วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 14:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
หลวงปู่ขาว กับ พระอาจารย์มั่น

.
บางครั้งหลวงปู่ขาวเกิดความสงสัยเรียนถามท่านอาจารย์ มั่นท่านยังดุเอา
โดยท่านว่าถามเอาตามความชอบใจของตนมิได้เล็งดูหลักธร รมคือความจริง
ควรจะเป็นอย่างไรบ้างความสงสัยที่เรียนถามนั้นมีว่า



ในครั้งพุทธกาลตามประวัติว่ามีผู้สำเร็จมรรคผลนิพพา นมากและรวดเร็วกว่าสมัยนี้
ซึ่งไม่ค่อยมีท่านผู้ใดสำเร็จกันแม้ไม่มากเหมือนครั้ งโน้นหากมีการสำเร็จได้ก็รู้สึกจะช้ากว่ากันมาก…



ท่านย้อนถามทันทีว่า

ท่านทราบได้อย่างไรว่าสมัยนี้ไม่ค่อยมีท่านผู้ได้สำเ ร็จมรรคผลกันแม้สำเร็จได้ก็ช้ากว่ากันมากดังนี้

ท่านเรียนตอบท่านว่า


ก็ไม่ค่อยได้ยินว่าใครสำเร็จเหมือนครั้งโน้นซึ่งเขีย นไว้ในตำราว่าสำเร็จกันครั้งละมากๆ
แต่ละครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดตลอดการบำเพ ็ญโดยลำพังในที่ต่างๆ
ก็ทราบว่าท่านสำเร็จโดยรวดเร็วและง่ายดายจริงๆน่าเพล ินใจด้วยผลที่ท่านได้รับ
แต่มาสมัยทุกวันนี้ทำแทบล้มแทบตายก็ไม่ค่อยปรากฏผลเท ่าที่ควรแก่เหตุบ้างเลย
อันเป็นสาเหตุให้ผู้บำเพ็ญท้อใจและอ่อนแอต่อความเพีย



ท่านอาจารย์มั่นถามท่านว่า

ครั้งโน้นในตำราท่านแสดงไว้ด้วยหรือว่าผู้บำเพ็ญล้วน เป็นผู้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
และง่ายดายทันใจทุกรายไป

หรือมีทั้งผู้ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าผู้ปฏิบัติลำ บากแต่รู้ได้เร็ว
ผู้ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้าและผู้ปฏิบัติสะดวกทั้งร ู้ได้เร็ว
อันเป็นไปตามประเภทของบุคคลที่มีภูมิอุปนิสัยวาสนายิ ่งหย่อนต่างกัน



หลวงปู่ขาวเรียนตอบว่า

มีแบ่งภาคไว้ต่างๆกันเหมือนกันมิได้มีแต่ผู้สำเร็จอย ่างรวดเร็วและง่ายดายอย่างเดียว
ส่วนผู้ปฏิบัติลำบากทั้งสำเร็จได้ช้าและปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็วก็มี
แต่รู้สึกผิกับสมัยทุกวันนี้อยู่มากแม้จะมีแบ่งประเภ ทบุคคลไว้ต่างกันเช่นเดียวกับสมัยนี้


ท่านอาจารย์อธิบายว่า

ข้อนี้ขึ้นอยู่กับผู้แนะนำถูกต้องแม่นยำผิดกันตลอดอำ นาจวาสนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสาวก
และพวกเราผิดกันอยู่มากจนเทียบกันไม่ได้อีกประการหนึ ่งเกี่ยวกับความสนใจในธรรมต่างกันมาก
สำหรับสมัยนี้กับสมัยพุทธกาลแม้พื้นเพนิสัยก็ผิดกันก ับครั้งนั้นมากเมื่ออะไรๆก็ผิดกัน
ผลจะให้เป็นเหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้เราไม่ต้องพูดเ รื่องผู้อื่นสมัยอื่นให้เยิ่นเย้อไปมาก
แม้ตัวเราเองยังแสดงความหยาบกระทบกระเทือนตัวเองอยู่ ตลอดเวลาทั้งที่เป็นนักบวชและนักปฏิบัติ
ซึ่งกำลังเข้าใจว่าตัวประกอบความเพียรอยู่เวลานั้น


ด้วยวิธีเดินจงกรมอยู่บ้างนั่งสมาธิภาวนาอยู่บ้างแต่ นั้นเป็นเพียงกิริยาแห่งความเพียรทางกาย
ส่วนใจมิได้เป็นความเพียรไปตามกิริยาเลย
มีแต่ความคิดสั่งสมกิเลสความกระเทือนใจอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่เข้าใจว่าตนกำลังทำความเพียรด้วยวิธีนั้นๆ
ดังนั้นผลจึงเป็นความกระทบกระเทือนใจโดยไม่เลือกกาลส ถานที่
แล้วก็มาเหมาเอาว่าตนทำความเพียรรอดตายไม่ได้รับผลเท ่าที่ควร
ความจริงตนเดินจงกรมนั่งสมาธิสั่งสมยาพิษทำลายตนโดยไ ม่รู้สึกตัวต่างหาก


มิได้ตรงตามความจริงตามหลักแห่งความเพียรเลย

ฉะนั้นครั้งพุทธกาลที่ท่านทำความเพียรด้วยความจริงจั งหวังพ้นทุกข์จริงๆ
กับสมัยที่พวกเราทำเล่นราวเด็กกับตุ๊กตาจึงนำมาเทียบ กันไม่ได้
ขืนเทียบไปมากเท่าไรยิ่งเป็นการขายกิเลสความไม่เป็นท ่าของตัวมากเพียงนั้น
ผมแม้เป็นคนในสมัยทำเล่นลวงๆตัวเองก็ไม่เห็นด้วยกับค ำพูดดูถูกศาสนาและดูถูกตัวเองดังที่ท่านว่ามานั้น


ถ้าท่านยังเห็นว่าตัวยังพอมีสารคุณอยู่บ้าง
ท่านลองทำตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้โดยถูกต้องดู ซิ
อย่าทำตามแบบที่กิเลสพาฉุดลาดไปอยู่ทุกวี่ทุกวันทุกเ วลา

แม้ขณะกำลังเข้าใจว่าตนกำลังทำความเพียรอยู่มรรคผลนิ พพานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
เป็นสมบัติกลางจะเป็นสมบัติอันพึงใจท่านในวันหนึ่งแน ่นอนโดยไม่มีคำว่ายากลำบาก
และสำเร็จได้ช้ามาเป็นอุปสรรคได้เลยขนาดที่พวกเราทำค วามเพียร
แบบกระดูกจะหลุดออกจากกันเพราะความขี้เกียจอ่อนแออยู ่เวลานี้


ผมเข้าใจว่าเหมือนคนที่แสนโง่และขี้เกียจเอาสิ่งอันเ ล็กๆเท่านิ้วมือไปเจาะภูเขาทั้งลูก
แต่หวังให้ภูเขานั้นทะลุในวันเวลาเดียว
ซึ่งเป็นที่น่าหัวเราะของท่านผู้ฉลาดปราดเปรื่องด้วย ปัญญาและมีความเพียรกล้าเป็นไหนๆ
พวกเราลองคิดดูประโยชน์แห่งความเพียรของท่านผู้เป็นศ ากยบุตรพุทธสาวกในครั้งพุทธกาล
ท่านน่าสมเพชเวทนาเหลือประมาณแต่หวังพระนิพพานด้วยคว ามเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
ลองคิดดูกิเลสเท่ามหาสมุทรแต่ความเพียรเท่าฝ่ามือนั้ นมันห่างไกลกันขนาดไหน
คนสมัยฝ่ามือแตะมหาสมุทรทำความเพียรเพียงเล็กน้อย
แต่ความหมายมั่นปั้นมือว่าจะข้ามโลกสงสารเมื่อไม่ได้ ตามใจหวังก็หาเรื่องตำหนิศาสนา


และกาลสถานที่ตลอดคนสมัยนั้นสมัยนี้ไม่ละอายการประกา ศความไม่เป็นท่าของตัว
ให้นักปราชญ์ท่านหัวเราะด้วยความอ่อนใจว่าเราเป็นผู้ หมดความสามารถโดยประการทั้งปวง

การลงทุนแต่เพียงเล็กน้อยด้วยความเสียดายเรี่ยวแรงแต ่ต้องการผลกำไรล้นโลกล้นสงสาร
นั่นเป็นทางเดินของโมฆบุรุษโมฆสตรีผู้เตรียมสร้างป่า ช้าไว้เผาตัวและนอนจมอยู่ในกองทุกข์

ไม่ชมเชยศาสนธรรมชมเชยกาลสถานที่และบุคคลในครั้งพุทธ กาลแต่ตำหนิศาสนธรรม
ตำหนิกาลสถานที่และบุคคลในสมัยนี้จึงเป็นคำชมเชยและต ิเตียนของโมฆบุรุษโมฆสตรี

ที่ปิดกั้นทางเดินของตนจนหาทางเล็ดลอดปลอดจากภัยไปไม ่ได้
และเป็นคำถามของคนสิ้นท่าเป็นคำถามของคนผู้ตัดหนามกั ้นทางเดินของตัว
มิได้เป็นคำถามเพื่อช่วยบุกเบิกทางเดินให้เตียนโล่งพ อมีทางปลอดโปร่งโล่งใจ
เพราะความสนใจปลดเปลื้องตนจากกิเลสด้วยสวากขาตธรรม
อันเป็นมัชฌิมาที่เคยให้ความเสมอภาคแก่สัตว์โลกผู้สน ใจปฏิบัติตามโดยถูกต้องตลอดมาแต่อย่างใดเลย
…..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คันยุบ ๆ ยิบ ๆ

ถ้าเกิดอาการคันยุบ ๆ ยิบ ๆ ขึ้นตามตัว หรือ เหมือนถูกเข็มแทงแปล๊บทำให้เจ็บสะดุ้ง อย่าลุก อย่าขยับเขยื้อนเป็นอันขาด อย่าไปขยับเขยื้อนไปลูบคลำ อย่ายกมือลูบอวัยวะเป็นอันขาด

คงนั่งสงบใจนิ่ง นิ่งอยู่อย่างนั้น จงตั้งสติสัมปชัญญะ ข่มใจให้หนักแน่นมั่นคง อย่าสะดุ้งหวั่นไหว ไปตามอาการที่รู้สึกนั้น อย่ายกมือ หรือ เคลื่อนอิริยาบถไปลูบคลำ หรือ เกาเป็นอันขาด

แต่ให้กระชับกระแสจิต เพ่งพิจารณาติดตามความคัน หรือความเจ็บแปล๊บนั้น มีความมั่นระลึกตักเตือนตนเองว่า เมื่อความคันเกิดขึ้น ณ แห่งใด ก็ย่อมดับไปเองหายไปเอง ณ ที่นั้นอย่างนี้


เรานึกอย่างนี้แล้วเราวางเฉยเลย วางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนไม่มีอาการทิ่มแทงเกิดขึ้น เมื่อทำอย่างนี้ได้ อาการนั้นก็หายไปทันที คือ ใจเราอย่าไปผูกพัน ว่ามันเจ็บ มันคัน หรือมันแปล๊บ ๆ มันทิ่มแทงยังไง อย่าไปนึก ผ่านไปเลย

เมื่อเราระลึกเช่นนี้แล้ว ให้เพ่งความวางเฉย อย่าเอาเป็นธุระอีกต่อไป อย่างนี้ เมื่อรู้สึกเป็นปกติแล้ว จึงค่อยตั้งสติสัมปชัญญะเจริญกรรมฐานกำหนดสมาธิ กำหนดลมหายใจ หรือบริกรรม ตามระยะเช่นเดิมต่อไป อย่าเผลอ อย่าสัพเร่า รู้ความเป็นไปให้ทั่วถึง

ถ้าเราไปลูบไปคลำมันเข้า ไปแตะต้องมันเข้า ก็เท่ากับไปยุให้ความคันกำเริบขึ้น ต้องเกา ต้องถูตามตัว ถึงที่สุดก็นั่งอยู่ไม่ได้ นี่เป็นโทษ เป็นมารขวางเราอย่างนี้ ทุกคนที่ใผ่ใจทางนี้ ต้องพยายามระงับให้ดี เอาชนะให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับทำให้มารหัวเราะเยาะอย่า งผู้มีชัย


(โดย ..............หลวงพ่อกัสสปะมุนี)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
๒ จีนกับใบมะขาม

โกย้งกับโกผงเป็นชาวจีนสองคนเพื่อนตายที่หาเช้ากินค่ำในเมืองจีน ชีวิตในหมู่บ้านของพวกเขาแร้นแค้นมาก ทั้งสองมักอด ๆ อยาก ๆ วันหนึ่งโกย้งบอกโกผงว่า "เราทั้งสองจงเดินทางไปเมืองไทยเถิด ได้ยินคำร่ำลือว่า แผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว อุดมด้วยเรือกสวน พืชผักผลไม้บริบูรณ์"

โกผงถามว่า "เราสองคนจะทำอะไรกิน"

โกย้งตอบว่า "เรามีสองมือสองเท้า จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เราขยันขันแข็ง มีหรือจะอดตายในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์เช่นนั้น"

ทั้งสองใช้เงินก้อนสุดท้ายเป็นค่าเดินทาง เรือสำเภาดั้นด้นฝ่าคลื่นลมจากเมืองจีนมาถึงจุดหมาย และขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของไทย

โกย้งมองไปรอบตัว ยิ้มบอกว่า "เราไม่อดตายแล้ว ที่นี่เป็นสวรรค์โดยแท้"

โกย้งกับโกผงตัดสินใจแยกทางกันไปทำมาหากิน เพราะเห็นว่าการแยกกันไปทำงานคนละอย่างจะเพิ่มโอกาสในการสร้างตัว

ทั้งสองสัญญากันว่า หากใครประสพความสำเร็จก่อน จะช่วยเหลืออีกคน นัดหมายกันว่าอีกสองปีมาเจอกันที่ท่าเรือ

เมื่อแยกทางกันแล้ว โกผงก็ทำงานจิปาถะตามสบาย เนื่องจากเมื่อไม่มีกิน ชาวบ้านก็มักเอื้อเฟื้อมอบอาหารให้ ผลหมากรากไม้ก็หาง่าย อีกทั้งอากาศทางภาคใต้ก็เย็นสบาย ฝนตกปรอยชุ่มชื้นเสมอ โกผงจึงใช้ชีวิตตามสบาย เมื่อได้เงินมาก็หยุดทำงานนอนเล่นไปวัน ๆ ใช้เงินหมดเมื่อใดค่อยตะเกียกตะกายไปหางานทำ

เวลาผ่านไปสองปี โกผงก็ยังมีสภาพยากจนเช่นเมื่อสองปีก่อน โกผงเดินทางไปที่จุดนัดพบ เขาเห็นโกย้งในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม โกย้งกลายเป็นเศรษฐี นั่งรถม้า มีคนขับรถ คนรับใช้หลายคนคอยปรนนิบัติ

โกย้งเล่าว่า เมื่อแยกทางมา เขาก็ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน เก็บหอมรอมริบอย่างอดทนจนได้เงินก้อนหนึ่ง นำไปลงทุนซื้อสวนใหญ่ปลูกมะขามและผลไม้อื่น ๆ กิจการดีขึ้นตามลำดับ

เมื่อรู้ว่าเพื่อนของตนไม่มีงานทำ โกย้งก็บอกให้โกผงไปทำงานกับตน โกผงทำงานที่ใหม่ นอกจากไม่ได้เปลี่ยนนิสัยทำงานวันหยุดสองวันแล้ว ยังแย่กว่าเดิม หยุดงานนานครั้งละหลาย ๆ วัน

เมื่อโกย้งถามว่าทำไมเขาไม่ทำงาน โกผงตอบว่า "แกรวยแล้ว ทำไมต้องทำงานหนักอีก ไม่จำเป็นต้องทำงานก็อยู่สบายไปตลอดชีวิตได้"

โกย้งสังเกตเห็นเพื่อนของตนเปลี่ยนไปเช่นนั้น ก็มิได้ว่ากล่าวแต่ประการใด บอกเพื่อนว่า "ถ้าเช่นนั้น ฉันจะให้แกไปทำงานง่าย ๆ "

โกผงถามว่า "งานอะไร"

"รูดใบมะขามออกจากต้น เริ่มจากต้นเล็กก่อน"

โกผงรับปากด้วยความยินดีที่ได้ทำงานเบาสบายกว่าเดิม โกผงรูดใบมะขามออกหมดต้นในสองสามวัน ไม่นานต้นมะขามนั้นก็เฉาตาย

โกผง รูดใบไม้จากต้นใหม่ต่อไป ครั้งนี้ใช้เวลารูดนานขึ้นเป็นอาทิตย์ เพราะเป็นต้นขนาดกลาง มะขามต้นนั้นไม่ตาย แต่ก็ใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายอาทิตย์

เมื่อ รูดใบหมดต้น โกผงก็ไปรูดใบจากต้นมะขามใหญ่ ครั้งนี้กินเวลานานเป็นเดือนก็ไม่หมดสักที เพราะเมื่อรูดใบหมดไปส่วนหนึ่ง ต้นมะขามก็ผลิใบใหม่ออกมา โกผงรู้สึกเหนื่อยจึงนั่งพักที่โคนต้นมะขาม สายตามองดูใบไม้ที่ถูกรูดร่วงโรยรายบนพื้น

เขานั่งคิดว่า ทำไมจึงไม่สามารถรูดใบไม้ทั้งหมดลงมาได้ ทั้ง ๆ ที่สองต้นแรกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขานึกถึงตัวเองที่ทำงานวันเว้นวัน เงินหมดอย่างรวดเร็ว

คนที่ทำงานหนักได้เงินทองมาสะสมมากมาย ก็เหมือนมะขามใหญ่ รูดใบไม้ออกไปเท่าใดก็ไม่มีวันหมด ส่วนคนที่ขี้เกียจทำงานเช่นเขา มีเงินทองเล็กน้อย รูดใบไม้ไม่กี่วันก็หมดเกลี้ยง ไม่นานก็เฉาตายไป เขารู้แล้วว่าโกย้งมอบงานนี้ให้เขาทำเพื่อให้เขารู้จักคิด เขารู้สึกละอายใจ

โกผงกลับไปหาโกย้ง ขอทำงานที่ยากขึ้น คราวนี้เขาทำงานทุกวัน และไม่นานก็มีฐานะที่ร่ำรวย ยืนหยัดได้เหมือนมะขามใหญ่ต้นนั้น นิทานเรื่อง จีนกับใบมะขาม นิทานสอนใจดีๆมีข้อคิดถ้าเราอ่านแล้วใส่ใจ
.


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 03:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




072dsq.jpg
072dsq.jpg [ 28.92 KiB | เปิดดู 3802 ครั้ง ]
tongue
อนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่งกับคุณหยดย้อย ได้ฟังธรรมธรรมมะอันเรียบง่าย สบายๆ แต่กินใจลึกซึ้ง ตั้งหลายเรื่อง คลายเครียดเคร่งจากเรื่องฌาณ เรื่องญาณ และธรรมมะอันลึกซึ้งพิสดารก่อนกาลที่ควรจะได้ยินได้ฟังไปเยอะเลยครับ

ผมขอแจมด้วยนิดหนึ่งนะครับ สัก 8 - 9 บรรทัด

ผมพบพีชายท่านหนึ่งซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรมมานาน ท่านถามผมว่า

1.ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

2.งานอะไรสำคัญที่สุด

ผมก็ตอบว่า บุคคลสำคัญที่สุด คือ พ่อ กับ แม่

งานสำคัญที่สุด คืองานอาชีพที่เรากำลังทำอยู่


พี่ชายกลับตอบผมว่า

บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือ บุคคลที่อยู่ตรงหน้าของเรา ณ ปัจจุบันขณะนี้

งานที่สำคัญที่สุด คืองานที่เรากำลังทำอยู่ ณ ปัจจุบันขณะนี้


ลองไปตีความแตกแยกประเด็น สรุปประเด็น แล้ว วิเคราะห์ให้เห็นว่า พี่ชายคนนี้เน้นธรรมมะข้อใด กันเอาเองนะครับ สาธุ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
นกกระทากับนายพราน

ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในวทริการามเมืองโกสัมพี
ทรงปรารภพระราหุลเถระ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง หลังจากเรียนจบศิลปวิทยาจาก
เมืองตักกสิลาแล้ว ได้ออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์
วันหนึ่งพระฤาษีได้สัญจรไปที่บ้านชายแดนหมู่บ้านหนึ่ง คนในหมูบ้านนั้นได้สร้างอาศรมถวาย
จึงได้อาศัยอยู่ที่นั้นเรื่อยมา


สมัยนั้น มีนายพรานนกคนหนึ่งในหมู่บ้านนั้น เลี้ยงนกกระทาไว้ตัวหนึ่งเพื่อไว้เป็นนกต่อ ทุกวันเขาจะพานกกระทาไปเพราะอาศัยเสียงของเรา ได้ตายไปเป็นจำนวนมาก
เป็นบาปกรรมของเราหนอ นับแต่นี้ไปเราจะไม่ส่งเสียงร้องละ" นายพรานเมื่อเห็นนกกระทาไม่ร้องก็ใช้ไม้ตีหัว นกกระทากลัวตายจึงร้อง สร้างความทุกข์ลำบากให้แก่มันเป็นอย่างมาก


อยู่ต่อมาวันหนึ่ง นายพรานจับนกกระทาได้เต็มกระเช้าแล้ว คิดจะดื่มน้ำไปที่อาศรมของพระฤาษีโพธิสัตว์ วางกรงนกไว้แล้วดื่มน้ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจึงเอนกายผล่อยหลับไป

นกกระทาทราบว่านายพรานหลับ แล้ว จึงถามความสงสัยของตนกับพระฤาษีว่า
"พระคุณเจ้าข้าพเจ้าเป็นอยู่สบายได้บริโภคอาหารตามชอบใจ แต่อยู่ในระหว่างอันตราย
อยากทราบว่าทางเดินชีวิตของข้าพเจ้าเป็นอย่างไรหนอ?"


พระฤาษีแก้ปัญหานกกระทาว่า "นกกระทาเอ๋ย.. ถ้าใจของเจ้าไม่น้อมไปเพื่อกรรมอันเป็นบาป บาปย่อมไม่แปดเปื้อนเจ้าผู้บริสุทธิ์ใจไม่คิดจะทำบาป กรรมดอก"

นกกระทาถามต่ออีกว่า พระคุณเจ้า นกกระทาจำนวนมากคือญาติของข้าพเจ้า
นายพรานอาศัยข้าพเจ้าทำปณาติบาตอยู่ ข้าพเจ้ารังเกียจเรื่องนี้มาก บาปกรรมจะมีถึงแก่ข้าพเจ้าไหมหนอ"


พระฤาษีจึงตอบเป็นคาถาว่า "ถ้าใจของท่านไม่คิดประทุษร้ายไซร้
กรรมชั่วที่นายพรานอาศัยท่านกระทำแล้ว ย่อมไม่ถูกต้องท่านบาปกรรมย่อมไม่แปดเปื้อน
ท่านผู้บริสุทธิ์ ผู้มีความขวนขวายน้อย"


แล้วก็พูดให้นกกระทาสบายใจว่า "เจ้าไม่มีความจงใจการทำปาณาติบาต
บาทกรรมจึงไม่มีแก่เจ้าผู้บริสุทธิ์ดอกนะ" นกกระทาได้ฟังแล้วก็สบายใจนิ่งเงียบอยู่
ฝ่ายนายพรานตื่นนอนแล้วลุกขึ้นไหว้ฤาษีแล้วก็ถือกรงน กกระทากลับบ้านไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ไม่มีเจตนาจะทำบาปกรรม
แม้จะประกอบอาชีพที่เสี่ยงต่อการทำบาป บาปกรรมก็ไม่ตกแก่ผู้นั้น

.


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 16 ก.พ. 2010, 22:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
ซามูไร 3 พี่น้อง

โบคุเดน ซึคาฮารา เป็นหนึ่งในนักดาบผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคโบราณ
ท่านมีบุตรอยู่สามคน บุตรทุกคนล้วนสืบทอดอัจฉริยภาพในทางศิลปะการฟันดาบมา จากบิดาของตน ในบั้นปลายชีวิตโบคุเดนต้องการที่จะทดสอบความสามารถข องบุตรแต่ละคน

จึงอยู่มาวันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่ในห้อง และให้เรียกหาบุตรสุดท้องเข้ามาพบ บุตรสุดท้องก็เดินเขามาตามระเบียง เลื่อนประตูเปิดออกและก้าวเข้ามา

ทันใดนั้นก็มีวัตถุบางอย่างตกลงมาจากเบื้องบน และก่อนที่สิ่งนั้นจะกระทบถูกศีรษะ เขาก็ก้าวถอยหลังและซักดาบออกมาฟันดุจประกายสายฟ้า


เมื่อแลดูไป เขาจึงเห็นลูกไม้กลม ๆ ถูกฟันแยกออกเป็นสองเสี่ยงตกกลิ้งอยู่แทบเท้า

โบคุเดน ได้เตรียมลูกไม้วางไว้บนคานประตู เพื่อว่าลูกไม้จะหล่นลงมาทันทีเมื่อประตูเปิดออก
"ตอนนี้ เธอจงกลับไปยังที่พักของเธอก่อน" บิดากล่าวกับบุตรสุดท้อง

ต่อจากนั้นท่านก็เรียกบุตรที่สองมา ซึ่งบุตรก็เปิดประตูออกโดยไม่รู้เล่ห์เช่นกัน เมื่อลูกไม่ตกลงมาเหนือศีรษะ เขาก็รับเอาไว้ได้ด้วยมือเปล่า "เอาละ กลับไปรอในห้องของเธอก่อน" บิดาสั่ง


ในที่สุดบุตรหัวปีก็ถูกเรียกหา เมื่อเขาจวนจะก้าวเข้ามาในห้องอยู่แล้ว จิตของเขาได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งผิดปรกติบางอย่างบนคาน ประตู เขาได้นำลูกไม้ที่วางอย่างหมิ่นเหม่บนคานประตูลงมา เข้ามานั่งลงเบื้องหน้าบิดาและพูดว่า "ลูกรู้ว่าบิดาต้องการทำอะไร"

โบคุเดนจึงเรียกบุตรอีกสองคนมาอีกครั้งหนึ่ง ท่านตำหนิบุตรคนสุดท้องอย่างขมขื่นว่า "เธอควรจะละอายใจต่อความล้มเหลวเช่นครั้งนี้ แม้จะเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงวินาทีหนึ่ง"

ครั้นแล้วท่านก็หันไปให้กำลังใจบุตรคนที่สองว่า "จงหมั่นเพียรต่อไปอีกสักครั้งเถิด ลูกเอ๋ย ฝึกฝนตนให้รุดหน้าต่อไป อย่าได้หลงละเลยเสีย"

ในที่สุดก็มาถึงบุตรหัวปี ซึ่งท่านได้หันไปกล่าวขึ้นกับลูกศิษย์ลูกหาของท่านว่ า "ฉันรู้สึกยินดีที่เธอมีความสามารถสมกับที่จะได้เป็น ทายาทผู้สืบทอดสิลปะแขนงนี้ต่อจากฉัน".


หนังสือดอกไม้ไม่จำนรรจ์
เซนไค ซิบายามะ เขียน
ซุมิโกะ คุโดะ แปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษ
พจนา จันทรสันติ ถ่ายทอดเป็นภาษาไทย
สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.

กำลังใจกับความล้มเหลว !!



หากพบกับความล้มเหลว


ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคุณล้มเหลวเพียงแค่คุณยังทำมั นไม่สำเร็จเท่านั้น


เมื่อบางอย่างล้มเหลว อย่างน้อย เราก็ได้เรียนรู้บางอย่างจากสิ่งที่เราทำ



เมื่อเราล้มเหลว


ไม่ได้หมายความว่าเราโง่ แต่เรามั่นใจและเต็มใจที่จะลองต่างหาก



ความล้มเหลว


ไม่ได้บอกว่าเลิกซะเถอะ คุณไม่มีหวังหรอก มันแค่บอกคุณลองหาทางใหม่ๆ



ความล้มเหลว


ไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าคุณต้องต่ำ มันแค่บอกว่าคุณไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ (ซึ่งก็เหมือนใครๆ)



ความล้มเหลว


ไม่ได้ทำให้คุณเสียเวลาไปหรือเปล่าๆ แต่เป็นเหตุผลที่ดีในการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ



ความล้มเหลว


ไม่ได้บอกว่าคุณไม่มีทางทำได้ มันเพียงแต่บอกว่าต้องใช้เวลาหน่อย


ทุกเช้าเมื่ออาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้าในป่าอัฟริกา สิงโตรู้ว่ามันต้องวิ่งล่ากวางตัวที่วิ่งช้าที่สุด

ขณะเดียวกัน กวางเองก็รู้ว่ามันต้องวิ่งให้เร็วที่สุด หรือไม่ก็ตาย จุดสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า

คุณเป็นสิงโตหรือเป็นกวางเพียงแต่วิ่งให้สุดกำลังของ ตน เมื่อถึงคราวก็พอ


.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.

ข่าวด่วนเรื่องโรคมะเร็งร้ายหลากหลายชนิด จากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่งดังระดับโลก

มีการยืนยันอย่างชัดเจนจาก ม' ลัยแพทย์ชื่อดังระดับโลก หลายแห่ง ๆ รวมถึง
หน่วยงานวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ และ สหรัฐ โดย
คณะ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ได้ยืนยันถึงการกำเนิดโรคมะเร็งร้าย ต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้
นอกจากโรคหัวใจ ไขมันอุดตัน จากการศึกษาวิจัยล่าสุดจากตัวอย่างที่มีจำนวนมากที่ส ุด เท่าที่เคยมีมา กว่า 478,000 ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง พบป่วยเป็นมะเร็งกว่า 1/3 หรือ 148610 คน จากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทุก ๆ วัน


ได้ข้อสรุปคล้าย ๆ กัน จาก การศึกษา วิจัย โดยหลากหลาย ม' ลัยแพทย์ ชื่อดังและคณะเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ เช่น

มหาวิทยาแพทย์ฮาวาด
หน่วยงานวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหรัฐ
มหาวิทยาลัยแพทย์ แห่งอังกฎษ
และอีกหลาย ๆ สถาบันในประเทศยุโรป
ออสเตอเรีย แคนาดา

สถาบันการแพทย์ศึกษาวิจัยโรคมะเร็ง นานาชาติ

สถาบันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งสหรัฐ




ล้วน มาจากสาเหตุหลักสำคัญ คือการกิน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เป็นต้นเหตุ ยิ่งบริโภคมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมาก ขึ้น โรคมะเร็ง ฆ่าชีวิตชาวโลกปีละหลาย ๆ สิบล้าน และอัตราการเสียชีวิตพุ่งสูงขึ้น อย่าน่าตกใจ อัตราผู้เสียชีวิตวันละหลาย ๆ พัน คน โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเซีย ที่มีฐานะทาง
เศรษฐกิจ ดี มีการบริโภคอาหารเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นตามแบบฝรั่งตะวั นตก

หลีกเลี่ยง ลดละ ก่อนสายเกินไป ถ้ามีการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งแล้ว โอกาศเสี่ยงต่อการสูญเสีย ชีวิตมีมากกว่าการรักษา ซ้ำร้ายค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมากในการบำบัดรักษา


ต้องเข้าใจว่า ทางการไทยไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูล ที่เป็นข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ ถึงข้อมูลนี้ ตปท ให้ความสนใจ ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยร้าย ให้ ลด ละ เลิกการบริโภคเนื้อสัตว์กันเป็นจำนวนมาก
แต่พยายามส่งออกเนื้อสัตว์มาทางประเทศแถบเอเซียแทน


ยังมีข่าวอีกหลาย ๆ ร้อยเคส เรื่องโรคมะเร็งอันน่ากลัว
ล้วนมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์
ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ ชื่อดัง หลายแห่งทั่วโลก
วารสารสุขภาพ รายปักษ์ และรายเดือน
ในสหรัฐ ยุโรป แคนาดา ออสเตอร์เลีย
และสื่อสารมวลชน สำนักข่าว นสพ
จากผลการศึกษาวิจัยล่าสุด


เช่น Abc , Bbc , Cnn, Reuters, Washingtonpost
Science Daily, Natural Food News,
American Cancer Association, Cancer Society,
Healing Well Health Journal, Natural Health
Hardward News, Amercian Cancer Society,




ลัยแพทย์ฮาวาด
หน่วยงานวิจัยโรคมะเร็งแห่งสหรัฐ
มหาวิทยาลัยแพทย์ แห่งอังกฎษ




ล้วน มาจากสาเหตุหลักสำคัญ คือการกิน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เป็นต้นเหตุ ยิ่งบริโภคมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมาก ขึ้น โรคมะเร็ง ฆ่าชีวิตชาวโลกปีละหลาย ๆ สิบล้าน และอัตราการ
เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้น อย่าน่าตกใจ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเซีย ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ ดี มีการบริโภคอาหารเนื้อสัตว์เพิ่ม
ขึ้นตามแบบฝรั่งตะวันตก


.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพ

.............

หลังจากที่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กลับจากเชียงใหม่
เข้าพำนักที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ตามคำสั่งของ
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ก่อนเดินทางไปอุดรธานี ในระยะที่ท่านพักอยู่ที่นั้นปรากฏว่า
มีคนมาถามปัญหากับท่านมาก มีปัญหาของบางรายที่แปลกกว่าปัญหาทั้งหลาย ซึ่งมีดังนี้


(จาก “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ชาวกรุงเทพฯ : ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์
เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม

หลวงปู่มั่น : ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว

ชาวกรุงเทพฯ : ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร

หลวงปู่มั่น : คือใจ

ชาวกรุงเทพฯ : ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ

หลวง ปู่มั่น : อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์
ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า
ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น
สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจา
อย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท


ชาวกรุงเทพฯ : การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ

หลวง ปู่มั่น : ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้
นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจ แม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา
แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรีย กว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่า ศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด
ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจ
เป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว


ชาวกรุงเทพฯ : ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียก ว่าศีล
จึงเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นต้องรักษาใจก็ได้ จึงได้เรียนถามอย่างนั้น


หลวงปู่มั่น : ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยนั้นก็ถูก แต่กายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้นต้นเหตุมาจากอะไ ร ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็น ไปในทางที่ถูก
เมื่อเป็นมาจากใจ ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรม
ที่น่าอบอุ่นแก่ตัวเอง และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้ ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยใจ
เป็นผู้คอบควบคุมรักษาเลย แม้กิจการอื่นๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยดี การงานนั้นๆ
จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดและทรงคุณภาพโดยสมบู รณ์ตามชนิดของมัน
การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร
ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป
ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย ศีลขาดศีลทะลุ ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช
ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย ธรรมบอ ธรรมบ้า ธรรมแตก
ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้ วยอย่างแยกไม่ออก
ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง เลย


อาตมาไม่ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา
เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หินผาหน้าถ้ำ เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา
เสียงสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ตามทัศนียภามที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง
ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้สแตกฉานท างศีลธรรม การตอบปัญหาจึงเป็นไป
ตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อนๆ รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสม
มาอธิบายให้ท่านผู้สนใจ ฟังอย่างภูมิใจได้


ชาวกรุงเทพฯ : คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นเป็นศิลอย่างแท้จริง

หลวง ปู่มั่น : ความคิดในแง่ต่างๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร
ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีล
ที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภ าพปกติไม่คะนองทาง
กายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีล
เป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง
เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคน
ละอย่าง ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้าน และนั่นคือเจ้าของบ้าน
ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบาก เฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้
แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกไม่ออก ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจหลาย
เป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปน านแล้ว และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยง
จากตัวไปหลายรายแล้ว


เมื่อ เป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียว
กับสมบัติอื่นๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน
เพราะได้มาก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้น ความไม่รู้ว่า “อะไรเป็นศิลอย่างแท้จริง”
จึงเป็นอุบายวิธีหลึกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ
อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก
แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกว่าอยู่สบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย
ตัวจะตายจากศีล และกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ
ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น.


..


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 16 ก.พ. 2010, 22:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"โรคอรหันต์"


มีคน ๆ หนึ่งชื่อ หลุงชูไปหาหมอชื่อ เหวินฉี
หลุงชูบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ให้หมอช่วยรักษาให้หน่อย


หมอเหวินฉีก็ถามว่าบอกสิมีอาการอะไร

หลุงชูบอกว่า "ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เวลาได้ยินคนอื่นเค้าสรรเสริญเยินยอ ไม่รู้สึกดีใจหรือเป็นเกียรติแต่อย่างใด
เวลาได้ยินเค้าติฉินนินทาก็ไม่รู้สึกเสียใจ
เวลาได้อะไรมาก็ไม่ดีใจ เสียอะไรไปไม่เสียใจ
ผมมองชีวิตเหมือนความตาย ความรวยเหมือนความจน
คนเหมือนหมู มองตัวเองเหมือนคนอื่น
รู้สึกว่าบ้านผมเองเหมือนโรงเตี้ยมที่เช่าเค้าอยู่
มองออกไปข้างนอกบ้านเห็นบ้านข้างเรือนเคียงแปลกหูแปล กตาไปหมด
ยศเสื่อมยศ ลาภเสื่อมลาภ ความเจริญความเสื่อม คุณโทษ สุข ทุกข์
ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจผม


ตั้งแต่ผมป่วยโรคประหลาดนี้ ผมไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้เหมือนคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นงานราชการรับใช้เจ้านาย ปฏิบัติตนต่อเพื่อนและญาติพี่น้อง
แม้กระทั่งลูกเมียและคนใช้ โรคของผมมีทางรักษาหายมั้ย"



หมอเหวินฉีบอกให้หลุงชูยืนหันหลังให้แสงสว่าง เค้าก็ถอยหลังไปสองสามก้าว
ยืนเพ่งดูพักหนึ่ง และบอกว่า "ผมมองเห็นคุณแล้ว เห็นหัวใจคุณแล้ว
เนื้อที่ประมาณตารางนิ้วหนึ่งนี้ว่างเปล่า ในหัวใจคุณมีรูอยู่ 6 รูทะลุถึงกัน
แต่รูหนึ่งอุดตัน อาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้ คุณสมบัติของการเป็นอรหันต์ที่คุณมี
คุณกับเข้าใจว่าเป็นความป่วยไข้ วิชาแพทย์อันคับแคบของผมไม่สามารถรักษาได้หรอก"




นิทานอันนี้บอกให้รู้ว่า ความเป็นอรหันต์นั้นคืออะไร
จิตที่สงบจะมีความสุข เช่น ถ้าเราได้ยินคนอื่นสรรเสริญเยินยอ ไม่รู้สึกดีใจหรือเป็นเกียรติ นี่ก็เป็นสุขข้อหนึ่ง
แต่ถ้าได้ยินเค้าติฉินนินทาก็ไม่รู้สึกเสียใจ ก็ค่อย ๆ มีความสุขไปเรื่อย ๆ
แต่หลุงชูไม่รู้ว่าสิ่งที่มี คือ ยอดแห่งความสุขแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2010, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
หลวงพ่อจวน ภูทอกกับเปรตสองพี่น้อง

“หลวงพ่อจวน ภูทอก ท่านได้จำพรรษาที่ภูสิงห์ ท่านไปเดินจงกรมบนยอดเขา
เวลาเดินไปท่านก็พิจารณาใน กายคตานุสติกรรมฐาน ได้แก่อาการ ๓๒ ของร่างกายมี
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด เป็นต้น โดยพิจารณาเบื้องต้นต่ำตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา
เบื้องสูงถึงปลายผม และจากปลายผมลงมาเบื้องต่ำถึงฝ่าเท้า ว่าทุกส่วนของร่างกายมันเต็มไปด้วย
ความสกปรก เต็มไปด้วยปฏิกูลของโสโครก การพิจารณาอย่างนี้เป็นสมถภาวนา
และในด้านวิปัสสนาภาวนา ก็คิดว่านอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันยังเป็นอนิจจังหาความเที่ยงแท้แน่นอน
ไม่ได้ คือไม่มีการทรงตัว เกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงคือโตขึ้น
พอถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เปลี่ยนสภาพทรุดตัวลงคือ แก่ เรียกว่ามีความเสื่อมไปทุกขณะจิตที่ล่วงไป
หรือทุกลมหายใจเข้าออกที่ผ่านไป


มันเป็นความเสื่อมของร่างกายและร่างกายก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะเมื่อเรามีร่างกายอยู่
มันมีความหิวความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ
มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปราถนาไม่สมหวังนานาประการ
สิ่งเหล่านี้รบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ

“ตัวต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เพราะเราเกิดมีร่างกายตัวเดียว “

หลวงพ่อจวนท่านเดินพิจารณาอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เมื่อพิจารณาไป ๆ จิตก็เข้าถึงสมถะและวิปัสสนา
คืออารมณ์เป็นสมาธิ ที่อารมณ์เป็นสมาธิก็เพราะมีการทรงตัวคิดเฉพาะเรื่อง กายอย่างเดียว
อารมณ์ทรงสมาธิไม่ใช่มีแต่ การภาวนา อย่างเดียว การพิจารณาก็เป็นสมาธิได้
ขณะใดที่พิจารณาอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ก็หมายถึงเป็นสมาธิในกองนั้น


เมื่อเป็นสมาธิแล้วก็เป็นทั้งสมถะด้วยวิปัสสนาด้วย จิตก็เริ่มสะอาดจากกิเลส
เมื่อจิตสะอาดจากกิเลสอารมณ์ของจิตก็เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์จิตเป็นทิพย์
จิตก็สามารถจะสัมผัสกับกลิ่น แสง เสียง สี และสิ่งที่เป็นทิพย์ได้

ฉะนั้น ขณะที่ท่านพิจารณาไปเดินไปเดินมาอยู่นั้นก็ได้กลิ่นแปลก ไม่ใช่กลิ่นสุนัขเน่าหรือคนเน่า
เหม็นคาวของคน มันเป็นกลิ่นที่ไม่เคยปรากฏก่อน ท่านก็เดินไปใคร่ครวญพิจารณาขันธ์ ๕ ไป
จิตก็จิตสัมผัสกลิ่นไป ในที่สุดท่านก็สงสัยว่ากลิ่นอะไร ท่านก็ใช้กำลังของทิพพจักขุญาณถามว่า
“กลิ่นที่ได้รับเป็นกลิ่นอะไร” จิตก็ตอบว่า “กลิ่นที่ได้รับสัมผัสนั้นเป็นกลิ่นเปรต”
เมื่อทราบว่าเป็นเปรต ท่านก็อุทิศส่วนกุศลให้ดังนี้


“บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่จนถึงปัจจุบัน ผลบุญนี้จะผลแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาบุญนี้ รับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

พอท่านนึกอธิษฐานจิตอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น กลิ่นก็หายไป หลังจากนั้นท่านเลิกเดินจงกลมแล้วมานั่ง

ท่านเห็นผู้หญิงสองคนเดินมาข้าง ๆ ท่านก็ถามว่า เธอสองคนเป็นใครและเป็นอะไรกัน
” เธอก็ตอบว่า เธอทั้งสองเป็นพี่น้องกัน
ท่านถามว่า “ คนไหนเป็นพี่ ” เธอก็ชี้ตัวเธอเป็นพี่
ท่านถามว่า “ คนไหนเป็นน้อง ” เธอก็บอก “ คนนี้เป็นน้อง ”
ถามว่า “ เวลานี้เป็นอะไร ”เธอก็ตอบว่า “ เป็นเปรตที่แสดงตน ”
ท่านถามคนพี่ว่า “ ชื่ออะไร ” เธอตอบว่า “ ชื่อนางสาวทาและน้องชื่อนางสาวสีบวกกันสองคนเป็นทาสี


ถามว่า “ ทำไมตายแล้วจึงมาเป็นเปรต ”

เธอตอบว่า “ สมัยที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอเอาตัวหม่อนมาต้มเอาใยไหม อันนี้เป็นปัจจัยให้เธอเกิดเป็นเปรต ”

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างว่า “ ตายแล้วไม่สูญ ” ถ้าหากเรามาพิจารณากายคตานุสสติ
ก็พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้เป็นเปลือกที่เราอาศัยชั่วคราว ไม่มีการทรงตัว
ถ้าเรายึดถือมันเกินไป มันก็เป็นทุกข์ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเราคือใคร
ก็ต้องไปดูเปรตสองเปรตคือ เปรตทากับเปรตสี ความจริงร่างกายเดิมเธอเขาเผาหรือฝังไปแล้ว
แต่สภาพที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ร่างกายที่มีเนื้อมีหนังแต ่เป็นร่างกายที่เราเรียกว่า “ อทิสสมานกาย ”
มีการลงโทษ มีการเจ็บปวด เหมือนเราเจ็บปวดเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็น นามธรรม ก็ตาม
ตัวแท้ ๆ ของเราก็เหมือนกับสองสาวคือสาวทากับสาวสีนั้นแหละ


รวมความว่าเรื่อง กายคตานุสสติ นี้มีความสำคัญมาก

สำหรับสมถภวานาเรียกว่า “กายคตานุสสติ” ถ้าวิปัสสนาภาวนาเรียกว่า “สักกายทิฏฐิ”
มันตัวเดียวกันและเราตัดตัวเดียวคือตัดสักกายทิฏฐิ มี ๓ ขั้นตอนคือ

๑ . มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้จะต้องตาย ไม่ปรามาทในชีวิต เป็นอารมณ์ของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี

๒ . มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสกปรกโสโครกน่าเกลียด ไม่มีตัณหาเกิดขึ้นจากร่างกาย 3เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี

๓ . ถ้าจิตวางเฉยในร่างกายทั้งหมด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นเราก็เฉยหมดอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

ถ้าวางเฉยได้ไปพระนิพพานได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้ไปพระนิพพานไม่ได้ เราต้องตัดสักกายทิฏฐิให้ได้
คือการวางเฉยในร่างกายเรียกว่า “สังขารุเปกขาญาณ” เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย...”


..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พ่อ ลูก กินใจมาก

ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู


ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอ
พ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ"


พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ
หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ
เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง
เด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"


เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่
กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำ
ลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ
และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู


พ่อ "หลับหรือยังลูก"
ลูก "ยังครับ"
พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป
นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก "ขอบคุณครับพ่อ"


ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง

พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง
....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."


.......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ลาแก่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...
มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ ่ง
มันร้องครวญคราง เป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา


ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า...

เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้ มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาว บ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไป ถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวนทันที ...

สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบ
หลังจากที่ชาวนาตัก ดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่ว
ก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจ ากหลัง
แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น
ยิ่งทุกคนพยายาม
เร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วม ากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุก คนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุด
ก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆ
ที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหา เรา
จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่ อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น
นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดได้ดีทีเดียว
ครั้งแรกเจ้าลาแก่ยังตกใจและร้องโหยหวน
แต่หลังจากนั้นเมื่อมันสงบปละได้คิด
วิกฤตก็กลับกลายเป็นโอกาส
ถ้ามันยอมแพ้และรับความจริงตั้งแต่ตอนแรก
โดยไม่คิดจะดิ้นรน ชีวิตมันก็คงถูกตัดสินโดยคนอื่น


ภทฺรวาที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
ลูกเอ๋ย

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่
และส่งกระดาษให้ หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้ว



เธอก็ก้มลงอ่าน
ค่าตัดหญ้า 5 บาท
ค่าทำความสะอาดห้องผมอาทิตย์นี้ 1 บาท
ค่าซื้อของให้แม่ 2.5 บาท
ค่าดูแลน้องชาย 2.5 บาท
ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1 บาท
ค่าได้คะแนนดี 5 บาท
ค่ากวาดสนาม 2 บาท
รวมค้างชำระ 19 บาท


เธอหยิบปากกาขึ้นมา พลิกไปด้านหลังแล้วเขียน
เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน
เวลาแม่พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก ไม่คิดเงิน
ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตา ไม่คิดเงิน
ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า พาเที่ยว ไม่คิดเงิน
แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะ ลูก
เมื่อรวมทั้งหมด เป็นราคาเต็มของความรัก ไม่คิดเงินเหมือนกัน


เมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโต ก็ไหลออกมา เขาสบตาแม่
และพูดว่า แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆ นะครับ
แล้วเขาก็เอาปากกา เขียนหนังสือตัวโตว่า
แม่จ่ายหมดแล้ว แต่ลูกทอนให้ยังไม่หมด....




ภทฺรวาที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณอาจได้บางสิ่งกลับมามากขึ้น

~* ลดลงแต่กลับได้มากขึ้น *~
หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณอาจได้บางสิ่งกลับมามากขึ้น

- ลดความโกรธให้น้อยลง ผมได้สติกลับมามากขึ้น
- ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ผมได้เงินเก็บมากขึ้น
- ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง ผมได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น
- ลดการพูดให้น้อยลง ผมทำหลายอย่างได้มากขึ้น
- คิดถึงคนที่ผมรักให้น้อยลง ผมเข้าใจคนที่ผมรักได้มากขึ้น
- รักตัวเองให้น้อยลง คนอื่นรักผมมากขึ้น
- พูดให้ร้ายคนอื่นน้อยลง มีคนพูดถึงผมในแง่ดีมากขึ้น
- แสดงความฉลาดให้น้อยลง ผมได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
- ออกนอกบ้านให้น้อยลง ผมได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น


- นอนให้น้อยลง ผมทำหลายอย่างได้มากขึ้น
- คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง ผมยิ้มได้มากขึ้น
- ลดความอายให้น้อยลง ผมได้ความกล้ามากขึ้น
- ดูละครน้อยลง ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้น
- ผมวิ่งให้ช้าลง ผมมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น
- เชื่อให้น้อยลง ผมมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
- ลดทิฐิให้น้อยลง ผมรู้จักอภัยมากขึ้น
- กระโดดให้น้อยลง ผมเดินได้มั่นคงมากขึ้น
- กินให้น้อยลง ผมอิ่มได้มากขึ้น
- ก้มหน้าให้น้อยลง ผมมองเห็นได้ไกลขึ้น


- พักเหนื่อยให้น้อยลง ผมรู้จักความสบายมากขึ้น
- เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น
- แบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตผมเบามากขึ้น
- ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
- ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง ผมได้รับการเอ็นดูมากขึ้น
- เป่าลมออกให้น้อยลง ผมสูดลมเข้าได้มากขึ้น
- แอบฟังให้น้อยลง ผมได้ยินอะไรมากขึ้น
- ผมคิดคำถามให้น้อยลง ผมเห็นคำตอบมากขึ้น


. . . . . . . . . แล้วคุณลดอะไรบ้างแล้วละ . . . . . . . . .

Credit By pattarawatee


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 65 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร