วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 08:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ลองจินตนาการว่า

มีธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้าเป็นเงิน 86,400 บาท
ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น....
ทุกตอนเย็นจะลบยอดคงเหลือทั้งหมดที่คุณไม่ได้ใช้ระหว ่างวัน....
คุณจะทำอย่างไร?


แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์...ใช่ไห ม...

เราทุกคนมีธนาคารอย่างนั้นเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า "เวลา"
.....มันเข้าบัญชีให้คุณ 86,400 วินาที....


วินาที...ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชีถือว่าขาดทุน
ตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดีๆ


มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี
ในแต่ละวันจะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ.... ทุกค่ำคืนจะลบยอดคงเหลือของทั้งวันออกหมด


ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์ในระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณ
ไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้ ไม่มีการถอนของ "วันพรุ่งนี้" มาใช้ได้


คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวันน ี้
ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนมาสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็น...เพื่อสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ...
นาฬิกากำลังเดิน...ทำวันนี้ให้ดีที่สุด...


จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งปี ให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้น...
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งเดือน ให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งสัปดาห์ ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งชั่วโมง ให้ไปถามคนรักที่กำลังรอคอยตามนัดหมาย
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งนาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟ
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งวินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งรอดหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา เสี้ยววินาที ให้ไปถามคนที่เพิ่งชนะได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิค


ทำทุกขณะที่คุมีให้มีคุณค่า... และทำให้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีกเพราะ
คุณใช้มันร่วมกับ...คนพิเศษบางคนของคุณ....ให้พิเศษเ พียงพอที่จะใช้เวลาของคุณ


และจำไว้เสมอว่าเวลาไม่เคยคอยใคร...แม้สักคนเดียว
เมื่อวานเป็นอดีต...พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย....วั นนี้เป็นของขวัญ
นั่นไงทำไมมันถึงถูกเรียกว่า..."Present"


ขอบคุณนานาสาระ/variety iam_suyu


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 16:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อุบายหักอาลัยในเนื้อคู่ของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

เคยมีคำทำนายเกี่ยวกับเนื้อคู่ของหลวงปู่แหวน เมื่อสมัยที่เรียนมูลกัจจายน์ที่จังหวัดอุบลราชธานี
ได้มีหมอดูทำนายว่าเนื้อคู่ของท่าน
จะมีรูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้ารูปใบโพธิ์ แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจอะไร
ด้วยชีวิตนี้ท่านได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อพระศาสนาแล้ว
จึงขอกล่าวถึงข้อความตอนหนึ่งในหนังสืออนุสรณ์หลวงปู ่แหวน
เกี่ยวกับในช่วงที่จิตของท่านนึกเห็นแต่หน้าของหญิงน างนั้น
ที่สุดท่านก็ได้บังคับจิตของท่านให้หลุดออกจากห้วงนั ้น
โดยใช้อุบายธรรมพิจารณาเหตุผลในทีละอย่าง
จนท่านก็ประสบความสำเร็จ เนื้อความในหนังสือที่ยกมากล่าวอ้างนี้ความ
ว่า

วันหนึ่ง หลวงปู่แหวนได้มาพักบำเพ็ญอยู่ที่บ้านนาสอง เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร
พวกชาวบ้านถิ่นนั้นมีแปลกอยู่อย่างคือ
เวลาเห็นพระไปบิณฑบาต พวกเขาจะป่าวร้องกันมาใส่บาตรว่า
“มาเน้อมาใส่บาตร ญาธรรมมาแล้ว
หาน้ำอ้อยน้ำตาลมาใส่บาตร ญาธรรมมาแล้ว ท่านชอบของหวาน”
เมื่อได้ยินคนร้องประกาศเช่นนั้น ต่างก็เอาของมาใส่บาตรจนเต็ม
พวกนี้เหมือนกับพวกไทยใหญ่ ไทยใหญ่ถ้าเห็นพระไปบิณฑบาต
เขาจะใส่บาตรด้วยน้ำอ้อยน้ำตาลกับข้าวเช่นกัน พวกเขาถือว่าเจ้บุ๊นไม่กินเนื้อสัตว์
กินแต่ของหวาน แต่อย่างไรก็ตาม การฉันข้าวกับน้ำอ้อยน้ำตาลนั้นวันสองวันแรกก็ฉันได้ดี
แต่วันที่สามที่สี่รู้สึกเบื่อ


วันหนึ่งใกล้ค่ำได้ไปสรงน้ำที่แม่น้ำงึม มีหญิงสองคนแม่ลูกถ่อเรือมาตามลำน้ำงึม
ถึงที่พระกำลังสรงน้ำอยู่ ก็ชำเรืองตามาทางพระหนุ่ม
เมื่อสายตาของทั้งฝ่ายประสานกันเข้า ก็มีอานุภาพลึกลับและรุนแรงพอที่จะตรึงคนทั้งสองฝ่าย
ให้ตะลึงไปได้
ระหว่างทางที่เดินกลับที่พักในใจยังคิดถึงหญิงงามนั้นอยู่
เมื่อมาถึงที่พัก
จึงกลับได้สติหวนระลึกถึงคำนายของหมอดูเมื่อครั้งเรี ยนมูลกัจจายน์อยู่เมืองอุบล ที่ทำนายว่า
“เนื้อคู่ของท่านอยู่ทางทิศนี้ รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อขาวเหลือง ใบหน้าเหมือนใบโพธิ์”
หญิงที่เราพบเห็นเมื่อตอนเย็นก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือ นกับคำทำนายของหมอดู
เห็นจะเป็นหญิงคนนี้แน่
เพราะเมื่อเราเห็นเป็นครั้งแรกก็ทำให้เรามีจิตแปรปรวนแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางกลับไทย


เมื่อข้ามมายังฝั่งไทยได้ขึ้นไปทางอำเภอศรีเชียงใหม่
ไปพักอบรมตนอยู่ที่พระบาทเนินกุ่มใหม่ ไปพักอยู่ที่พระบาทเนินกุ่มหมากเป้ง
ณ ที่นั้นได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต ซึ่งท่านได้ปลีกตัวออกจากหมู่คณะ
มาภาวนาอยู่บริเวณนั้น เมื่อได้พบกับอาจารย์อีก จึงดีใจมาก


การพักอบรมตนอยู่กับหลวงปู่มั่น ก่อนเข้าพรรษาทำให้จิตสงบลง ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนก่อน
แต่ภาพของหญิงงามนั้นยังปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเร่งภาวนาเข้าภาพนั้นก็สงบลง
หลังจากเข้าพรรษาแล้ว ตั้งใจปรารถความเพียรอย่างเต็มที่
การเร่งความเพียรในระยะแรก จิตที่ยังไม่มีอะไรมาวุ่นวายคงสงบตัวได้ง่าย
มีอุบายทางปัญญาพอสมควรเมื่อเร่งความเพียรหนักเข้าเอ าจริงเอาจังเข้า
กิเลสก็เอาจริงเอาจังกับเราเหมือนกัน
คือแทนที่จิตจะดำเนินไปตามที่เราต้องการ กลับพลิกไปหานางงามที่บ้านนาสอง ฝั่งแม่น้ำงึมนั้นอีก


ทีแรกได้พยายามปราบด้วยอุบายต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งเร่งความเพียรดูเหมือนเอาเชื้อไปใส่ไฟ
ยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก
เผลอไม่ได้เป็นต้องหาหญิงนั้นทันที บางครั้งมันหนีออกไปซึ่งๆ หน้า
คือขณะที่คิดอุบายการพิจารณาอยู่นั่นเอง มันก็วิ่งไปหาหญิงนั้นเอาซึ่งๆ หน้ากันทีเดียว


อุบายการปฏิบัติวิชาต่างๆ ที่นำมาใช้ในการทรมานจิตในครั้งนั้น เช่น
เว้นการนอนเสีย มีเฉพาะเวลานั่ง ยืน เดิน ทำอยู่เช่นนั้นหลายวันหลายคืน
คอยจับดูจิตว่ามันคลายความรักในหญิงนั้นแล้วหรือยัง ปรากฏว่าไม่ได้ผล
จิตยังคงวิ่งออกไปหาหญิงงามอยู่เช่นเคย เผลอสติไม่ได้
ต่อมาเพิ่มไม่นั่งไม่นอน มีแต่ยืนกับเดิน
ทำความเพียรอยู่อย่างนี้จิตมันก็ไม่ยอม มันคงไปตามเรื่องตามราวของมันเช่นเคย


คราวนี้เปลี่ยนวิธีใหม่เปลี่ยนเป็นอดอาหาร ไม่ฉันอาหารเลยเว้นไว้แต่น้ำ
อุบายการพิจารณาก็เปลี่ยนใหม่คราวนี้เพ่งเอากายของหญิงนั้น
เป็นเป้าหมายในการพิจารณาหายคลายสติ
โดยแยกยกพิจารณาทีละอย่างในอาการ ๓๒ ขึ้นโดยอนุโลมปฏิโลม
พิจารณาเทียบเข้ามาหากายของตน
พิจารณาให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าอวัยวะอย่างนั้นๆ ของตนก็มี ของหญิงก็มี
ทำไมจะต้องไปรักไปหลง ไปคิดถึง เพ่งพิจารณาทีละส่วนๆ
พิจารณาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนทุกอริยาบท
การพิจารณาจนละเอียดอย่างไรขึ้นอยู่กับอุบายความแยบค ายของปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะนั้น


ตอนหนึ่งพิจารณามาถึงหนังได้ความว่า คนเราหลงอยู่ที่หนัง หนังเป็นเครื่องปกปิดสิ่งที่ไม่น่าดูไว้
ถ้าถลกหนังออก อวัยวะทุกส่วนก็หาส่วนที่น่าดูไม่ได้เลย เพ่งพินิจอยู่จนเห็นความเปื่อยเน่าผุพังสลายไป
ไม่มีส่วนไหนที่จะถือว่าเป็นของมั่นคง ในขณะนั้นจิตซึ่งเคยโลดโผน
โลดแล่นไปอย่างไม่มีจุดหมายมาก่อน
พลันก็ยอมรับตามความจริง ตามเหตุผลของปัญญา
ยอมตัวอย่างนักโทษผู้สำนึกผิด ยอมสารภาพถึงการทำตนแต่โดยดี


ฉะนั้น นับแต่วินาทีการพิจารณาได้ยุติลง จิตยอมรับเหตุผลของปัญญาแล้ว
เพื่อเป็นการทดสอบว่า “จิตยอมแล้ว” จึงได้ส่งจิตออกไปหาหญิงนั้นหลายครั้ง
จิตคงสงบตัวไม่ยอมออกไป ความกำเริบความทรนงตัว ความโลดโผนของจิต
จึงถึงความสงบลงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่กำเริบอีกต่อไป
จิตคงทรงเห็นตามสภาพความเป็นจริงของธรรมอยู่ทุกเมื่อ


หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอริยะแห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ในสายหลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต
เดิมได้รับการรวมรวม-เรียบเรียงโดย พระนาค อตฺถวโร วัดสัมพันธวงศ์ กทม.

แต่บทความนี้ได้คัดมาจากหนังสือธรรมโอวาท หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
ซึ่งคุณแจ่ม เจิดจรัสได้นำมารวบรวมเรียบเรียงไว้้

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:

"คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร?"

สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ช่องออกบัตรที่นั่งผู้โดยสารเครื่องบิน
ในวันที่มีผู้โดยสารต่อคิวยาวมากเป็นพิเศษ
เพราะเป็นวันหยุดราชการหลายวันติดต่อกัน พนักงานออกบัตรที่นั่งพยายามที่จะทำงาน
ให้เป็นที่ถูกใจแก่ผู้โดยสารทุกคน โดยการพูดจาอย่างสุภาพและทำงานโดยรวดเร็ว
แต่ถึงกระนั้นผู้โดยสารที่อยู่ในคิวแถวก็ยังมีท่าทีกระวนกระวายต่างชะเง้อชะแง้ดูว่า
เมื่อไหร่จะถึงคิวของตัวเองสักที ผู้โดยสารชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง
ใบใหญ่มาจากมุมไหนไม่มี ใครสังเกต ขอให้พนักงานหญิงคนนั้นออกบัตร
ที่นั่งให้เขาก่อนโดยด่วน


พนักงานสาวหายใจเข้าปอดอย่างแรง
พยายามระงับอารมณ์โกรธแล้วพูดอย่างสุภาพว่า"คุณขาใครใครเขาก็ต่อแถวเรียงคิว
เป็นระเบียบนะคะ ดิฉันไม่สามารถจัดการให้คุณก่อนหรอกค่ะ
กรุณาไปต่อแถวเหมือนคนอื่นๆ เถอะค่ะ "


ชายผู้นั้นหน้าแดงกล่ำพูดเสียงดังด้วยความโกรธว่า "คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร?"
พนักงานสาวหันไปมองหน้าผู้โดยสารคนนั้นหายใจเข้าแรงๆ อีกครั้งแล้วกด
สวิทช์ไมโครโฟนพูดประกาศออกไปว่า


"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้มีชายคนหนึ่งอยู่ที่ช่องออกบัตรที่นั่งผู้โดยสารหมายเลข
13 ไม่ทราบว่าตนเองเป็นใคร ถ้าท่านผู้โดยสารคนใดสามารถให้
ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้กรุณา แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ด้วยค่ะ ขอบคุณ "


แล้วต่อด้วยภาษาอังกฤษว่า

" Attention please! There is a man at the ticket counter No. 13
who does not know who he is. Anyone who may be able to identify
this man is asked to please step forward and identify him. Thank you"


ชายผู้นั้นรู้สึกอับอายขายหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีนอ กจากด่ากลับไปว่า
“f_ _k you!!!"
พนักงานสาวก็สวนกลับทันควันด้วยเสียงอันสุภาพว่า
“เรื่องนั้นก็ต้องต่อคิวเหมือนกันค่ะ"

:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 15:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



:b16: :b16:

ตาพัฒน์ ผู้ปิดทองหลังพระ

ในโลกกว้างที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ครอบคลุม ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนมากมายหลงใหล
ในแสงสีและวัตถุนิ ยม... จะมีใครรู้บ้างมั้ยว่าในมุมเล็กๆ มุมหนึ่งยังมี "ตาพัฒน์"
ชายชราวัยเจ็ดสิบปลายๆ ร่างกายสกปรกมอมแมมผู้ที่ชอบปิดทองหลังพระอยู่...


"ตาพัฒน์" หรือ "นายพัฒน์ แซ่จึง" ชายชราผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่เดียวดายตั้งแต่หนุ่มยันแก่
ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว ไม่มีแม้แต่ญาติพี่น้อง "ตาพัฒน์" เกิดที่ จ.อุบลราชธานี
ชะตาชีวิตที่ถูกขีดไว้ทำให้เขาต้องระหกระเหเร่ร่อนมา อยู่กรุงเทพฯ เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น
แต่ด้วยความสมถะ เรียบง่าย และเจียมตัวว่าตัวเองนั้นจนเสียยิ่งกระไร
ก็ทำให้เขาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่นาน
...

เขาออกเดินทางไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ระหว่างทางก็เก็บขยะริมทางที่พอจะขายแลกเงินได้
เอามาซื้อข้าวกินประทังชีวิต จนมาถึงที่หมู่บ้านเล็กๆ ใน จ.ราชบุรี
และที่นี่เองก็เป็นที่ที่เขาปักหลักทำมาหากินโดยการเ ก็บขยะขายมาตลอด 45 ปี
ด้วยความที่ "ตาพัฒน์" หน้าตามอมแมม เนื้อตัวสกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า
มีกลิ่นตัวเหม็นเพราะต้องใช้ชีวิตอยู่กับกองขยะเกือบ จะตลอด 24 ชั่วโมง
ดูยังไงก็จ๊น... จน ทำให้ไม่มีสาวที่ไหนอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขา


"คนอย่างผม ไม่มีใครเขาอยากจะมายุ่งด้วยหรอก เนื้อตัวก็อย่างนี้ ผมอยู่คนเดียว
ลูกเมียไม่มี หาของตามกองขยะ ไม่ได้ใช้อะไรมากมาย ได้เงินมาก็เก็บเอาไว้เรื่อย"
ตาพัฒน์เผยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


ใครจะรู้บ้างว่า "ตาพัฒน์" มีเงินเก็บจากการเก็บขยะขายเป็นแสน...
กองขยะที่เน่าเหม็น ถังดำที่มีแต่แมลงวันรุมตอม ข้าวของที่ดูไร้ค่าจากผู้ทิ้ง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น "ขุมทรัพย์" ของตาพัฒน์... และเขาก็ทำให้ใครหลาย ๆ
คนผู้ที่มีเนื้อตัวสะอาด มีโอกาสได้ยืนเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม
ต้องหันกลับมามองถึงคุณธรรมข้อหนึ่งที่ตกหล่นและถูกลืมไป คือ การเป็นผู้ปิดทองหลังพระ


ด้วยการบริจาคเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเกือบทั้งชีวิตให้กับวัดหนองเสือยางปราสาท
บ้านหนองเสือ ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ทั้งหมดโดยไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาสนใจ บางทีคนที่สลักชื่อของแกเอาไว้ที่ฝาเมรุเผาศพ
ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเจ้าของเงินแสนที่ถวายให้วัดไปใช้หนี้ค่าอิฐ ค่าปูนนี้เป็นใครมาจากไหน
รู้เพียงว่าชื่อ "นายพัฒน์ แซ่จึง" ถูกสลักไว้ในฐานะผู้บริจาคเงินสร้างมากเป็นอันดับสอง
รองจากคหบดีคนหนึ่ง มานานร่วมสิบปีแล้ว


"ผมทำบุญอย่างเดียวก็มีความสุขแล้ว ไม่อยากออกหน้าออกตา มันอาย" ตาพัฒน์กล่าว
และแกยังบอกด้วยว่า ทุกวันนี้พอใจในสิ่งที่มี อยู่แบบต่ำๆ แต่สบายใจ
ไม่ต้องไปอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น แค่มีอะไรให้ทำ มีข้าวกิน มีที่นอนก็พอแล้ว
และก็ได้ทำบุญทำความดีอย่างที่อยากทำ ชาตินี้ตายไปตอนไหนก็ตายตาหลับแน่นอน...


และปัจจุบันจะมีซักกี่คนที่คิดได้แบบแก... "ตาพัฒน์" เฒ่าหัวใจสะอาด

ดูรายละเอียดจาก ทีวีบูรพา

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

มีผู้ถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี)
ถึงบุญที่เกิดจากการอนุโมทนา ลองอ่านกันดู


ผู้ถาม

"มีคนฝากให้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อแม่ไม่ค่อยทำบุญแต่เป็นคนดี คนซื่อ
ถ้าบุตรหลานทำให้แล้วจะใส่ชื่อเขาด้วย อยากทราบว่า ท่านจะได้หรือไม่ครับ"


หลวงพ่อ

"เขาโมทนาด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกไปบอกว่า พ่อ(หรือแม่) ฉันทำบุญให้แล้ว
ถ้าท่านยินดีด้วย ท่านได้แน่นอน ถ้าบอก กูไม่รูโว้ย ด่าตะเพิด อันนี้ไม่ได้แน่
"

ผู้ถาม
อย่างเวลาเลิกพระกรรมฐานแล้ว ก็มีคนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ
แต่หนูไม่มีของก็ยกมืออนุโมทนาด้วย อย่างนี้จะมีอานิสงส์ไหมคะ...?


หลวงพ่อ

อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ ปัตตุนาโมทนามัย เป็นผลกำไรจากการเจริญพระกรรมฐานไม่ต้องลงทุน
ถ้าตั้งใจจริงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของได้ 100 เปอร์เซ็นต์
เราได้ครั้งละ 90 ผ่านไป 10 คนเราได้ 900 มากกว่าเจ้าของ
เอ้า! เยอะจริงๆ มันทำบารมีให้เต็มเร็ว เร็วมาก


การโมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ
สักแต่ว่า สาธุ มันไม่ได้อะไร คำว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง
ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย
และการแสดงความยินดีมันก็คือ มุทิตา เป็นตัวหนึ่งใน พรหมวิหาร 4 นี่บุญตัวใหญ่
ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ
หมายถึง สวรรค์ ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจเรา


และการโมทนานี่ทำให้ชุ่มชื่นใจ ใช่ไหม....เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขา
ไม่ช้าเราก็ดีตามเขา เพราะเราเห็นเขาดี เราก็ชอบดีไหม...
แต่อย่าไปชอบดีเฉยๆ นะ ต้องทำดีด้วยนะ ทำบุญด้วยตนเองบ้าง



ผู้ถาม
หลวงพ่อครับ ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจจมัย นี่เหมือนกันไหมครับ

หลวงพ่อ

ไวยาวัจจมัย เขาแปลว่า ขวนขวายในกิจการงาน เช่น เขาส่งสตางค์มาทำบุญ
เราช่วยส่งต่อ หรือพวกที่ช่วยขนสังฆทานนี่ ก็พลอยได้บุญไปด้วย
มีอานิสงส์ต่ำกว่าบวรเณรนิดหนึ่ง ไม่เบานะ
แต่ ปัตตานุโมทนามัย ไม่ต้องลงทุน แต่พวกถือมานี่ ยังต้องออกแรงนะ
พวกโมทนานี่ไม่ต้องออกแรงเลย แต่อย่าลืมนะเอาแค่โมทนาอย่างเดียวไม่ดีนะ
ต้องอาศัยคนต้นตลอด ถ้าไม่ได้อาศัยคนต้นจริงๆ จะสำเร็จมรรถผลไม่ได้
เช่นเดียวกับ พระนางพิมพา ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าตลอด


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าท่านมีอายุระมาณ 80 ปี

เริ่มเรียนหนังสืออายุ 7 ปี อายุรวม 7 ปี
เรียนถึงปริญญาตรีใช้เวลา 16 ปี อายุรวม 23 ปี
ทำงานเลี้ยงชีวิตและครอบครัวอีก 37 ปี อายุรวม 60 ปี
ท่องเที่ยว 10 ปี อายุรวม 70 ปี
เลี้ยงหลาน เข้าวัด นอนอัมพาต 10 ปี อายุรวม 80 ปี

ถ้าตั้งสมมุติฐานว่า

นอนวันละ 8 ชม.
ทานอาหารวันละ 3 ชม.
เดินทางวันละ 2 ชม.
ทำงานวันละ 8 ชม.
แต่งตัว อาบน้ำ 1 ชม.
ไม่นับดูทีวีและโทรศํพท์ ..........

คิดเป็นเวลาในแต่ละอิริยาบถเต็มๆได้ดังนี้

นอน 27 ปี
รอเติบโตกว่าจะรู้เดียงสา 3 ปี
เรียนหนังสือ(ปริญญาตรี) 7 ปี
ทำงานเลี้ยงครอบครัว 15 ปี
เดินทาง 7 ปี
แต่งตัว 3 ปี
ดื่มกิน 10 ปี
เที่ยว 4 ปี
เลี้ยงหลาน เข้าวัด นอนอัมพาต 4 ปี

ถ้าแยกสาระและไม่เป็นสาระจะได้ดังนี้

ดำรงชีวิตอยางมีอิสระ 26 ปี
ไม่มีสาระ 54 ปี
รวม 80 ปี

เวลาที่เหลืออยู่ ณ.ปัจจุบัน

ถ้าท่านมีอายุ 80 ปี คิดเป็นวัน 29,200 วัน
สมมุติขณะนี้ท่านอายุ 30 ปี เท่ากับใช้ไป 10,950 วัน
ขณะนี้ท่านเหลือเวลาอยู่อีกเพียง 18,250 วัน
ถ้าคิดเป็นเงินบาทของไทยคงไม่มากแล้ว

และถ้าหากในช่วงมีสาระ 26 ปี ท่านปล่อยเวลา
โดยหายใจทิ้งไปวันๆ มันน่าเสียดายหรือไม่
พระพุทธองค์เคยตรัสถามว่า แต่ละคนมีอายุยืนยาวเท่าใด ?
คำตอบคือ
มีอายุชั่วลมหายใจเท่านั้น
หายใจเข้าแล้วไม่ออก หายใจออกแล้วไม่เข้า
ก็หมดลม
ดังนั้นท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะมีอายุถึง 80 ปี
ขณะที่ท่านมีชีวิต จงเร่งทำความดี
ทำในสิ่งที่สามารถตอบตัวเองได้ว่า " ทำไปทำไม " ?
ใช้เวลาให้เต็มที่
แล้วจะได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่ไม่ประมาท
แล้วเราจะไม่พูดว่าไม่มีเวลาทำเรื่องนั้นเรื่องนี้


:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 16:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ประหยัดให้ถูกทาง

ปัญหา พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมการประหยัดทรัพย์ แต่จะประหยัดอย่างไรจึงจะเป็นการถูกต้อง ?


พุทธดำรัสตอบ

“ดูก่อนมหาบพิตร อสัตบุรุษ ผู้ไม่ฉลาด ได้โภคะทรัพย์อันโอฬารมากมายแล้วไม่ทำตัวเอง
ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความอิ่มหนำเลย ไม่ทำมารดาบิดาให้ได้รับความสุข ความอิ่มหนำ.....
ไม่ทำบุตรและภริยาให้ได้รับความสุข ความอิ่มหนำ.....
ไม่ทำมิตรอำมาตย์ให้ได้รับความสุข ความอิ่มหนำ.....
ไม่ทำทาสกรรมกรให้ได้รับความสุข.....


ความอิ่มหนำ ไม่ให้ทานในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย อันมีผลอันเลิศ มีอารมณ์ดี
มีวิบากเป็นสุข เป็นไปเพื่อสวรรค์
โภคะเหล่านั้นของเขา ที่มิได้ใช้สอยโดยชอบ โดยสมควรอย่างนี้ พระราชาทั้งหลาย(หลวง,ราชการ)
ย่อมนำ(ริบ)ไ ปบ้าง โจรทั้งหลายย่อมนำไปบ้าง ไฟย่อมไหม้เสียบ้าง
น้ำย่อมพัดไปเสียบ้าง ทายาททั้งหลายผู้ไม่เป็นที่รักย่อมนำไปบ้าง"


“ดูก่อนมหาบพิตร เมื่อเป็นเช่นนี้ โภคะที่มิได้ใช้สอยโดยชอบของเขาเหล่านั้น
ย่อมถึงความหมดสิ้นไป โดยมิได้รับการบริโภค"


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 17:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42:

พระองค์นี้ทำมาจากอะไร..?

นายแพทย์คนหนึ่งซึ่งร่ำเรียนมาไม่น้อย
รักษาคนมาก็มากโข แต่หลงลืมรักษาใจของตัวเอง


วันหนึ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่
นามหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ อย่างใกล้ชิด
นายแพทย์หยิบพระนางพญาราคาแพงอายุกว่า 700 ปีขึ้นมาอวด
ยังไม่ทันพูด.. หลวงพ่อก็ปุจฉา


“พระองค์นี้ทำมาจากอะไร”

“ ทำจากเนื้อดินเผาแกร่ง สีน้ำตาลเข้ม”


นายแพทย์ตอบด้วยความภาคภูมิ
หากหลวงพ่อกลับยิ้มแย้มไม่มีอาการตื่นเต้นหรือรู้สึก ทึ่ง
ในกฤษฎาภินิหารของพระเครื่องแม้แต่น้อย


“ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก
พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข ้ามาในบ้านนี้หรอก”



เก็บความบางส่วนจาก หนังสือ ธรรมะเกร็ดแก้ว โดย ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

การตำหนิติเตียนผู้อื่น....หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


ถึงเขาจะผิดจริง
ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น


นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม
ไม่มีดีเลย


จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน
งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย



ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง


คติธรรมคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
หนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
ธรรมะบางส่วนจากพระโพธิญาณเถระ (หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง)

ทุกวันนี้มีพวกจบจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก ต้องคอยห้ามไม่ให้เอาเวลาไปอ่านหนังสือธรรมะ
เพราะคนพวกนี้ชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ได้อ่านหนังสือมามากแล้ว แต่โอกาสที่จะอ่านใจของตัวเองน่ะ
หายากมาก ฉะนั้นระหว่างที่มาบวชสามเดือนนี้ ก็ต้องขอให้ปิดหนังสือ
ปิดตำรับตำราต่างๆ ให้หมดในระหว่างที่บวชนี้น่ะ เป็นโอกาสวิเศษแล้วที่จะได้อ่านใจของตัวเอง


การตามดูใจของตัวเองนี้ น่าสนใจมาก ใจที่ยังไม่ได้ฝึก มันก็คอยวิ่งไปตามนิสัยเคยชินที่ยังไม่ได้ฝึก
ไม่ได้อบรม มันเต้นคึกคักไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมันยังไม่เคยถูกฝึก
ดังนั้นจงฝึกใจของตัวเอง การปฏิบัติภาวนาในทางพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเรื่อง ใจ
ฝึกจิตฝึกใจของตัว ฝึกอบรมจิตของตัวเองนี่แหละ เรื่องนี้สำคัญมาก การฝึกใจเป็นหลักสำคัญ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของใจ มันมีเท่านี้ ผู้ที่ฝึกปฏิบัติทางจิต คือผู้ปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา


:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 18:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แรงกรรม เรื่องจริง ครั้งพุทธกาล


อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีทารกเลี้ยงโค ๗ คนเป็นเพื่อนกัน ทารกเหล่านั้นต้อนโคไปให้กินหญ้าแห่งละ ๗ วันได้ไปซ้ำกันในที่เดียวนั้นหามิได้ คราวหนึ่ง พวกเขาพากันต้อนโคทั้งหลายไปให้กินหญ้าในที่หลายไปให ้กินหญ้าในที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานานถึง ๖ วันแล้ว ในวันที่คำรบ ๗ บังเอิญได้พบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งจึงพากันไล่จับดักหน้า ดักหลัง เหี้ยใหญ่เห็นภัยบังเกิดขึ้นแก่ตนเช่นนั้น

ก็พลันตกใจสุดขีด วิ่งหนีเอาตัวรอดอุตลุด ในที่สุดก็วิ่งหนีเข้าไปในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ทารกโคบาลทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า "เพลาวันนี้เย็นแล้ว พวกเราจะจับเหี้ยใหญ่ให้ได้ดังใจปรารถนาก็เห็นจะค่ำม ืด ทางที่ดีพวกเราควรจักหาใบไม้มาอุดรู ขังเจ้าเหี้ยใหญ่ไว้ในจอมปลวกนี้ก่อนดีกว่า เพลาพรุ่งนี้จึงค่อยมาจับมันใหม่"

ปรึกษากันดังนี้แล้ว ก็หักกิ่งไม้มาคนละกิ่งสองกิ่งอุดรูจอมปลวกขังเหี้ยใ หญ่ไว้ในนั้นแล้วก็พากันกลับไปบ้าน วันรุ่งขึ้นพอได้เวลาโคบาลทั้ง ๗ นั้น ก็พากันต้อนฝูงโคไปเลี้ยงในประเทศถิ่นอื่น โดยลืมนึงถึงเหี้ยที่ตนกักขังไว้ในจอมปลวกเสียสนิท ๗ วันผ่านไป ครั้นถึงวันที่ ๘ จึงได้พากันต้อนโคให้มากินหญ้าในประเทศถิ่นนั้นใหม่ เห็นจอมปลวกนั้นก็พลันระลึกขึ้นได้ว่า " พวกเราปิดรูจอมปลวกกักขังเหี้ยไว้ บัดนี้เหี้ยจักเป็นประการใดหนอ" ระลึกขึ้นได้ด้วยความตกใจเช่นนี้ ต่างคนก็กระวีกระวาดวิ่งมาแล้วพากันไปดึงกิ่งไม้ที่ต นอุดไว้ ฝ่ายเหี้ยนั้น ครั้นเห็นช่องแห่งจอมปลวกเปิดแล้ว ก็มิได้มีความอาลัยแก่ชีวิตรีบคลานออกมาโดยช่องแห่งจ อมปลวกนั้น ด้วยอาการอันน่าสงสาร ทั้งนี้ก็เพราะเหตุอดอาหารมานานเป็นเวลาหลายวัน

ทารกโคบาลทั้งหลาย ครั้นเห็นเหี้ยใหญ่ซึ่งมีกายอันสั่นและผอมแห้งเหลือแ ต่หนังหุ้มกระดูกเพราะขาดอาหาร ค่อยคลานออกมาเช่นนั้นก็พลันบังเกิดความสงสาร ยิ่งเห็นมันมองตนด้วยสายตาละห้อยคล้ายกับจะร้องขอชีว ิตอยู่อีกเล่า ก็ยิ่งให้บังเกิดความกรุณาสงสารขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จึงกล่าวแก่กันและกันว่า "เราทั้งหลายอย่าได้ประทุษร้ายมันเลย มันได้รับทุกขเวทนาอดอาหารเป็นเวลานาน มีอาการจะตายเช่นนี้ก็เพราะเราทั้งหลายเป็นเหตุฉะนั้ นพวกเราจงช่วยกันพยาบาลมันเถิด"

ว่าแล้วก็ช่วยกันบีบนวดกายแห่งเหี้ยนั้น ทำการพยาบาลไปตามประสาทารก เมื่อสังเกตุเห็นว่าเหี้ยเคราะห์ร้ายนั้น มันมีอาการค่อยแข็งแรงขึ้นแล้ว ก็ลูบหลังแล้วกล่าวว่า " ดูกรเจ้าเหี้ยเอ๋ย! ขอเจ้าจงมีอายุยืนและเที่ยวหากินไปตามยถากรรมของเจ้า เถิด" กล่าวดังนี้แล้ว ก็ปล่อยเหี้ยใหญ่นั้นให้เข้าป่าไป

ทารกโคบาลทั้ง ๗ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ได้ประกอบกรรมอันสำเร็จเป็นกุศลปราปริยเวทนียกรรมเช่ นนี้ เมื่อถึงแก่ชีพพิตักษัยในชาตินั้นแล้วจะได้บังเกิดใน อบายภูมิ คือไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นต้นก็หามิได้ทั้งนี้ก็เ พราะกรรมที่ตนทำไว้มิได้เป็นบาปหนักถึงขั้นสำเร็จเป็ นอุปปัชฌาเวทนียกรรม แต่กรรมอันเล็กน้อยที่พวกเขาไว้ก็ย่อมมีอยู่ และคอยติดตามพวกเขาเรื่อยไป แต่กรรมไม่ได้โอกาส จวบจนกระทั่ง.......

กาลเมื่อองค์สมเด็จพระสรรเพชญศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกน ายกเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทารกผู้มีอกุศลอปปริยเวทนียกรรมทั้ง ๗ นั้นได้พากันกลับมาเกิดเป็นคนในมนุษย์โลกนี้อีก


ครั้นเติบใหญ่เจริญวัยแล้วก็เป็นเพื่อนรักกันอีกเหมื อนชาติก่อน วันหนึ่งมีโอกาสได้สดับคำสอนแห่งพระพุทธศาสนาเกิดมีศ รัทธาเลื่อมใส เบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย แลเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงพร้อมใจกันเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบ วรพุทธศาสนา เข้าจำพรรษาบำเพ็ญศาสนากิจอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง ครั้นถึงวันปวรณาออกพรรษาแล้ว ภิกษุหนุ่มทั้ง ๗ นั้นมีใจผ่องแผ้วปรารถนาใคร่จักได้ทอดพระทัศนาและกระ ทำการบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี จึงพากันลงสู่นาวามาด้วยกับวาณิชทั้งหลาย ครั้นนาวาแล่นมาถึงที่หมายแล้วพระภิกษุเหล่านั้นก็พา กันขึ้นจากนาวา เดินไปตามมรรคาสายที่จะไปสู่กรุงสาวัตถี เดินทางมาตามสบาย พอถึงเพลาสายัณห์สมัยใกล้ค่ำ พบอาวาสอันเป็นที่อยู่แห่งพระภิกษุสงฆ์ซึ่งตั้งอยู่ใ กล้บรรพตแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปหาพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสแล้วแจ้งความว่า จะขอพักอาศัยสักคืนหนึ่ง


"ขอต้อนรับด้วยความเต็มใจ สหธรรมิกทั้งหลาย" ภิกษุเจ้าอาวาสกล่าวรับรองด้วยใจจริง แล้วกล่าวต่อไปว่า "แต่เสนาสนะในอาวาสนี้ไม่มีพอ เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในกลางป่า แต่ว่าที่ใกล้ ๆ วัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่สงบสงัดดีนัก เหมาะสำหรับจะเป็นที่พักของอาคันตุกภิกษุทั้งหลายเพร าะฉะนั้น กระผมจึงให้คนตกแต่งเสนาสนะไว้ในถ้ำนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่มีความรังเกียจ นิมนต์ตามกระผมมากระผมจะพาท่านไปพักในถ้ำที่ว่านั้น "

ภิกษุเจ้าอาวาสผู้มีใจอารี กล่าวดังนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุทั้ง ๗ นั้นไปพักยังถ้ำซึ่งจัดไว้เป็นที่รับรองพระอาคันตุกะ ผู้จรมา ในถ้ำนั้นมีเตียงอยู่ ๗ เตียง พระภิกษุทั้ง ๗ องค์นั้นก็พอดีได้มีโอกาสพักผ่อนหลับนอนอยู่บนเตียง ๆ ละองค์

เมื่อจัดแจงให้พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายหลับนอนเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าอาวาสลากลับไปแล้ว ก็แยกย้ายกันขึ้นเตียงอันเป็นที่พักของตน ในไม่ช้าต่างก็พากันเข้าสู่นิทรารมณ์หลับใหล ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการที่ได้เดินทางตร ากตรำมาเป็นเวลานาน และแล้วในขณะที่พระภิกษุทั้งหลายกกำลังนอนหลับใหลอย่ างไร้สติสมปฤดีอยู่นั้นเอง

เหตุการณ์ประหลาดอันเป็นผลจากการตามมาทันแห่งอปราปริ ยเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล ที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ในชาติที่เกิดเป็นเด็กโค บาลขังเหี้ยใหญ่ ก็พลันบังเกิดขึ้นในยามดึกราตรีนั้นทันที นั้นคือ ศิลาแผ่นใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ใกล้ ๆ ปากถ้ำนั้น มันค่อย ๆ เขยื้อนเลื่อนมาแล้วปิดประตูถ้ำไว้อย่างแน่นหนาเป็นอ ัศจรรย์ โดยพระภิกษุเหล่านั้นจะได้รู้สึกตัวก็หาไม่ เพราะกำลังนอนหลับใหลอย่างสบายอารมณ์อยู่ เข้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระภิกษุรูปหนึ่งตื่นขึ้นก่อน ปรารถนาจักได้น้ำล้างหน้า จึงลงมาจากเตียงเดินไปที่ประตู เห็นมีก้อนหินมาปิดอยู่ จึงลองเอามือผลักดูค่อย ๆ ก้อนหินศิลานั้นจักได้เขยื้อนแม้แต่สังหน่อยก็หาไม่ เกิดเอะใจขึ้นมา จึงปลุกสหายให้ตื่นขึ้นมาแล้วมาช่วยกันผลัก แม้จะรวมกำลังกันเป็น ๗ แรงแข็งขัน ผลักก้อนหินใหญ่นั้นสักเท่าใด แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามันจะเขยื้นเคลื่อนที่ประการใด ในที่สุด จึงลงนั่งกอดเข่าปรึกษาหาเหตุผล ในกรณีที่มีแผ่นศิลามาปิดปากถ้ำ แล้วก็ลงมติโดยการเดาเอาไปในทำนองที่ว่า

"การที่มีแผ่นศิลามาปิดปากถ้ำนี้ ชะรอยจักเป็นความกรุณาปรานีของท่านเจ้าอาวาสโดยท่านเ ห็นว่าพวกเราอาจจะได้รับอัตรายอย่างใดอย่างหนึ่งในยา มราตรี จึงขวนขวายหาวิธีกลิ้งแผ่นศิลามาปิดประตูเสียในขณะที ่พวกเรากำลังหลับอยู่ รออีกสักครู่ประเดี๋ยวเถิดท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจปรานี นั้น ก็คงจักมาเปิดประตูถ้ำนี้ให้เอง"

พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเข้าใจเอาเองเช่นนี้แล้ว ต่างก็พากันนั่งรอเวลาที่ท่านเจ้าอาวาสจะมาเปิดถ้ำให ้ด้วยใจเย็น นั่งรออยู่เป็นเวลานาน กาลเวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งเพลาสาย ในที่เย็นของพระภิกษุเหล่านั้นก็กลายเป็นกระสับกระส่ าย เพราะไม่มีน้ำที่บ้วนปากล้างหน้า ทั้งข้าวปลาอาหารที่จะขบฉันก็มิได้มี เมื่อสุดที่จักอดทนได้แล้ว จึงระดมกำลังช่วยกันผลักไสแผ่นศิลานั้นอีกครั้งหนึ่ง อย่างสุดแรงเกิดทุก ๆ รูปผลปรากฏคงเดิม คือแผ่นศิลาที่ปิดประตูถ้ำอยู่นั้นจะได้เคลื่อนไหวแม ้แต่สักนิดหนึ่งก็หาไม่ ยังคงประดิษฐานตั้งมั่นอยู่เหมือนเดิม

ฝ่ายท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจอารี พอตื่นขึ้นเพลาเช้าก็กระวีกระวาดจัดแจงน้ำฉันพร้อมทั ้งภัตตาหารอย่างพิเศษ เพราะมีอาคันตุกะมาพักอาศัยมากถึง ๗ องค์ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรออยู่ในกุฏีแห่งตน โดยนึกว่าในไม่ช้าเมื่อพระอาคันตุกะตื่นขึ้นแล้ว ก็คงจะพากันมาล้างหน้าล้างตาและฉันภัตตาหารที่กุฏิตา มที่ได้อาราธนาไว้ นั่งรออยู่จนสายผิดสังเกตุก็ยังไม่เห็นพระภิกษุเหล่า นั้นมาสักที จึงใช้ให้พระภิกษุลูกวัดรูปหนึ่งไปนิมนต์

"ข้าแต่พระเดชพระคุณ! พระอาคุนตุกะเหล่านั้นออกมาจากถ้ำไม่ได้เพราะมีก้อนศ ิลาใหญ่ก้อนหนึ่งปิดประตูถ้ำไว้ ขอรับกระผม" ภิกษุรูปนั้นรีบกลับมารายงาน

"ก้อนศิลาอะไรกัน?" ท่านเจ้าอาวาสถามด้วยความสงสัย เอ๊ะ! มันน่าแปลกใจก้อนศิลาอะไรที่ไหนจะมาปิดปากถ้ำ เรานี้ให้แปลกใจนัก มีพระมาพักตั้งหลายหนหลายครั้งแล้วไม่เห็นจะต้องปิดป ระตูเลย หรือพระภิกษุเหล่านั้นกลัวจะมีอันตราย จึงช่วยกันกลิ้งก้อนศิลามาปิดปาdถ้ำไว้เองกระมัง ไหนไปดูกันสักหน่อย" กล่าวแล้วท่านเจ้าอาวาสพลันลุกขึ้นครองจีวร แล้วรีบเดินไปยังถ้ำที่พระภิกษุอาคันตุกะพักทันที

เมื่อไปถึงและได้แลเห็นก้อนศิลาใหญ่ปิดประตูถ้ำอย่าง มิดชิดเช่นนั้นก็ให้บังเกิดความอัศจรรย์ใจ จึงตะโกนถามพระภิกษุที่อยู่ข้างในว่า เหตุไรก้อนศิลาใหญ่จึงกลิ้งมาปิดประตูถ้ำได้ ท่านทั้งหลายช่วยกันกลิ้งมาปิดไว้หรือไร เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่าไม่ทราบเรื่อง ก็ให้นึกเคืองใจว่าจักมีใครมาแกล้งปิดประตูเพื่อให้พ ระภิกษุเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแน่ ๆ จึงกลับไปวัดเกณฑ์พระภิกษุสามเณรตลอดจนคนอาศัยทั้งหม ดให้มาช่วยกันผลักไสก้อนหินใหญ่นั้น ครั้นคนทั้งหลายมาประชุมกันที่ปากถ้ำแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงตะโกนบอกพระภิกษุอาคันตุกะซึ่งอยู่ภ ายในถ้ำว่า

"ข้าแต่ท่านสหธรรมิกทั้งหลาย ! ขอพวกท่านจงอย่าได้น้อยน้ำใจเลยพวกเราจะช่วยท่านทั้ง หลายโดยการช่วยกันผลักก้อนหินให้ออกจากถ้ำเดี๋ยวนี้แ หละ แต่ขอแรงให้พวกท่านจงช่วยกันหน่อย คือพวกเราจักเอาเชือกผูกก้อนศิลาใหญ่แล้วดึงลากออกมา ท่านทั้งหลายอยู่ภายในก็ร่วมแรงร่วมใจกันผลักจนเต็มก ำลังเถิด"

ท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจอารีซึ่งได้ให้พระลูกวัดไปแจ้งค วามแก่ประชาชนทั้งหลายทั่วทั้ง ๗ หมู่บ้าน ให้พากันมาออกแรงฉุดก้อนหินเพื่อช่วยเหลือพระภิกษุเห ล่านั้นและก็เป็นการเอาเอาบุญด้วย แต่แรงอะไรเล่าจะมาเท่าแรงกรรม ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีประชาชนร่วมใจกันออกแรงฉุดกระฉากลากก้อนหินเจ ้ากรรมนั้นประมาณมากมายถึง ๗ หมู่บ้านก็ตามที แต่ก็หาให้ก้อนศิลาใหญ่นั้นขยับเขยื้อนได้เลย

"จะทำอย่างไรกันดี!ละท่านเราก็ได้ช่วยกันออกแรงกันจน สุดแรงเกิดแล้ว จะหาวิธีใดให้ดีกว่านี้ก็ไม่มีพวกเราจงช่วยกันฉุดลาก มันไปจนกว่าจะสำเร็จ หากพวกเราไม่พยายามช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่าปล่อยให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถึงแก่คว ามตายในถ้ำเป็นแน่" เหล่าประชาชนทั้งหลายต่างก็พากันบ่นและเหนื่อยอ่อนแร งแต่ก็ไม่ยอมท้อถอยกันยังคงมีความหวังว่าจะต้องลากก้ อนหินออกจากถ้ำนี้ให้ได้ "บาปหนักเห็นจะตกอยู่แก่อาตมา! เพราะว่าอาตมาเป็นผู้พาท่านเหล่านั้นเข้าไปพักในถ้ำเ อง โธ๋เอ๋ย ไม่น่าเลย" ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยรำพึงออกมา

ท่านเจ้าอาวาสพร้อมทั้งพระภิกษุสามเณร และประชาชนในละแวกใกล้เคียงกันนั้นทั้ง ๗ หมู่บ้าน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันมาทำงานเอาก้อนศิลาใหญ่ออกจากประ ตูถ้ำ เพื่อช่วยชีวิตพระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายทุก ๆ วันเป็นเวลาครบ ๖ วันแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าต่างคนก็อ่อนแรงอ่อนใจไปตา มกัน ส่วนพระภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือ ไม่ เพราะว่าเสียงเงียบหายไปตั้งแต่ ๓-๔ วันก่อนโน้นแล้ว พอตกมาถึงคืนวันที่ ๗ ในขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิทอยู่ด้วยความอ่อนเพลียนั้ นก้อนศิลาประหลาดซึ่งสถิตแน่นเหมือนถูกสาปให้ติดอยู่ ที่ประตูถ้ำ ก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกแล้วกลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในที่เดิม ซึ่งอยู่ห่างพอสมควร โดยไม่มีใครมาฉุดกระชากลากไปแม้แต่สักคนเดียวเป็นอัศ จรรย์

เมื่อชาวบ้านเห็นเช่นนั้นต่างก็รีบวิ่งเข้าในถ้ำ ก็ได้ประสบกับภาพที่น่าสังเวชสลดใจเพราะพระภิกษุทั้ง หลายเหล่านั้น มีอากัปกิริยาต่าง ๆ กัน บางรูปนอนหายใจระรวยรอความตายอยู่บนเตียง บางรูปก็มีกิริยาว่าได้กระเสือกกระสนพยายามคลานมาแล้ ว ถึงแก่วิสัญญีภาพสลบลง ณ ที่ใกล้ประตูถ้ำ บางรูปก็มีกิริยาขวนขวายว่าจะขึ้นไปบนเตียง แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จักขึ้นไปได้ นอนหายใจแขม่วอยู่ใกล้เตียงแห่งตนนั้นเอง

รวมความแล้วพระอาคันตุกะเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรม านเหนื่อยอ่อนอิดโรย ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ทั้งนี้ก็เพราะไม่ได้ขบฉันข้าวปลาอาหารและไมได้ดื่มน ้ำมาเป็นเวลานาน ๗ วัน ยังความสงสารให้เกิดขึ้นแก่ชนผู้ได้พบเห็นเป็นอันมาก จึงได้รีบหามมายังกุฏีเจ้าอาวาสแล้วช่วยกันรักษาพยาบ าลต่อกาลไม่นานเท่าใด สุขภาพร่างกายของท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็กลับฟื้นคืน เป็นปรกติดังเดิม

ข้าแแต่พระเดชพระคุณ! ข้าพระเจ้าทั้งปวงนี้ ขอกราบขอบพระคุณท่านที่ได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์เป็ นอย่างดียิ่งในคราวนี้ เหตุที่เกิดขึ้นแก่พวกข้าพเจ้าในครั้งนี้นับว่าแปลกป ระหลาดอยู่ คนอื่นใครเล่าจักรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าองค์สมเด็จพระส ัพพัญญูบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงมาขอกราบอำลาท่านในวันนี้ เพื่อจักไปถึงที่เฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร ็ววัน" ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น เข้าไปกลาบลาท่านเจ้าอาวาสหลังจากที่ตนหายไปเป็นปรกต ิดีแล้ว

"นิมนต์ท่านตามอัธยาศัยของท่านเถิด ขอท่านทั้งปวงจงเดินทางไปโดยสวัสดีและข้าพเจ้านี้ขอฝ ากถวายบังคมไปยังแทบเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพ ระบรมไตรโลกนาค พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายด้วย" ท่านเจ้าอาวาสกล่าวตอบ พร้อมกับเดินทางส่งพระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย จนถึงหนทางใหญ่พ้นบริเวณวัดป่า

มุ่งหน้าเดินทางมาจนบรรลุถึงเขตตัวเมืองสาวัตถีแล้ว พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย ผู้ได้สบผลวิบากอกุศลอปปริยเวทนีกรรมแห่งตนมาแล้วนั้ น ก็พากันไปยังบริเวณวิหารใหญ่ที่มีชื่อว่าพระเชตวันมห าวิหาร ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูสัมมาสัม พุทธเจ้าในกาลครั้งนั้น

ครั้นได้โอกาสแล้วก็พร้อมกันเข้าไปเฝ้าพระองค์จนถึงท ี่ประทับ แล้วก็ได้ทูลถามถึงประสบการณ์ที่พวกตนได้รับในระหว่า งที่เดินทางมาว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระญาณวิเศษสามารถทราบชัดสันดานสัตว์ทั ้งปวง จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า "เหตุที่เกิดขึ้นแก่เธอทั้งหลายในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมที่พวกเธอได้กระทำไว้ในอดี ต" แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาตรัสเล่าประวัติความเป็นมาในช าติหนหลัง ตั้งแต่ครั้งพระภิกษุเหล่านั้นเป็นทารกโคบาลกักขังเห ี้ยไว้ในจอมปลวก ผลกรรมในครั้งนี้ตามมาทัน จึงบันดาลให้ต้องถูกกักขังได้รับความทุกข์ทรมานภายใน ถ้ำใหญ่ในชาตินี้ แล้วมีพระพุทธฏีกาตรัสอีกสืบไป เป็นใจความว่า

"บุคคลที่ทำบาปกรรมไว้ การที่ว่าจะพ้นจากบาปกรรมนั้นเป็นอันไม่มี! ถ้าหากจะมีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งได้ทำบาปกรรมไว้แล้วและคิดว่า เราจักพ้นจากบาปกรรมที่เราทำไว้ด้วยอุบายวิธีนี้ แล้วจึงขึ้นไปสถิตอยู่บนอากาศก็ดี หรือจะหนีลงไปหลบซ่อนอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งมีความลึกประมาณ ๘๔. ๐๐๐ โยชน์ก็ดี หรือจะหนีเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในซอกเขาอันมิดชิดก็ดี การที่ว่าจักพ้นจากบาปกรรมที่ตนทำไว้นั้น ย่อมจักเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั่วทั้งพื้นปฐพีนี้ จะหาสถานที่สักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่หลบบาปกรร มที่ทำไว้ แม้จะเป็นสถานที่ประมาณเท่าขนทรายเท่านั้น ก็หามิได้เลย"

เมื่อได้สดับพระพุทธฏีกาจบลงฉะนี้ พระภิกษุผู้มีกรรมทั้งหลายเหล่านั้นก็บังเกิดความสัง เวชใจใคร่จะทำลายกรรมตามพุทธธวิธี จึงตั้งใจเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ยังวิปัสสนาญาณให้บังเกิดขึ้นในสันดานโดยลำดับ

ในที่สุดก็สามารถตัดโคตรปุถุชนและหยั่งลงสู่อริยภูมิ มีโสตาบันโลกถตรภูมิเป็นต้น ซึ่งมีหวังว่าจะพ้นจากกรรมทั้งปวงอย่างเด็ดขาดในอนาค ตกาลด้วยประการฉะนี้............

จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ลูกถีบหลวงปู่ชา…

เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระฝรั่งองค์หนึ่ง… ..
พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลีย.เล่าให้ฟังว่า…………


"….วันหนึ่ง อาตมามีเรื่องขัดใจกับพระรูปหนึ่ง
รู้สึกโกรธ หงุดหงิดอยู่ทั้งวัน
รุ่งเช้าไปบิณฑบาตก็เดินคิดไปตลอดทาง
ขากลับเข้าวัด พอดีเดินสวนทางกับหลวงพ่อ
ท่านยิ้มและทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่ากู๊ด มอร์นิ่ง!!!
ซึ่งทำให้อารมณ์ของอาตมาเปลี่ยนทันที….
ที่กำลังขุ่นมัวหงุดหงิด กลับเบิกบานปลื้มปิติที่หลวงพ่อทักเรา
.

ถึงเวลาสวดมนตร์เย็นทำวัด
หลวงพ่อให้อาตมาเข้าไปอุปัฏฐากถวายการนวดที่กุฏิของท่านเป็นการส่วนตัว
อาตมารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกับโอกาสใกล้ชิดอยู่สองต่อสองที่หาได้ยากอย่างนั้น
….

แต่ขณะที่กำลังถวายการนวดอย่างตั้งอกตั้งใจและปลื้มปิติ
ทันใดนั้นเอง อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หลวงพ่อก็ถีบเปรี้ยงเข้าที่ยอดอก
ซึ่งกำลังพองโตด้วยความรู้สึกภาคภูมิของอาตมาจนล้มก้นกระแทก
แล้วท่านก็ตำหนิว่า "…..จิตใจไม่มั่นคง พอไม่ได้ดังใจก็ขุ่นเคืองหงุดหงิด เมื่อได้ตามปราถนาก็ฟูฟ่อง…."


ผมฟังท่านดุไปหลายๆอย่างแล้วร้องให้เลย……
ไม่ใช่เพราะโกรธหรือเสียใจ
แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน
หลวงพ่อเมตตามากที่ช่วยชี้กิเลสของเรา
ไม่เช่นนั้นเราก็คงมืดบอดมองไม่เห็น คงเป็นคนหลงอารมณ์ไปอีกนาน…..


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:

เรื่องจริง ซึ้ง ๆ ของสองสุดยอดคน

พออ่านจบแล้ว คิดกับตัวเองว่า
"ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้ จะเสียใจมาก" อ่านนะ


..........

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อน ๆ ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน


พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"


คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เล ย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน


คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไ ม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"


คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......



วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"


ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....



ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

...

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้อ งพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"


จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็น เวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
.

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"


แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อ ได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"

ฉันถาม


"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"


ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...


เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา


... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างน ี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"


น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน


ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ"


เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...


จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่ง เล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม



จบบริบูรณ์....



ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได
และในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

"ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์
โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 17 ก.พ. 2010, 21:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หยดย้อย เขียน:
:b16: :b16: :b16:

[b]เรื่องจริง ซึ้ง ๆ ของสองสุดยอดคน

พออ่านจบแล้ว คิดกับตัวเองว่า
"ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้ จะเสียใจมาก" อ่านนะ




สาธุ สาธุ สาธุ

งมงายนั่งอ่านทุกบทความ

บทนี้ งมงาย ยังน้ำตาใหล บอกตรง ๆ

ลาพักร้อน ยังต้องมา

สาธุ สาธุ สาธุ

ทำความดี ค่อย ๆ ทำไปเถิด

ผลไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครจะเห็น หรือไม่เห็น ที่แน่ ๆ เราเห็น


......

โอมฺ มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี

งมงาย


.:b42: :b42: :b42:.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2010, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
นิทานดีๆ จาก ดร อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

เรื่องที่ 1 นิทานเรื่อง 'ตะเกียงวิเศษ'

กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง
ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียง ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง
แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า

'ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้
แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน'


ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่ องที่ดี และเขาก็มั่นใจว่า
เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาได้ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า
'นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย'
ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า 'ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่'

ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า
ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี
เขาบอกยักษ์ให้ 'สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง' ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา
'ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง' เขาสั่งต่อไป

ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา 'ฉันต้องการ.....
' เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มต้นวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว
และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้ เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา


ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด
ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ
ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง
แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย

ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งข องนาย

ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว
ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั ้งแต่นั้นมา

ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเรา ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา


ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบ
เหมือนกับชายหนุ่มในนิ ิทานที่สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้
และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้

ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา
เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ
ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา
เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธและความอิจฉา เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิด ของเรา
เช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้นที่ข่มขู่ชายหนุ่มตลอดเวลา

เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา
ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น
เราก็สามารถใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตล อดเวลานั้นเป็นเสาสูงแทน


หมายเหตุ :: นิทานเรื่องตะเกียงวิเศษนี้ คัดมาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ของการฝึกจิต
ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 115 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร