพิษตัวนี้ไม่กัดใครแล้ว ก็เลยชอบไปเล่น ไปรังแก ไปจับ
เหวี่ยงๆ ไปทรมานงูมาก งูก็อดทน พยายามแผ่เมตตาให้คนที่ทำอย่างนั้น วันหนึ่งพระ
ธุดงค์กลับมาที่ป่าช้าแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง ไปเยี่ยมงู ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ไงเจ้างู โอ๊ย ผมแย่
ครับ ผมมีศรัทธา ผมพยายามไม่กัดใคร ไม่ทำร้ายใคร แต่พวกเด็กในหมู่บ้านเขามาทำร้าย
ผมอยู่เรื่อย พระธุดงค์บอกงูเข้าใจผิดนะ อาตมาห้ามไม่ให้ฉก ไม่ให้กัด แต่เรื่องขู่ฟ่อไม่
ห้ามนะ ฟ่อได้ คนเราเป็นคนที่ไม่กัดใคร ไม่เบียดเบียนใคร แต่บางครั้งฟ่อได้ ไม่ใช่ว่า
ปล่อยให้เขาเอารัดเอาเปรียบ อย่างนั้นก็ไม่ถูกนะ บางทีปล่อยให้เขาเอารัดเอาเปรียบเรา
แล้ว เราก็บาปด้วย บาปเพราะอะไร ก็เราส่งเสริมให้เขาทำไม่ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอน ๓ ตอนสุดท้ายครับ

เราพยายามอยู่ในปัจจุบันเพื่อเรียนรู้ เรียนรู้อะไร เรียนรู้ว่าความทุกข์เกิดยังไง ดับยังไง
ความสุขเกิดยังไง ความสุขดับยังไง แล้วจะรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องที่อ่าน
หนังสือ อ่านปรัชญาไม่ค่อยเข้าใจ โอ้..มันไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องแค่นี้เอง เรื่องการย่อย
อาหาร ถ้าเราดูตำราหมอ เรื่องย่อยอาหาร โอ้โห..หลายสิบหน้า อ่านยาก เข้าใจยาก แต่
ทำไมเราย่อยอาหารได้ทุกวัน ถ้าต้องอ่านหนังสือก่อนนี่ลำบากนะ โชคดีไม่ต้องอ่าน
เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าคนเราสนใจ อยู่ในปัจจุบัน เราก็จะป้องกันความทุกข์ได้ ก็
ส่งเสริมความสุขที่ดีงามได้ บางคนนี่กลัวความสุขก็มีนะ นั่งสมาธิกลัว กลัวจะติดสุข สุข
ทางโลกนี่ไม่กลัวเลย แต่พอนั่งสมาธิกลัวติดสุขไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ คือความสุขในสมาธิ
เป็นทางผ่าน ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นมาก แต่อย่าปฏิเสธเดี๋ยวจะไปไม่ถึงหัวลำโพง จะไป
อยุธยา แต่ไปไม่ถึงหัวลำโพงได้ไง มันเป็นทางผ่าน ก็ต้องผ่าน ถ้าเรามีสัมมาทิฐิ สุขก็รู้ว่า
สุข เป็นส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์หนึ่งในระหว่างการเดินทาง รู้และเข้าใจขอบเขตของมัน
ที่สำคัญก็คือผู้ที่ได้ความสุขภายในแล้ว จะเป็นผู้ที่ไม่ดิ้นรนวุ่นวาย ในการที่จะแสวงหา
ความสุขนอกตัว คนที่ละอบายมุขไม่ได้ เพราะกลัวจะไม่มีอะไร เราจะละในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็
ต้องมีสิ่งที่ดีกว่าทดแทน ผู้ที่ไม่มีความสุขภายใน ไม่สงบแล้วจะเลิก จะละ ในสิ่งเหลว
ไหล สิ่งไร้ค่านอกตัวได้ยาก การพัฒนาชีวิตไปสู่ความสุขที่แท้จริง เราก็ต้องการความสุขที่
เป็นกุศลเสียก่อน ความสุขที่เป็นกุศลนั้นมันจะนำไปสู่ความสุขที่สูงกว่า ระหว่างการเดิน
ทางก็เรียนรู้

ครูบาอาจารย์สอนให้เรามองทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่แน่นอน ชอบก็ไม่แน่ ไม่ชอบก็ไม่แน่
รักก็ไม่แน่ ชังก็ไม่แน่ สุขก็ไม่แน่ ทุกข์ก็ไม่แน่ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ไม่ปฏิเสธอะไรง่ายๆ เรียน
รู้คอยดูไปๆ เรียนรู้อย่างใจเย็น เราชอบด่วนสรุป ครั้งหนึ่งมีพระธุดงค์รูปหนึ่งต้องการเจริญ
เมตตาภาวนา ได้ข่าวหลวงปู่องค์หนึ่งอยู่ในวัดในที่อัตคัดกันดารอยู่ในที่ห่างไกลความ
เจริญ ไปยาก ท่านใจสู้ท่านเดินธุดงค์ไปใช้เวลาหลายวันเหลือเกิน สุดท้ายท่านก็ถึงวัด
เดินเข้าไปในเขตวัด ลูกวัดออกไปรับ พาไปที่กุฏิให้พักผ่อนให้เก็บบริขารเสร็จแล้ว บอกว่า
จะนิมนต์ไปกราบคุณปู่ พระท่านขึ้นบนกุฏิเปิดหน้าต่าง มองออกไปข้างล่าง ก็เห็นคุณปู่พอ
ดี คุณปู่อยู่ชายป่า โอ้..นี่คือหลวงปู่ผู้มีเมตตาธรรม รู้สึกซาบซึ้ง เลื่อมใส พอดีมีกวางตัว
หนึ่งออกมาจากป่า หน้าตาของหลวงปู่ผู้เต็มอิ่มด้วยเมตตาธรรมเปลี่ยน ท่านยกไม้เท้า
ของท่านไปตีกวางอย่างหนักเลย กวางก็วิ่งหนีเข้าป่า พระเห็นแล้วหมดศรัทธาเลย โอ๊ย..
ถูกหลอก เดินทางมาลำบากลำบนแทบตาย ได้ข่าวว่าหลวงปู่องค์นี้มีเมตตา เราจะได้เจริญ
เมตตาภาวนา ไม่เอาแล้ว เก็บบริขารออกจากวัดเลย ไปที่ไหนท่านก็บอก อย่าไปเชื่อเลย
พระองค์นั้นที่บอกมีเมตตานะ ไม่ใช่หรอก ผมไปเอง ผมไม่ได้นินทาท่านนะ ไม่ใช่ฟังเขา
มา เห็นกับตาตัวเอง เห็นชัดๆ เลยนะ ท่านทรมานสัตว์ ท่านตีสัตว์ ผมเห็นแล้วตกใจ ไป
ไหนก็พูดอย่างนั้น ที่วัดหลวงปู่ก็ถามว่าพระธุดงค์องค์นั้นอยู่ไหน ไหนว่าจะมากราบ หรือ
ไปแล้ว หลวงปู่รู้แล้วเห็นพระองค์หนึ่งมองจากข้างบน น่ากลัวเข้าใจผิดมั้ง ท่านก็ยิ้ม คือ
อย่างนี้ท่านก็เล่าให้ลูกวัดฟังว่าทุกวันนี้พระเรานะชอบทิ้งเศษอาหารที่ชายป่า กวางก็ชอบ
มากิน กวางมากินแล้ว เริ่มจะคุ้นเคยกับคน ก็เข้าไปแถวหมู่บ้าน ถูกชาวบ้านยิงตายมา
หลายตัวแล้ว เข้าหม้อชาวบ้านไม่รู้กี่ตัวแล้ว ก็มีวิธีแก้วิธีเดียวต้องทำให้กวางกลัวคน หลวง
ปู่ต้องตีๆ ให้กลัวคน จะได้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของคน เห็นไหม นี่คือเมตตาของ
หลวงปู่ เมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา มองภาพใหญ่ ภาพรวม คือในกระบวนการที่จะทำสิ่ง
ที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ที่จะช่วยคนอื่น สงสารคนอื่น ในบางช่วงอาจจะทำในสิ่งที่คนอื่น
เขามอง ไม่น่าทำเลย แต่ทำด้วยเมตตาเหมือนกัน อันนี้ก็คือข้อคิดข้อหนึ่ง ข้อคิดข้อที่
สองคือพระธุดงค์ท่านเห็นกับตาใช่ไหม ไม่ใช่ว่าฟังจากคนอื่น แต่ตาเรานี่มันเชื่อไม่ค่อย
ได้เหมือนกัน เพราะถ้าเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานาน เห็นเป็นช่วงหนึ่ง วาระหนึ่งแล้วสรุปจาก
ประสบการณ์ตรงของเราแล้วไม่ถูกก็ได้ มันไม่แน่นอน

เรื่องการปฏิบัติจึงขอให้เราได้ดูกาย ดูใจ เรียนรู้จากประสบการณ์ เวลาทุกข์อย่าไปเลี่ยงหนี
ความทุกข์ทันที โดยเฉพาะทุกข์ทางใจ เพราะทุกข์ทางใจกำลังบอก กำลังสอนเราว่าคิด
ผิดแล้ว ตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ตะขอกำลังจะชักห่วงแล้ว มาดูตรงจุดนั้น เราไม่ได้แก้ที่ทุกข์
ละทุกข์ไม่ได้ ทุกข์เราก็กำหนดรู้ สมุทัยสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่เราต้องละ แต่ต้องอยู่กับ
ทุกข์ก่อน ต้องเรียนรู้ ต้องไม่กลัวทุกข์ มันจึงจะได้รู้ว่าทุกข์มันเกิดอย่างไร เราจะได้แก้มัน
ถูก วันนี้ทุกข์เหลือเกิน ทุกข์ๆ บางคนเช่นคนที่เป็นโรคซึมเศร้า จริงเหรอ ทุกลมหายใจ
ไหม เวลากินข้าว ทุกข์ทุกคำที่กินไหม คนที่บอกว่าทุกข์ๆ หลายวันแล้ว หลายเดือนแล้ว
มองไม่ละเอียดไม่ถี่ถ้วนเท่าที่ควร ส่วนที่มีทุกข์ก็มี ไม่ทุกข์ก็มี เราก็พยายามลดส่วนที่เป็น
ทุกข์ เพิ่มส่วนที่เป็นสุข แต่ถ้าจิตใจของเราชอบคิดปรุงแต่งมันจะยาก ทุกข์ปัจจุบันก็มีอยู่
แล้ว ถ้าเผื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วจะแย่มาก แล้วสิ่งนั้นทุกข์กับอะไร ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
ในส่วนนี้เราตัดออกได้เลย จะเกิดหรือไม่เกิดเราไม่รู้ อาจจะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ ไม่แน่
นอน แต่เราทำสิ่งที่เราทำได้ในปัจจุบัน ถ้าสิ่งที่เป็นปัญหา มีสองอย่าง แก้ได้ก็แก้ไม่ได้ ถ้า
แก้ไม่ได้จะไปคิดทำไมใช่ไหม แก้ได้จะไปคิดทำไม ก็ค่อยๆ แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องคิดมาก
แก้ได้ก็ไม่ต้องคิดมาก ก็ทำตามเรื่องของมัน ถ้าเราไม่ดูจิตใจเราก็จะประมาท ว่าเออมี
เวลาๆ แต่พอทุกข์แล้วต้องการธรรมะแบบปฐมพยาบาล แต่เราควรจะทำตั้งแต่ตอนนี้
ตั้งแต่ยังไม่ทุกข์มาก มีกำลัง แต่เราชอบเบี้ยว ชอบทำอย่างอื่นมากกว่า โยมคนหนึ่งไปหา
พระ พระก็สอนเรื่องนี้บอกว่า ภาวนาทุกวันไหม เขาบอกว่า ก็เกือบจะทุกวันครับ พระก็
สาธุ อนุโมทนา ครับวันจันทร์ผมก็เกือบจะภาวนาครับ วันอังคารผมก็เกือบจะภาวนาครับ
ผมเกือบจะทุกวัน อย่างนี้ก็ไม่ได้ผลนะ เกือบจะได้ผลแต่ไม่ได้ผล การภาวนาบทสวดของ
คนที่ไม่ปฏิบัติ จำเป็นไหม ไม่เห็นจำเป็น ผมไม่ได้เบียดเบียนใคร ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือด
ร้อน อะไรแบบนี้ เป็นบทสวดฟังบ่อยๆ ไม่ได้จำเป็นต้องตื่นแต่เช้า ต้องทรมานนั่งสมาธิ
เดินจงกรม ไม่จำเป็น ไม่ทำก็ไม่ตายหรอก อาตมาก็อุปมาอย่างนี้ สมมุติว่ามีคนตีกอล์ฟ
แถวบ้าน แล้วมีผู้รู้เข้าไปคุยด้วยแล้วบอกว่าคุณนี่เก่งมาก คุณนี่มีแววมาก ถ้าคุณไปฝึกทุก
วันๆ นะ คุณสามารถเก่งเท่าไทเกอร์วู้ดได้ รับรอง คุณสามารถเป็นมหาเศรษฐีได้ ชื่อเสียง
โด่งดังทั่วโลกได้ แล้วถ้าสมมุติเขาตอบว่า จำเป็นหรอ ไม่เห็นจำเป็นต้องเก่งเท่าไทเกอร์วู้
ด ไม่จำเป็นต้องเป็นมหาเศรษฐี ผมเป็นแชมป์ตำบลแล้ว กรรมการ อบต. สู้ผมไม่ได้เลย
ผมเก่งที่สุดแถวนี้ มันผิดไหม มันชั่วไหม มันก็ไม่เสียหาย แต่มันเสียดาย จำเป็นไม่จำเป็น
แต่มันเสียดาย มันทำได้ ที่จริงแล้วคนเราก็ไม่ชอบความทุกข์แม้แต่เล็กน้อย ความสุขแม้
แต่เล็กน้อยก็เอา ทำให้เราไม่ได้ปรับชีวิตให้ตรงกับอุดมการณ์ของเรา ความต้องการอันแท้
จริงของชีวิต

พระพุทธเจ้าท่านว่า ความสุขกับความจริงอยู่ด้วยกัน นี่คือหลักคำสอนพระพุทธศาสนา
ต้องการความสุขค้นหาความความจริง ความสุขที่ไม่รับรู้ต่อความจริง หลับหูหลับตาต่อ
ความจริง เก็บกดความจริงบางประการ เป็นความสุขที่เราไว้ใจไม่ค่อยได้ จะหาความสุข
ไม่ใช่จะหาความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หาความจริง อยู่กับความจริง ความสุขมันก็เกิด
ขึ้นเอง ความสุขที่เป็นธรรมชาติ ทุกข์ก็เกิดมันก็เรื่องของมัน แล้วเราก็ค่อยฉลาด ค่อย
เรียนรู้ในการป้องกัน ความทุกข์ก็เกิดน้อยลง ฉลาดในการบริหารจัดการกับอารมณ์ เมื่อมัน
เกิดขึ้นแล้ว เราก็พร้อมที่จะจัดการให้ได้ ทุกข์ก็ทุกข์ไม่นาน ความเชื่อมั่นก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่
ต้องเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดความทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเรารู้ว่าอาวุธของเรา
เครื่องมือของเราพร้อมแล้ว พร้อมที่จะเรียนรู้ พร้อมที่จะปล่อยวาง การปล่อยวางนี้สำคัญ
ถ้าไม่ปล่อยวางนี่ก็ทุกข์นะ สังเกตไหม เหมือนเราจับเชือก จะชักคะเย่อ บางทีต้องถือไว้ให้
แน่นเหมือนกัน แต่พอถึงจุดหนึ่งไม่ไหวแล้ว ถ้าหากว่าเราไม่ปล่อยเชือก เชือกจะไหม้มือ
ถ้าเราฉลาดในเวลาดึงๆ เชือกเอาไว้ แต่มันดึงไม่อยู่แล้ว อย่าไปจับไว้ มันจะไหม้มือ ไม่
เกิดประโยชน์ รู้จักปล่อย ปล่อยในสิ่งที่ควรปล่อย ไม่ปล่อยในสิ่งที่ไม่ควรปล่อย นี่คือ
ศิลปะชีวิตของเรา เมื่อเราไม่ปฏิบัติบางทีเรารู้สึกอ้างว้าง รู้สึกเปล่าเปลี่ยว รู้สึกโดดเดี่ยว
เหมือนเราเป็นเรือลำเล็กๆ อยู่กลางมหาสมุทร มีพายุ มีอะไรก็รู้สึกแย่ แต่เราปฏิบัติแล้ว
ความรู้สึกเปลี่ยน ความรู้สึกว่าเราคือมหาสมุทร อารมณ์คือเรือ อันนี้คือกรอบ พอจิตใจ
สงบแล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้น โอ้..ที่จริงแล้วเราเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อันลึก อารมณ์ก็
แค่นี้เอง เป็นเรือลำเล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่กรอบมันเปลี่ยน ความรู้สึกเรา
เปลี่ยน จิตใจเราก็สม่ำเสมอเหมือนปกติ

วันนี้ก็ได้แสดงธรรมพอสมควร

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับ... :b8: :b8: :b8: ...เกิดปิติมากมายครับขณะที่อ่าน :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2009, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 16:30
โพสต์: 133

อายุ: 0
ที่อยู่: Uttaradit

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ
ขอให้เจริญในธรรมครับ คุณkaveebsc

.....................................................
" สติปัญญา เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าแก่ชีวิต มีคุณค่าอย่างเหลือที่จะประมาณ "


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร