วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 14:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา

กบตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในสระใกล้กุฏิพระ เช้าตรู่กบได้เห็นพระตื่นแล้วจัดแจงครองผ้า
เดินไปสวดมนต์ภาวนา พอสว่างก็ออกบิณฑบาต ได้อาหารมาฉัน เป็นอย่างนี้ทุก ๆ วัน


เจ้ากบก็เกิดความยินดีในพระเห็นดีในพระ มาเทียบกับตนแล้วเห็นว่าตนเองแย่มาก ๆ
วันหนึ่งจะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องระงับหิวก็ไม่ค่อยจะพอ
มิหนำซ้ำยังต้องเป็นอยู่ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัวภัยอันตรายตลอดเวลา ภัยอันตรายมีอยู่รอบทิศ ต้องจ้องกระโดดหลบภัยอยู่เรื่อย “ทำอย่างไรหนอ จึงจะได้เป็นพระ”


เจ้ากบร้อนใจนักหนาปรารถนาจะเป็นพระ เห็นความเป็นกบนี้แสนจะเลวร้าย
ต่อมาพระท่านฉันภัตตาหารอิ่มแล้วก็เอาข้าวสุกมาโปรยใ ห้ทานไก่
เจ้ากบเห็นไก่มีลาภได้จิกกินอาหารอย่างสำราญ ก็เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า…
อา!……. เป็นพระนี่เห็นจะสู้ไก่ไม่ได้ เพราะกว่าจะได้อาหารมาฉันก็ต้องเดินไกล
ต้องออกบิณฑบาตเหนื่อยเหมือนกัน เทียบกันแล้ว สู้ไก่ไม่ได้ ไก่อยู่กับที่
ถึงเวลาพระก็เอาข้าวสุกมาโปรยให้กินเอง พระท่านทำหน้าที่ราวกะทาสผู้ซื่อสัตย์ของไก่


“ทำอย่างไรหนอจึงจะได้เป็นไก่”

ขณะนั้นหมาวัดตัวหนึ่งมาแย่งอาหารไก่กิน ไก่กลัวหมาต้องละอาหารหนีเอาตัวรอด
เจ้าหมาผู้มีอำนาจก็ยึดทรัพย์ของไก่เสีย เจ้ากบเห็นดังนี้ก็หันไปชื่นชมหมา
เห็นหมาดีสารพัดชื่นชมราวกะหมาเป็นวีรชน
พอดีมีชายคนหนึ่งเดินมา หมาก็วิ่งเข้าไปหมายจะกัดจึงโดนชายคนนั้นตี ร้องเสียงดังลั่นวิ่งหนีไป


กบเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็อยากเป็นชายผู้นั้นอีก ทำอย่างไรหนอ...
ขณะนั้นชายผู้นั้นก็มานั่งอยู่ขอบสระ เห็นจะเป็นฤดูร้อน เพราะมีแมลงวันมาตอมกวนชายผู้นั้น
เขารำคาญลุกหนีแต่บ่นให้กบได้ยิน “รำคาญแมลงวันจริงโว้ย !”
กบได้ยินดังนั้นก็นึก “ อะพิโธ่!…เป็นคนนึกว่าจะวิเศษสักแค่ไหน สู้แมลงวันก็ไม่ได้ ”
อยากเป็นแมลงวันอีก ขณะนึกเคลิบเคลิ้ม เห็นแมลงวันเป็นเทวดาอยู่นั้น
บังเอิญมีแมลงวันเจ้ากรรมตัวหนึ่งบินมาจับเหมาะลงตรง ปลายจมูกกบพอดี
ด้วยความเคยชินเจ้ากบก็แลบลิ้นเลียแผล็บกินแมลงวันเป ็นอาหาร พอรู้รสแมลงวันเท่านั้น…
ความไม่ยินดีอันเป็นดุจไฟเผา กบมาชั่วกาลนานก็ถึงพลันดับลงทันที เลยร้องออกมาว่า
“ เป็นอะไรก็ไม่ดีเหมือนเป็นกูนิ ”


กบเจอดีในตัวเองแล้วก็เลยสงบ เลิกปรารภดิ้นรน จะเป็นโน่นเป็นนี่อีกต่อไป

เคล็ดความรู้ในนิยายเรื่องนี้ก็คือ วิธีดับไฟ ไฟ คือ ความอยาก ความอยากที่นอกเหนือวิสัยของตน แบบง่าย ๆ ก็คือ พยายามฝึกจิตให้ชื่นชนยินดีกับสมบัติของตัว ภาวะของตัว หัดมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวในแง่ดี สรุปก็คือพยายามหาความดีในสิ่งที่ตัวมีตัวได้ให้เจอ แล้วชื่นชมกับสิ่งนั้น ก็จะมีสุข

..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..
สอบตก 38 ครั้งยังไม่ท้อ..



คุณปู่ชาวอินเดีย ซึ่งประกาศไม่แต่งงานก่อนเรียนจบมัธยมมีอันต้องอดแต่งงานไปอีกปีหนึ่ง
เมื่อต้องสอบตกเป็นครั้งที่ 38 แล้ว แต่ยังไม่ยอมท้อประกาศจะสู้ต่ออีก


ชิฟ ชาร์รัน ยาดัฟ ชาวนาวัย 73 ปี อาศัยอยู่ตามลำพังในหมู่บ้านโคฮารี
ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของรัฐราชสถาน ไม่เคยผ่านการสอบระดับมัธยมซึ่งโดยปกติแล้วมีไว้สำหรับ
เด็กนักเรียนวัย 15 ปี ตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมา


ในอดีตตอนที่คุณปู่อายุ 30 ปี เป็นครั้งแรกที่ตัดสินในเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น
ด้วยการศึกษา สำหรับในปีนี้คุณปู่สอบตกทุกวิชายกเว้นภาษาสันสกฤต
โดยได้คะแนนรวมเพียง 103 จาก 600 คะแนน คุณปู่เปิดเผยว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยากมาก
และโทษว่าวิชานี้เป็นตัวฉุดคะแนนสอบ นอกจากนี้ หากผ่านการสอบไปได้
ก็อยากจะแต่งงานกับสาวอายุน้อยกว่า 30


ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
ทำให้ในขณะนี้คุณปู่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับทบทวนบทเรียนเพื่อสอบครั้งต่อไปใน ปีหน้า



เด็กไทย ยังเรียนไม่จบ พึ่งพาตนเองไม่ได้ ก็อยู่ด้วยกันซะแล้ว
น่าอายปู่เน๊าะ ตนเองยังเหยียบอยู่บนบ่าแม่พ่อ อาศัยท่านอยู่แท้ ๆ กับเอาคนอื่นมาแบกไว้อีก
เพิ่มภาระทำให้ให้พ่อแม่หนักขึ้นไปอีก

..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
เอามารวม ๆ กันไว้

เท่าที่เวลา โอกาศอำนวย

ไม่รู้รกบอร์ดเค๊าปะ

ขอโทษนะ

เผื่อมีคนอ่านซัก 1 คน ก็ดีใจ

เผื่อมีสักเรื่อง ที่อ่านแล้วมีอะไรดี ๆ เพ่มขึ้น

:b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



มาหาแฟนกันเถิด


เณรน้อยเดินหน้าบึ้ง มาหาพระอาจารย์

เณรน้อย: "พระอาจารย์ครับเณรใหญ่เขาหาว่าผมมีแฟนครับ"

พระอาจารย์: "แล้วเธอมีหรือเปล่าละ"

เณรน้อย: "ไม่มีครับ"

พระอาจารย์: "โอ้น่าเสียดาย ถ้าเธอมีจะดีมากเลย"

เณรน้อย: "ทำไมถึงดี"

พระอาจารย์: "ดีเพราะคำว่าแฟน ภาษาอังกฤษแปลว่า พัด
คำว่า พัด หมายถึงสิ่งที่ทำให้คลายร้อน(เย็น)
แต่ตอนนี้ เณรกำลังร้อนก็เพราะเณรไม่มีแฟนไง
ไปกวาดวัด ทำภาวนาหาแฟนในใจไป"



ที่มา... หนังสือ น้อมสู่ใจ เล่ม 1 โดย พระประสงค์ ปริปุณฺโณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



พ่อหลวงฝากไว้

ในสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงแนะให้มีศาลเทพารักษ์

เป็นพระราชกำหนดที่พระองค์ทรงได้กำหนดใช้ขึ้น เมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงครองราชย์อยู่ มีใจความว่า

"พหูสูตรนั้นถึงจะนับถือพระภูมิเจ้าที่เทพารักษ์นั้น ก็ถือเอาแต่โดยจิตรคิด
ว่าเป็นมิตรสหายเป็นที่ป้องอันตรายมิได้คิดว่าประเสริฐกว่าพระรัตนตรัยตะยาธิคุณมิได้.."


"แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ให้ข้าทูลละอองผู้ใหญ่ ผู้น้อย ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง กรมการเมือง
เอก โท ตรี จัตวา ทั้งปวงบันดามีสาร (ศาล) เทพรักษ์พระภูมิเจ้าที่ และเสื้อเมืองทรงเมือง
ให้บำรุงซ่อมแปลงที่ปรักหักพัง ...แลแต่งเครื่องกะยาบวด ผลไม้ ถั่วงาเป็นต้น
แลธูปเทียนของบูชา ฟ้อนรำ รำบวงสรวงพะลี...ซึ่งอันสมควรแก่เทพารักษ์
แต่อย่านับถือว่ายิ่งกว่าพระไตรสรณาคม ห้ามอย่าให้พลีกรรมด้วยการฆ่าสัตว์
และให้กระทำบุญให้ทานรักษาศีล"



รัชกาลที่ 3 สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงห่วง วัด ศาสนา

พระองค์ทรงตรัสกับบรรดาบรมวงศานุวงศ์ เมื่อครั้งก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต ว่า

"ทุกวันนี้คิดสละห่วงใหญ่ให้หมด อาลัยอยู่แต่วัดสร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็มี
ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ช่วยทำนุบำรุงเงินในพระ คลังที่เหลือจับจ่ายใช้ราชการแผ่นดิน
มีอยู่ 4 หมื่นชั่ง ขอสัก 1 หมื่นเถิด ถ้าผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วให้ช่วยบอกแก่เขา
ขอเงินรายนี้ให้ช่วยทำนุบำรุงวัดที่ชำรุดและการวัดที ่ยังค้างอยู่นั้นให้แล้วด้วย"



พระเจ้าตากสินมหาราช

เป็นคำประพันธุ์ของพระองค์ที่ทรงประพันธ์ไว้เมื่อครั้งยังทรงครองราชสมบัติอยู่
หลังจากกอบกู้เอกราชจากการตกเสียกรุงครั้งที่ 2 มีใจความว่า

"อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน"



From หนังสือประวัติศาสตร์ไทย 2


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยอดจริง ๆ คุณพ่อ

ลูกชาย ชวนพ่อของเค้าว่า...
"พ่อ จะร่วมแข่งมาราธอนกับผมมั้ย ?? "
พ่อซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ ตอบว่า' ตกลง'
แล้ว เค้าทั้งสองก็เข้าร่วม
และจบการแข่งขันมาราธอนครั้งนั้นด้วยกัน


พ่อและลูกชาย คู่นี้ได้เข้าร่วมการแข่งขันมารธอนอื่นๆต่อมา
และพ่อ จะตอบ 'ตกลง'สำหรับคำชวนเข้าร่วมมารธอนด้วยกัน ของลูกชาย

แล้ววันหนึ่ง ลูกชาย ก็ถามพ่อว่า' พ่อ เราไปลงแข่ง 'คนเหล็ก'ด้วยกันมั้ย

และ เช่นเคย พ่อเค้าก็ตอบว่า 'ตกลง'


สำหรับ คนที่ยังไม่รู้ คนเหล็กคือการแข่งขัน ไตรกีฬาสุดโหด ที่สุด
การแข่งขันประกอบด้วย การแข่งสุดยอดความทรหดสามรายการ
เริ่มด้วย ว่ายน้ำ ในทะเล ระยะทาง 3.86 กม.
ต่อด้วย การปั่นจักรยาน ระยะทาง 180.2 กม.
และ ปิดท้ายด้วยการวิ่งมารธอนระยะทาง 42.195 กม ไปตามชายฝั่งของเกาะใหญ่


พ่อ และลูกชาย ได้เข้าร่วมการแข่งขันคนเหล็ก
และ จบการแข่งขันด้วยกัน

คลิกลิ้งค์เพื่อดู VDO การแข่งขันคนเหล็ก ของคู่หูพ่อลูกคู่นี้ ได้เลย

http://www.godtube.com/view_video.php?viewkey=8cf08faca5dd9ea45513

ปล.เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วย


http://www.tamdee.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.

เปิดใจ...ฝรั่งหัวใจพุทธตลอดกาล

.......

พระพุทธศาสนา ใน ประเทศไทย จะถูกรุกคืบ จากศาสนา แห่ง โลกตะวันตก อย่างต่อเนื่อง
เพื่อหวังชิงพุทธศาสนิกชน ให้เป็น ศาสนิก ของตน โดยทุ่มงบ ประมาณ มหาศาล พร้อมด้วย
แผนประชาสัมพันธ์ อย่างเหนือชั้น แม้ว่าจะดึงพุทธศาสนิกชน ส่วนหนึ่ง ไปได้
แต่ในทางกลับกัน มีชาวตะวันตกจำนวนไม่น้อยหันมานับถือศาสนา


โดยความสมัครใจ ด้วยเหตุผลที่ว่า

"พุทธศาสนาสอนให้พึ่งตนเอง คำสอนเป็นหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้"

นายมาร์เซล ปีเตอร์ คาร์ล หรือชื่อไทย "นายเมธา" ทำงานอยู่กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
เป็นชาวตะวันตกคนหนึ่งที่หันมานับถือพุทธศาสนา เล่าถึงความเป็นมาของการนับถือพุทธศาสนาว่า
เริ่มเข้าอยูในเมืองไทยตั้งแต่เป็นเด็ก ขณะนั้นอายุ ๔ ขวบเท่านั้น ทำให้ได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาเรื่อยมา โดยไม่ได้คิดว่าเวลานั้นเราต้องนับถือศาสนาอะไร
กระทั่งเข้าเรียนหนังสือชั้นประถมปีที่ ๑ ครูก็เริ่มให้สวดมนต์ทุกวันศุกร์
และสวดมนต์หลังเคารพธงชาติ เป็นการเรียนรู้พระพุทธศาสนามาตั้งแต่เป็นเด็ก ขนาดชื่อ "เมธา"
ก็เป็นชื่อไทย ที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งตั้งให้


ปฏิบัติธรรมครั้งแรกอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ โดยอาจารย์สอนให้นั่งวิปัสสนากรรมฐาน
แล้วนั่งสมาธิหลังจากเลิกเรียนประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง จะเริ่มฝึกให้เดินจงกรมก่อน
จากนั้นก็ฝึกให้นั่งสมาธิด้วยการฝึกลมหายใจเข้า และลมหายใจออก
ความรู้สึกที่เริ่มฝึกต้องยอมรับว่าทรมานตัวเองพอสมค วร เพราะจะต้องกำหนดทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นยกหนอ ก้าวหนอ เมื่อยหนอ ทำให้เรามีสติ


หลังจากฝึกเดินจงกรมแล้วจึงปฏิบัติสมาธิ "เมธา" รู้สึกว่าดีขึ้น จะว่าไปแล้ว
การทำสมาธิคือการบังคับจิตใจของเราให้อยู่ในสภาพที่จะใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด
เป็นลักษณะของจิตที่พร้อม สมควรแก่การทำงานต่างๆ แต่เราต้องฝึกฝนเพื่อให้สามารถ
บังคับจิตให้เป็นไป ให้พร้อมแก่การทำงานทุกอย่าง เราจึงจำเป็นต้องมีการฝึกสมาธิ
ครูสอนเราอย่างเดียวไม่พอ ยังมีการลองวิชาให้เห็นอีกด้วย


"การนั่งสมาธิทำให้รู้ว่ายังมีอะไรที่ติดค้างอยู่ในตัวเอง กระทั่งโตมาก็เข้าใจ
ในพระพุทธศาสนามากขึ้น การเข้ามานับถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ใช่แรงบันดาลใจอะไรทั้งนั้น
แต่มันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเรามากกว่า ไม่ว่าจะถูกหล่อหลอมให้เข้าวัดทำบุญเป็นประจำ
ได้สัมผัสกับความเป็นพุทธ ส่งผลให้เราไม่ขาดในเรื่องของความเป็นพุทธ"
นายเมธา กล่าวพร้อมกับบอกด้วยว่า


จากนั้นเดินทางไปเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ชีวิตเริ่มเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
โดยช่วงนั้นอยู่ในเทศกาลปีใหม่ ตนเองก็มีความทุกข์อยู่บ้าง จะบินไปหาเพื่อนชื่อ "ตา"
จึงซื้อตั๋วเครื่องบิน ปัญหาเกิดขึ้น ไม่ทราบว่าน้องเขาไม่ว่างหรืออย่างไร แต่ซื้อตั๋วไว้แล้ว
การทำครั้งนี้ก็เพื่อตัวเอง จึงตัดสินใจไปวัดเพื่อกราบนมัสการ "หลวงอากิตติ"
และสนทนากับท่านแล้วถือศีล ๘ ได้หลักธรรมมากมาย


หลวงอากิตติแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้มีความสุขอย่างแท ้จริงแล้วต้องทำอย่างไร
ทั้งนี้หลวงอากิตติพูดถึงความรู้สึกทางกายไว้อย่างน่ าฟังว่า


"หลวงอาก็เป็นมนุษย์นะ ไม่ใช่ไม่มีความรู้สึก แต่เนื่องจากว่าหลวงอายังไม่เคยสัมผัส
ก็เลยไม่อยากที่จะสัมผัสกับเรื่องราวเหล่านี้ คือมันไม่มีความต้องการที่จะให้เกิด
ทำเหมือนไม่รู้จัก แต่ถ้าถามว่ารู้ไหมว่าอะไรคืออะไร ท่านรู้ หลวงอาเหมือนสอนอยู่ในตัว
"



นายเมธา บอกด้วยว่า ครั้งหนึ่งที่โดนหลวงอากิตติตำหนิระหว่างที่ทำวัตรเช ้าทำวัตรเย็น
มีฝรั่งคนหนึ่งเคยมาบวชเณรที่เมืองไทย ความรู้สึกก็คิดว่าเขาน่าจะรู้วิธีปฏิบัติ
เช้ามาเราอาจจะขอความช่วยเหลือจากเขาช่วยปลุกตอนเช้า ฝรั่งคนนั้นรับปากว่าจะช่วยปลุก
แต่ปรากฏว่าเช้าวันนั้นตื่นสายทั้งคู่ ก็คาดหวังว่าเขาจะปลุกเรา
เขาเองก็คิดว่าเขาคงทำได้ วันนั้นตื่นลงมาเวลาทำความสะอาดวัดก็เกือบหมดเวลา


เมื่อชาวบ้านกลับออกจากวัดหมดแล้ว ท่านถามว่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงตื่นสาย
ยอมรับว่าเราไปพึ่งพาคนอื่นให้เขาปลุกเรา เพราะเขามีนาฬิกาปลุก
หลวงอาสอนอยู่อย่างหนึ่งทำให้รู้สึกดีมาก คือ โยมเมธารู้ไหมว่า ในตัวทุกคนเราเนี่ยนะ
มีนาฬิกาอยู่ ถ้าเรากำหนดจิต การกำหนดจิตทำได้ แต่เราฝึกมันเป็นไหม
เราใช้นาฬิกาในตัวเราเป็นหรือเปล่า ก่อนที่เราจะนอน ต้องทบทวนชีวิตตลอดทั้งวัน
แล้วพรุ่งนี้เราต้องคิดว่าจะทำอะไร ทำเวลาไหน เราจะเริ่มตื่นกี่โมง
ถ้าบอกหกโมงสี่สิบห้านาทีมันก็จะเป็นไปตาม
นั้น

เมื่อถามถึงความเป็นพุทธ นายเมธา บอกว่า วันเกิดก็ทำบุญทำสังฆทาน
หรือพาภรรยาไปไหว้หลวงพ่อโต สาเหตุที่ไม่ค่อยได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อรูปต่างๆ
เป็นเพราะเมื่อสองปีที่ผ่านมา มีเพื่อนชวนไปหา พระอาจารย์พยอม วัดสวนแก้ว
เพื่อถวายของ แต่มีคนมาวัดกันมาก ทำให้เข้าไม่ถึงท่าน หรือ หลวงพ่อคูณ
เองเราก็อยากเข้าถึงท่าน แต่ก็ยังไม่มีโอกาส


อย่างไรก็ตาม เมื่อว่างเว้นจากการทำงาน เขาจะเข้าวัดฟังธรรมที่วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
ชอบนั่งบริเวณหอพระไตรปิฎก รู้สึกสบายใจเหมือนใจเราผูกพันกับสถานที่นั้นๆ หรือไป
จ.พระนครศรีอยุธยา ในทุกที่มีความรู้สึกว่าใต้แผ่นดินตรงนั้นน่าจะมีอะไ รอยู่อีก
คล้ายๆ เป็นสิ่งเร้นลับซับซ้อนมากมาย บรรพบุรุษคนไทยทำอะไรไว้ หรือมีวัตถุล้ำค่าอยู่อีก
เราก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ความรู้สึกของจิตใจมันเป็นเช่นนั้น


"มาวันนี้ ผมนำหลักธรรมมาใช้กับตัวเราได้เยอะ ก่อนหน้านี้ผมชอบใช้ของที่ดีมีรสนิยม
เช่น มือถือ จากราคาหลายพันบาท หรือบางเครื่องเป็นหมื่น ทุกวันนี้ก็ใช้เครื่องที่พอใช้ได้
ราคาพันกว่าบาท ก็ทำให้เราไม่ฟุ่มเฟือย วันนี้ผมยังอายเหมือนกัน
ที่ไปถวายสังฆทานแล้วยังว่าคำถวายสังฆทานไม่ได้ ยังคงให้พระนำสวดให้อีก
ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ น่าจะอยู่ในใจของคนไทยเราเสมอ" เมธา กล่าวทิ้งท้าย



ที่มา http://board.agalico.com/showthread.php?p=69520
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..

ธรรมะ คือ อะไร (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

....


พูดเรื่อง ธรรม มันกว้างมาก ธรรม คือ ธรรมดา

สภาพอันหนึ่งซึ่งเป็นของจริงเรียกว่า ธรรมะ มันกว้าง
แต่เมื่อเรามาพูดกันเรื่อง ธรรมมะที่เราปฏิบัติ
โดยเฉพาะคือ ปฏิบัติสุจริต ทำชอบ ทำดี นั่นเรียกว่า ธรรมะ
ทำชั่ว ก็เรียกว่า ธรรม เหมือนกัน


แต่เราไม่นิยมจะเอาคำนั้นมาพูด
คำว่า ธรรม กว้างมาก

ดีก็เรียกว่า ธรรม
ชั่วก็เรียกว่า ธรรม
ไม่ดีไม่ชั่วก็เรียกว่า ธรรม

ในตัวของเราทั้งหมด คือ รูปธรรม นามธรรม ก็เรียก ธรรม
ถ้าพูดเฉพาะทางปฏิบัติเรียกว่า ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เราดี เพื่อเราจะได้รับความสุข


: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ซุปเปอร์สตาร์ที่คนทั่วโลกชื่นชอบกับพระพุทธศาสนา

ทอม ครูซ (Tom Cruise)

ทอม ครูซ (Tom Cruise) ชาวอเมริกัน พระเอกหนุ่มเนื้อหอมผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนต์
เรื่อง “Misson Impossible” ได้กล่าวยกย่องพุทธศาสนา
ในการแถลงข่าวงานเปิดรอบปฐมทัศน์ของหนังเรื่องใหม่ที ่เขาแสดงนำคือ “The Last Samurai”
ณ โรงแรมริซท์ กลางใจกรุงปารีส ว่า หลังจากที่ตนได้ศึกษาบทนำจากหนังเรื่องดังกล่าว
ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจในปรัชญาตะวันออก ทั้งพุทธศาสนาและศิลปะบูชิโดของญี่ปุ่น
ทำให้ตนได้เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย และยืดหยุ่น
ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ


นอกจากนี้เขายังได้กล่าวยกย่องศาสนาพุทธว่าเป็นศาสนา ที่เป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์ทั้งหมด
ซึ่งสอนให้คนรู้จักตนเองและมอบความรักเผื่อแผ่ให้ผู้ อื่นได้
และถือว่าการได้สัมผัสกับพุทธศาสนาเป็นประสบการณ์ที่ มีค่ายิ่งในชีวิตของเขา


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ริชาร์ด เกียร์ (Richard Gere)

ริชาร์ด เกียร์ (Richard Gere) ดาราชื่อก้องชาวอเมริกัน ได้ชื่อว่าเป็นดาราหนุ่มที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนห นึ่งในปี 1980-1990 ภาพยนต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากก็คือ Pretty Woman (1990) และเมื่อปี 2546 ที่ผ่านมา เขาก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 60 ในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนต์เรื่องชิคาโก

ริชาร์ด เกียร์ หันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จนพบว่าศาสนาพุทธให้คำตอบกับชีวิตของเขาได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และใช้เวลานอกจอช่วยเหลืองานขององค์ทะไลลามะ ในการเผยแผ่ศาสนา และเมื่อครั้งที่มีการประกาศรางวัลออสการ์ปี 1993 ท่ามกลางสายตาของผู้ชมนับล้านๆ คู่ ริชาร์ด เกียร์ ก็ใช้เวทีนี้เรียกร้องความรักและสัจธรรมให้กับมวลมนุ ษย์ และในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2545 นั้น ริชาร์ด เกียร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เขากำลังศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์

เกียร์เคยพูดว่า เราต้องคิดว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายนั้นได้ก่อความเลวร้ ายให้กับชีวิตภายหน้าของพวกเขาไว้แล้ว เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว และเราจะต้องมองให้กว้างไกลว่าเราทุกคนต่างเกี่ยวโยง กับการกระทำครั้งนี้เช่นกัน เขาย้ำว่า เราต้องให้ความรักและเมตตากับทุกคน ไม่เว้นแม้พวกที่ก่อการร้าย ถ้าเราทั้งหลายสามารถที่จะมองพวกผู้ก่อการร้าย ด้วยความคิดว่าเขาเหล่านั้นคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับก ารบำบัดรักษา ยาที่จะรักษาพวกเขาได้ก็คือ ความรักและเมตตานั้นเอง ไม่มีอะไรจะดีกว่านั้นอีกแล้ว
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สตีเว่น ซีกัล (Steven Seagal)

พระเอกนักบู๊ชื่อดังของฮอลลีวู้ดชาวอเมริกัน โด่งดังขึ้นมาในฮอลลีวู้ดในฐานะพระเอกหนังแอ๊คชั่น
หนังเรื่องล่าสุดของเขา คือ Exit Wounds ซีกัลได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน
ในพุทธศาสนา อย่างเคร่งครัด จนกระทั่งมีลามะในทิเบตบางรูปพูดถึงเขาว่า
เขาเป็นอดีตลามะองค์สำคัญที่กลับชาติมาเกิดทีเดียว


:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โรเแบร์โต บาจโจ (Roberto Baggio)

โรเแบร์โต บาจโจ (Roberto Baggio) นักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาลี หันมาสนใจพุทธศาสนา
หลังผ่าตัดเข่าข้างขวา และต้องหยุดเล่นนานถึง 2 ปี ช่วงนี้เขาต้องฝึกกายภาพด้วยความหวัง
ที่เลือนลาง และไม่มีความสุข หงุดหงิด อารมณ์เสียบ่อยครั้ง เมาริซิโอ โบลดรินี
เจ้าของร้านขายแผ่นซีดี ซึ่งโรเบอโต้เป็นลูกค้าประจำที่ร้าน จึงได้แนะนำให้เขาสวดมนต์
บาจโจรู้สึกดีขึ้นมาก และหันมาสนใจศึกษาพุทธศาสนา จนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
กระทั่งอาการบาดเจ็บที่เข่าของ เขาค่อยทุเลาลง และสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง


บาจโจ บอกไว้เมื่อ พ.ศ.2539 ว่า แม้จะปฏิบัติธรรมได้เพียง 8 ปีเท่านั้น แต่บุญกุศลที่ได้รับนั้น
มากมายเกินกว่าจะกล่าวได้หมด อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือได้เปลี่ยนแปลง
ทัศนคติของตนเอง เพราะก่อนหน้าที่จะหันมาปฏิบัติธรรมนั้น
เขาเป็นคนที่จะต้องคิดในรูปแบบที่ตัวเองวางกรอบหรือก ำหนดไว้แล้ว
หรือไม่ก็ตัดสินสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้ความคิดของตนเองเป็นหลัก
และคิดว่าการกระทำเช่นนี้ของตนถูกต้องเสมอ


แต่หลังการปฏิบัติธรรมแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากมายในชีวิตจิตวิญญาณ
ของตัวเอง ซึ่งต้องใช้สติปัญญาในการตัดสินใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากเพราะบางครั้งจิตใจ
ก็ตกอยู่ภาย ใต้อิทธิพลทางกาย

บาจโจบอกว่าสำหรับชาวอิตาเลียน แล้ว พุทธศาสนานั้นอยู่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องอะไร
กับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และชาวอิตาเลียนจะมีความเชื่อในความคิดเห็นของตนเองมาก
และไม่ต้องการศึกษาเรียนรู้ หรือเข้าใจปรัชญาอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยรับรู้มา
แต่จะตัดสินสิ่งต่างๆ ตามความคิดเห็นของตนเอง สำหรับเขาแล้วการตัดสินใจหันมานับถือ
พุทธศาสนา ไม่รู้สึกว่าขาดความ เชื่อมั่น และไม่แคร์ว่าใครจะพูดว่าอย่างไร
เพราะเป้าหมายของตนคือต้องการจะเป็นบุคคลที่มีความสุขที่สุด


:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ภาพสะท้อนของตัวเรา

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง
อาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่ง
ทุกๆเช้า ภรรยาจะแอบมองดูเพื่อนบ้าน
จากหน้าต่างชั้นบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานให้สามีฟัง
" เพื่อนบ้านเรานี่
ซักผ้าไม่เป็นเลย
เสื้อผ้าสกปรกเหลือเกิน
ไม่รู้เขาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร
หรือใช้วิธีซักอย่างไร "


สามีก็ตอบว่า
"อย่าไปสนใจคนอื่นเขาเลย
เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน"

แต่ภรรยาก็ยังไปแอบดูเพื่อนบ้านอยู่ทุกเช้า
จากหน้าต่างข้างบนบ้าน
และวิ่งกลับมารายงานสามีทุกเช้า

"เสื้อผ้าของเขาสกปรกอีกแล้ว"


ต่อมาวันหนึ่ง
ภรรยาวิ่งลงมารายงานสามี
ด้วยความแปลกประหลาดใจ
"ไม่เข้าใจจริงๆ
ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น
เสื้อผ้าของเขาขาวสะอาด
อยากจะรู้เหลือเกินว่า
เขาเปลี่ยนมาใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไร
หรือทำอย่างไร.."
สามีหัวเราะและกล่าวว่า


"นี่..ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน เมื่อเช้าฉันตื่นแต่เช้ามืด
และไปเช็ดกระจกหน้าต่างให้ใสสะอาด..
ก่อนหน้านี้ กระจกมันสกปรก
เธอมองออกไป ก็เห็นแต่ความสกปรก.."

มนุษย์เราชอบมองคนอื่น
โดยผ่านจิตใจของเราออกไป
เมื่อจิตใจของเราสะอาด
เราก็จะเห็นแต่ความดีงามรอบๆตัว


แต่ถ้าจิตใจของเราสกปรก เราก็จะเห็นแต่ความสกปรกรอบตัว
การที่เราเห็นแต่ความเลวรอบๆตัวเรา เราต้องเข้าใจว่า
แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่เราเห็น มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
และเราจะต้องหาทางฝึกจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
ถ้าเราเห็นแต่สิ่งที่เลว จิตใจก็ไม่สงบ
เราก็จะกลุ้มอกกลุ้มใจ มีความทุกข์

แต่ถ้าเราหัดมองในแง่ดี เราก็จะคิดแต่สิ่งที่ดี
จิตใจก็จะเบิกบานและมีความสุข

คนที่ถูกนินทาด่าว่ามีอยู่ทั่วไป ถ้าจะเพิ่มเราเป็นผู้ถูกนินทา
เข้าไปอีกสักคน จะเป็นไรไป


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กล่องสีทอง

ครั้งหนึ่งในวันปีใหม่
คุณพ่อทำโทษลูกสาวด้วยความอารมณ์เสีย เพราะว่าโกรธเด็กน้อยที่เอากระดาษห่อของขวัญสีทองซึ่ งมีราคาแพงมาใช้ห่อเล่น
เขาเข้าใจว่าลูกสาวพยายามจะตกแต่งบ้านสำหรับวันปีใหม ่เท่านั้น
แต่เศรษฐกิจอย่างนี้ใครก็สามารถอารมณ์เสียกับเรื่องเ ล็กน้อยแบบนี้ได้เสมอ


แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยก็ถือกล่องของขวัญที่ห่อด ้วยกระดาษสีทองมาให้คุณพ่อและกล่าวอย่างร่าเริงว่า
"กล่องนี้ของคุณพ่อนะคะ"
คุณพ่อรู้สึกระอายกับการกระทำของตนเองเมื่อคืน
เขากล่าวขอบคุณลูกสาวเบาๆและแกะกล่องอย่างระมัดระวัง


แต่แล้ว...มันเป็นกล่องเปล่า..ไม่มีอะไรข้างในเลย
เขาโกรธและตะโกนถามลูกสาวว่า
"นี่ลูกไม่เคยรู้เหรอว่าเวลาให้กล่องของขวัญกับใคร
มันควรจะมีอะไรข้างในบ้างนะ"


เด็กน้อยเงยหน้ามองคุณพ่อช้าๆ พลางสะอึกสะอื้น
"แต่เมื่อคืนหนู....หนูใส่ของขวัญไว้ให้คุณพ่อแล้วนะค ะ
หนูหอมแก้มคุณพ่อใส่ไว้จนเต็มกล่องเลย"

คุณพ่อรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันที
เขายกตัวลูกสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก
แล้วขอร้องให้เด็กน้อยให้อภัยที่เขาอารมณ์เสียไปบ้าง

ที่น่าเศร้าก็คือ หลังจากนั้นไม่นานเด็กน้อยก็ประสบอุบัติเหตุและเสียช ีวิต

ต่อมาหลายปี
คุณพ่อก็ยังเก็บกล่องของขวัญนั้นไว้ที่หัวเตียงเสมอ เมื่อเขารู้สึกท้อแท้หรือเศร้าใจ
เขาจะหยิบกล่องสีทองมาเปิด ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยได้กลับมาหอมแก้มเขาอีกครั้ งหนึ่ง


อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คุณพ่อยังจดจำความรักที่ลูกสาวมีให้เขาอย่างเสมอมา.. .เหมือนกับว่าสิ่งที่มีค่า
ที่สุดของลูกสาวที่เขาสามารถยึดถือเอาไว้ใช้ได้ ไม่ใช่กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองหรือกล่องที ่ทำจากทองคำแท้ใดๆ แต่เป็นความรักอันแสนจริงใจ
ที่ลูกสาวของเขาได้ฝากเอาไว้จนเต็มกล่องต่างหาก....





:b53:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 13:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

แม่ไก่ มีโอกาสเกิดเป็นพรหมแล้ว ยังมีโอกาสเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้อีก

จากหนังสือธรรมะของพระธรรมธีรราช มหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙)
ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ท่านนำออกมาจากพระไตรปิฏกอีกทีหนึ่ง
และชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานจนได้ฌานไปเกิดอยู่ในพรหมโลกแล้ว
เมื่อหมดบุญก็สามารถกลับมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้อีก


มีเรื่องเล่าไว้ว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ มีแม่ไก่ตัวหนึ่งอยู่ในที่ใกล้อาสนะศาลา
แม่ไก่ตัวนั้นได้ฟังเสียงประกาศธรรมของภิกษุผู้เป็นนักปฏิบัติธรรมรูปหนึ่งกำลังสาธยาย
เรื่องวิปัสสนากรรม ฐานอยู่ ขณะนั้นเอง เหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาโฉบเอาแม่ไก่ไปกินเสีย
พอแม่ไก่ตัวนี้ตายไปในขณะที่ฟังธรรมอยู่ จึงได้เกิดมาเป็นพระราชธิดานามว่า อุพพรี
และได้ออกบวชในสำนักของปริพาชิกาทั้งหลาย
วันหนึ่งนางได้เข้าไปสู่ในเว็จกุฎี(ห้องส้วม) ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้วได้เจริญสมถกรรมฐาน
โดยเอา หนอนเป็นอารมณ์ เรียกว่า ปุฬุวกสัญญา ได้บรรลุปฐมฌาน
เพราะสามารถฝึกสมาธิจนได้ฌาน


ตายจากชาตินั้นจึงได้ไปเกิดในพรหมโลก อยู่บนนั้นเสียนาน ตายแล้วมาเกิดในตระกูลเศรษฐี
จากนั้นก็ตายไปเกิดเป็นลูกนางสุกรในกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเรานี้
พระบรมศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นลูกนางสุกรตัวนั้นจึงทร งแย้มพระโอษฐ์
พระอานนท์เถระจึงได้ทูลถาม พระพุทธองค์จึงได้ตรัสตอบข้อความนั้นทั้งหมด
(คือเล่าตั้งแต่แม่ไก่มาถึงลูกนางสุกร)


ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนท์เป็นประมุขได้สดับเรื่องนั้นแล้ว
ต่างพากันสังเวชสลดใจเป็นอันมาก พระศาสดายังความสังเวชสลดใจ
ให้เกิดแก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงประกาศโทษแห่งราคะตัณหา ทั้งๆที่ประทับยืนอยู่
ในระหว่างถนนนั่นเอง


ท่านตรัสเป็นพระคาถาแปลเป็นใจความว่า
ต้นไม้ เมื่อรากไม่มีอันตราย ยังมั่นคง ถึงจะถูกบุคคลตัดแล้ว รากก็ยังขึ้นได้อีก แม้ฉันใด
ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น คือเมื่อตัณหานิสัยอันบุคคลยังขจัดไม่ได้แล้ว
ย่อมเกิดขึ้นได้อยู่ร่ำไปเหมือนกันอย่างนั้นหมู่สัตว ์เกิดตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว
ย่อมกระเสือกกระสนเหมือนกระต่าย ที่นายพรานดักได้แล้วนั้น
เพราะเหตุนั้นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร หวังธรรมเป็นที่สำรอกกิเลสแก่ตนพึงบรรเทา
พึงกำจัด พึงนำออก พึงละตัณหา ผู้กระทำการดิ้นรนนั้นเสียด้วยญาน
มีโสดาปัตติมรรคญาน เป็นต้นดังนี้


ฝ่ายลูกนางสุกรตัวนั้น ตายจากชาตินั้นแล้วได้ไปเกิด ในราชตระกูลในสุวรรณภูมิ
ไปเกิดในกรุงพาราณสี เกิดในเรือนพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะเกิดในเรือนของกฎุมพี
ชื่อสุมนะ ในเภกกันตคาม มีชื่อว่าสุมนา ต่อมาบิดาย้ายไปสู่แคว้นทีฆวาปีอยู่ในหมู่บ้าน
ชื่อมหามุนีคาม อำมาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามณี นามว่า ลกุณฏอติมพระ
ไปที่หมู่บ้านนั้นด้วยกิจบางอย่าง เห็นนางสุมนาแล้วเกิดรักใคร่
จึงทำการมงคลให้อย่างใหญ่โต และได้พานางไปสูบ้านมหาปุณณคาม


ครั้งนั้นพระมหาอตุลเถระเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้น ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนาง
เห็นนางแล้วจึงกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลายลูกนางสุกรถึงความ
เป็นภรรยาของอำมาตย์ชื่อลกุณฏอติมพระแล้ว โอ.....น่าอัศจรรย์จริง
นางสุมนาเมื่อได้ฟังคำของพระเถระแล้ว สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทันที
และเกิดความสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง อ้อนวอนสามีขอบวชในสำนักพระเถรี
ผู้ประกอบด้วยพละ๕ ด้วอิสริยยศชั้นสูงได้ฟังกถาพรรณนามหาสติปัฏฐานสูตร
ในติสสมหาวิหาร ได้สำเร็จโสดาปัตติผล


ภายหลังเมื่อพระเจ้าทุฏฐคามณีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระนางสุมนาเถรีได้เดินทางไปสู่
บ้านเภกกันตคามซึ่งเป ็นที่อยู่ของมารดาบิดา ขณะอยู่ในบ้านนั้นได้ฟังอาสีวิสูปมสูตรใน
กัลลกมหาวิหาร จนบรรลุพระอรหันต์ในวันปรินิพพาน นางอันพวกภิกษุณีได้ถามแล้ว
ได้เล่าประวัติทั้งอย่างล ะเอียดแก่ภิกษุณีสงฆ์ แล้วสนทนากับพระมหาติสสเถระ
ผู้กล่าวบทแห่งธรรม ผู้มีปกติอยู่ในมณฑลาราม ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ผู้ประชุมกันแล้วกล่าวว่า


“ในกาลก่อน ข้าพเจ้าตายจากมนุษย์แล้วเกิดเป็นแม่ไก่ ถูกเหยี่ยวตัดศีรษะในอัตตภาพนั้น
ได้ไปเกิดในกรุงราชคฤห์ แล้วออกบวชในสำนักของปริพาชิกาทั้งหลายเจริญสมถกรรมฐาน
ได้บรรลุปฐมฌาน ตายไปแล้วบังเกิดในพรหมโลก แล้วมาเกิดในตระกูลเศรษฐี
ตายจากนั้นแล้วไปเกิดเป็นสุกร แล้วไปเกิดในสุวรรณภูมิ...
ตายจากนั้นไปเกิดที่บ้านเภกันตคาม ข้าพเจ้าได้เกิดถึง ๑๒ อัตตภาพ
อันสูงๆต่ำๆด้วยประการฉะนี้


บัดนี้ ข้าพเจ้าได้เกิดในอัตตภาพอันอุกฤษฏ์ ขอให้ท่านทั้งหลายแม้ทั้งหมด
จงยังธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ดังนี้ได้ยังบริษัท๔ ให้สังเวชสลดใจ แล้วปรินิพพาน


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 68 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร