วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

โ ล ก อ า จ ร อ ด ไ ด้...
แม้เพราะ
กตัญญูกตเวที

ท่ า น พุ ท ธ ท า ส ภิ ก ขุ
สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี


คนทุกคนในโลก มีชีวิตอยู่ได้ และมีความสะดวกสบายอยู่ได้
เพราะอาศัยความรู้ สติปัญญาความสามารถของผู้อื่น
อันมีจำนวนมากจนนับไม่ไหว

หากไร้ปัจจัยอันสำคัญนี้เสียแล้ว
เราจะต้องตายแล้วตั้งแต่ออกจากท้องมาดาใหม่ ๆ
เพราะไม่มียาจะกิน ไม่มีผ้าจะห่ม ไม่มีหลังคาจะอาศัย

เขาไม่รู้จักหน้าค่าตาของผู้ให้กำเนิด
การประกอบยา การทำเครื่องนุ่งห่ม การทำที่อยู่อาศัย และวิชาความรู้ต่าง ๆ
แต่เขาก็เป็นหนี้บุญคุณของบุคคลเหล่านั้นมาเสียแล้วตัวแต่ในท้องแม่

ฉะนั้น คนทุกคนมีความผูกพันทางหนี้บุญคุณต่อกันและกันจนนับไม่ไหว
โดยไม่ต้องกล่าวถึง บิดามารดาครูบาอาจารย์
ซึ่งเป็นหนี้บุญคุณอยู่เหนือศีรษะโดยตรงเลย


แม้การที่คนในประเทศหนึ่ง ได้เป็นหนี้บุญคุณของคนในประเทศอื่น
ก็เป็นสิ่งที่จะพิจารณาเห็นได้ไม่ยากเลย

ความรู้และยอมรับรู้ในบุญคุณของผู้อื่นที่มีอยู่เหนือตนนี้ เรียกว่า กตัญญุตา
การพยายามทำตอบแทนบุญคุณนั้น ๆ เรียกว่า กตเวทิตา
คนผู้รู้บุญคุณท่าน เรียกว่า กตัญญู คนที่ทำตอบแทน เรียกว่า คนกตเวที


กตัญญูกตเวทิตา ความรู้บุญคุณท่านแล้วทำตอบแทนให้ปรากฏ นี้
เป็นธรรมประคองโลกให้เป็นอยู่ได้ และอยู่ด้วยความสงบสุข


คนในโลกแต่ละคน ยิ่งไม่รับรู้ในความที่ตนเป็นหนี้บุญคุณของกันและกัน
อย่างที่จะแยกกันไม่ออกยิ่งขึ้นเพียงใด
ก็ยิ่งทำโลกให้เต็มไปด้วยความแข่งขันแย่งชิง โหดร้ายทารุณ
และเกิดลัทธิการเมืองอันทำโลกให้ระส่ำระสายมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น

ฉะนั้น ความสนใจในธรรมะ คือ กตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้
นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งทีเดียว


ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามทั้งหลายของคนไทยเรา
ล้วนแต่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งอันสำคัญ
และทั้งเป็นไปเพื่อรักษาและส่งเสริมคุณธรรมข้อนี้
ให้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้อย่างแน่นแฟ้นพร้อมกันไปในตัว


คนอกตัญญูอย่างยิ่ง คือคนที่ไม่ยอมรับว่า
ทุกคนในโลกเป็นหนี้บุญคุณต่อกันอย่างแน่นแฟ้น

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนที่มีความกตัญญูถึงที่สุด ก็คือคนที่ยอมรับว่า

แม้แต่สัตว์พาหนะเช่น วัว ควาย ก็เป็นสิ่งที่มีบุญคุณ
อย่าต้องกล่าวถึงบิดามารดา ครูบาอาจารย์เลย

ถ้าใครยอมรับรู้ในบุญคุณของวัวและควายเป็นต้นแล้ว
บ้านเมืองนั้นจะเต็มไปด้วยความสงบสุข
เพราะมีแต่คนใจสูง รู้จักตอบแทนบุญคุณแม้แต่แก่วัวและควาย
แล้วจะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ซึ่งมีบุญคุณต่อกันยิ่งกว่าวัวและควายได้อย่างไรเล่า

บ้านเมืองนั้นจะอุดมสมบูรณ์ด้วยวัว ควายพันธุ์ดีมีคุณภาพสูง
มีมนุษย์ใจสูงเป็นเจ้าของ
ขยันทำมาหากินโดยปราศจากการเบียดเบียนกันแม้แต่น้อย

ส่วนบิดามาดาครูบาอาจารย์นั้นไม่ต้องกล่าวถึง
เพราะจะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเทวดา หรือเป็นปูชนียบุคคล
อยู่เหนือเศียรเกล้าของคนทุกคนทั่วไปจริง ๆ


คนที่มีความกตัญญูละเอียดยิ่งไปกว่านั้น
ย่อมรู้จักบุญคุณของป่าไม้ ทุ่งนา ห้วยหนองคลองลำธาร
ถนนหนทาง และสิ่งสาธารณะอื่น ๆ

จนกระทั่งดอกไม้และผีเสื้อซึ่งบินไปมาอยู่
โดยปราศจากความรู้จักมักคุ้นกับผู้ใด

ผู้ไม่รู้คุณของป่า ย่อมทำลายป่าเสียด้วยความเห็นแก่ตัวข้างเดียว
จนลูกหลานไม่มีไม้จะปลูกเรือนกันอีกต่อไป
จนห้วยหนองลำธารเหือดแห้ง
เพราะป่าอันเป็นกำเนิดน้ำนั้นถูกทำลายหมด
ไม่มีความชื้นของป่าอันจะคายน้ำออกมาเป็นลำธาร
และจะดึงดูดเมฆฝนให้มาตกเป็นฝน ณ ที่นั้นจนเพียงพอ

ผู้ไม่รู้บุญคุณของถนนคูคลอง
ย่อมรุกเนื้อที่ถนนตรอกทางเดินให้แคบเข้า
จนไม่สำเร็จประโยชน์ดังบรรพบุรุษได้มุ่งหมายไว้

เขายอมทนลำบากในการไปมายามค่ำคืนดึกดื่น
ทั้งในยามปรกติและยามคับขัน
ไม่ยอมสละเนื้อที่ทำถนนหรือทางเดินสาธารณะแม้แต่นิ้วเดียว
เขาตัดต้นไม้ผลในป่าสาธารณะลงทั้งต้น
เพียงเพื่อเอาผลของมันหาบเดียว หรือกระบุงเดียวเท่านั้น

ถ้าเขาเป็นคนกตัญญู สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย
แผ่นดินจะร่ำรวยด้วยสิ่งอันจะทำความชื่นอกชื่นใจ
ให้แก่คนทุกคนในโลกนี้ยิ่งขึ้นทุกที
เพราะการทะนุถนอมและการบำรุงส่งเสริมของผู้มีกตัญญุตาธรรมเหล่านั้น


คนที่มีความกตัญญูอันละเอียดสุขุมยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
ย่อมรู้จักบุญคุณของศัตรูและปรปักษ์
ตลอดถึงสิ่งอันเป็นอุปสรรคต่าง ๆ ชนิด


ศัตรูทำให้คนกตัญญูมีความฉลาดและก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ทำให้เขาประกอบด้วยธรรมอันสูงยิ่งขึ้น
ด้วยความอดกลั้นและการเสียสละเป็นต้น

ผู้อิจฉาริษยาทำให้เราเป็นคนหนักแน่นมั่นคง
และมีความเมตตากรุณาชั้นสูงพิเศษที่คนธรรมดามีไม่ได้

อุปสรรคทั้งหลาย ทำให้เรามีปัญญา เข้าใจโลกถูกต้องตามที่เป็นจริง
ชนิดที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกต่อไปด้วยความผาสุกยิ่งขึ้น


ความเจ็บไข้และความยากลำบากทุกประการ
ทำให้เราเกิด วิปัสสนาญาณ ปลงตก
จนมองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้จริง ๆ
และทำให้บรรลุมรรคผล นิพพานเพราะเหตุนั้น


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คนที่อกตัญญูไม่ รู้คุณของสิ่งเหล่านี้
จักต้องล่มจมหรืออย่างน้อยก็ขุดหลุมฝังตัวเอง
เพราะความโกรธตอบ ริษยาตอบ ความอัดอั้นคันใจ
เอะอะโวยวายมีจิตใจระส่ำระสาย
ทำอะไรผิดพลาดไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
จักไม่เป็นการทำลายตนเองอย่างไรได้

ส่วนคนที่กตัญญูรู้คุณของสิ่งเหล่านี้
ย่อมทำให้โลกสงบเยือกเย็น งดงามยากที่จะเปรียบได้


เขาสามารถทำมาร ให้กลายเป็นพระ
ทำยักษ์ให้กลายเป็นมนุษย์ที่ดี
ทำคนตระหนี่ ให้เป็นคนใจบุญสุนทาน
ทำคนริษยาให้กลายเป็นคนใจกว้าง
และจะไม่ทำโลกนี้ให้กลายเป็นสวรรค์ได้อย่างไร


เขารู้คุณของศัตรู ในการที่ให้บทเรียนอันประเสริฐสุด
อันจะหาจากที่อื่นไม่ได้ แก่เขา
เขาจึงขอบคุณ และพยายามสนองตอบด้วยความดี
บุญคุณของศัตรูมีอยู่มากเช่นนี้
จึงเป็นการยากที่คนกตัญญูจะมองข้ามไปเสียได้

ถ้าคนเราไม่มีศัตรูและอุปสรรคเสียเลย
โลกนี้จะไร้สิ่งที่เรียกกันว่า สมรรถภาพ


ผู้ที่มองเห็นคุณของศัตรูและปรปักษ์
ย่อมไม่อาจที่จะก่อความยากเข็ญขึ้นในโลกได้แต่ประการใด
โลกสงบเย็นไปกว่าระดับธรรมดา
ก็เพราะมีบุคคลที่มีใจสูงถึงขนาดมองเห็นบุญคุณของศัตรู
และอุปสรรคดังกล่าว แล้ว
ซึ่งนับว่าเป็นคนกตัญญูที่ลึกซึ้งสุขุมถึงที่สุด


เมื่อแม้แต่ศัตรูและปรปักษ์ก็มีบุญคุณแก่เราถึงเพียงนี้แล้ว
จงคิดดูเถิดว่า บิดามารดาครูบาอาจารย์
ตลอดจนถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อันเป็นวัตถุสูงสุดนั้น
จักเป็นสิ่งที่มีบุญคุณแก่เรามากน้อยเพียงไร ?

ทุกคนมิได้เกิดจากโพรงไม้
แต่เกิดในโพรงเล็ก ๆ ในครรโภทรของมารดา
ด้วยการร่วมมือของบิดา เกิดมาแล้ว มีชีวิตอยู่ได้
และเจริญเติบโตต่อไปบนความเสียสละของบิดามารดา
และของทุกคนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอันมีจำนวนมากเหลือจะนับ

บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ยกบิดามารดาขึ้นเป็นบุคคลแรกในเรื่องนี้
ก็เพราะเป็นบุคคลแรกในการให้กำเนิด
ให้ปัจจัยเครื่องยังชีวิต ให้วิชาความรู้ ให้การอบรมทางอุปนิสัยที่ดี
และอื่น ๆ ที่เป็นผลดีอีกมากมาย


หากผู้ใดมีจิตทรามถึงกับไม่รู้คุณของบิดามารดาแล้ว
ก็เป็นการสุดวิสัยที่เขาจักรู้คุณของปรปักษ์และศัตรูดังที่กล่าวแล้วได้
การซึมทราบในพระคุณของบิดามารดา
จึงเป็นความกตัญญูหมายเลขหนึ่งของคนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้
และโลกอื่น ๆ ทุก ๆ โลก

ผู้ไม่รู้คุณบิดามารดาย่อมถูกจัดไว้ในฐานะที่ใคร ๆ ไม่ควรไว้ใจในโลก

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา
หรือกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างแท้จริงนั้น
ก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ยกบิดามารดาขึ้นจากนรกได้


บิดามารดาย่อมตกนรกที่ชื่อว่า “ปุตะ”
นรกชื่อว่าปุตะนี้ ได้แก่ความร้อนใจเป็นทุกข์หนัก
เพราะไม่มีบุตรที่จะเป็นเครื่องทำความชื่นชมยินดี
ไม่มีบุตรที่จะสืบสกุล ไม่มีบุตรที่จะเลี้ยงดูยามที่ตนแก่ชราหรือเจ็บไข้
ไม่มีบุตรที่จะบำเพ็ญกุศลทักษิณาทานให้เมื่อตนตายไปแล้ว


ครั้นได้ลูกที่กตัญญูมา บิดามารดาขึ้นจากนรกอันนี้โดยสิ้นเชิง
บุตรจึงได้ชื่อว่า ผู้ที่ยกบิดามารดาขึ้นจากนรกเพราะเหตุนี้
หากได้ลูกมาเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณของบิดามารดา

ลูกคนนั้นเองกลายเป็นผู้จับบิดามารดาของตน
ใส่ลงในนรกขุมนี้ให้ลึกลงไปอีก จนยากที่จะขึ้นพ้นได้


คนบางคนเป็นเจ้าชู้มาแต่เล็ก เหลวไหลในการเล่าเรียน
หรือการอบรมตนให้เป็นคนดี ใช้เงินเปลือง ผลาญทรัพย์สมบัติ
ที่เกิดจากเหงื่อไคลของบิดามารดาตามความสบายใจขอตน
หมกมุ่นอยู่ในความเสียหายโดยไม่ต้องนึกว่า

มันเป็นการทรมานจิตใจของมารดาบิดาสักเพียงใด
ไม่เลี้ยงบิดามารดาทั้งด้วยอาหารกาย และอาหารใจ
แต่รบกวนให้บิดามารดาเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานของตนสืบไป
ไม่มีที่สิ้นสุดในฐานะอย่างเดียวกับคนใช้
รังเกียจบิดามารดาในยามแก่ชรา
หรือเจ็บไข้ราวกะว่าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง หรือน่ารำคาญ
ลืมบิดามารดาหรือไม่รู้สึกว่ามีบิดามารดาตั้งแต่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่

บุคคลที่เป็นอย่างนี้ไม่ได้ชื่อว่าบุตร
เพราะเหตุที่ไม่ได้ยกบิดามารดาขึ้นจากนรกอันมีชื่อว่า ปุตะ นั้นเอง
เขาเป็นได้อย่างมากเพียง ผล หรือ ลูก
หรือ ก้อนอะไรที่ไม่สะอาดก้อนหนึ่ง
ที่หลุดออกมาจากท้องมารดาของเขาเท่านั้น
เขาจึงมิใช่ผู้ที่จะทำโลกนี้ให้สะอาดหรือสงบได้แต่อย่างใด


เพราะความที่เขาเป็นผู้ที่มีจิตใจ
ชนิดที่ไม่อาจรู้สึกในบุญคุณของผู้ที่มี บุญคุณนั่นเอง

ส่วนผู้ที่สามารถเป็นบุตรที่ดี
คือสามารถยกบิดามารดาขึ้นจากนรก ชื่อว่า ปุตะ ได้นั้น
ไม่ต้องสงสัยเลย เขามีอะไรพร้อมที่จะรู้สำนึกบุญคุณของโลก
และตอบแทนคุณของโลกด้วยการทำความสงบเย็นใส่ไว้ในโลกนั่นเอง
ผู้รู้คุณของบิดามารดาแล้วพยายามทำตอบแทน
จึงถูกจัดไว้ในฐานะที่เป็นที่นับถือและไว้วางใจของทั้งเทวดาและมนุษย์


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ครูบาอาจารย์คือผู้นำฝ่ายวิญญาณของกุลบุตรที่เติบโตขึ้นมาในโลกนี้
การที่วิญญาณจะเดินไปถูกทางหรือมีใจสูงได้นั้นเป็นสิ่งที่มีได้ยาก
เป็นสิ่งที่ลี้ลับมีพิธีรีตองมากและต้องอบรมนาน

ฉะนั้นจึงต้องมีบุคคลขึ้นประเภทหนึ่งในโลกนี้
เพื่อรับภาระอันนี้และเราเรียกกันว่า ครูบาอาจารย์


การที่ต้องมีบุคคลประเภทนี้ขึ้นโดยเฉพาะ
ก็เพราะว่าจะได้มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
หรือมีโอกาสอันเพียงพอในการทำหน้าที่ของตน


แต่คนสมัยนี้มีความคิดโน้มเอียงไปในทางที่ว่า
ครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้างหรือผู้รับจ้างทำหน้าที่นั้น ๆ
เพราะได้รับเงินเดือน หรือสิ่งของสำหรับบำรุงจากผู้ใดผู้หนึ่ง หรือทางใดทางหนึ่ง

ความกตัญญูในครูบาอาจารย์จึงร่อยหรอไป
จริงอยู่ที่มีระเบียบให้เงินเดือนหรือถวายปัจจัยเครื่องยังชีพแก่ครูบาอาจารย์
แต่เมื่อคิดดูแล้ว สิ่งที่ให้นั้นมีค่าเพียงเพื่อยังชีพอยู่ได้
โดยไม่ต้องไปประกอบอาชีพอื่น จนหมดเวลาที่จะอบรมสั่งสอน

และเมื่อเปรียบเทียบกันดูกับสิ่งที่อาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้
ย่อมจะเห็นได้ว่าความสูงทางฝ่ายวิญญาณที่ได้รับจากครูบาอาจารย์นั้น
มีค่ามากเกินกว่าค่าของที่ใช้เป็นค่าบูชาครูบาอาจารย์
อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้เลย.

ครูบาอาจารย์พ้นจากฐานะของความเป็นลูกจ้าง
แต่อยู่ในฐานะของความเป็นปูชนียบุคคลก็เพราะให้สิ่งที่มีค่าสูงสุดแก่ศิษย์
ยิ่งกว่าที่ศิษย์จะตอบแทนไหวนี่เอง
แม้จะจากกันไปแล้วก็ยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจศิษย์
ให้งดเว้นการทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำได้ทุกคราวที่ระลึกได้ถึงอาจารย์
ว่าได้ เคยพร่ำสอน หรือขอร้อง หรือแสดงความมุ่งหมายไว้อย่างไร


พืชแห่งความมีใจสูงที่อาจารย์ได้เพาะหว่านไว้ในหัวใจของศิษย์นั้น
แม้หากจะไม่ออกผลในขณะนั้น
ก็ยังอาจออกผลได้ในกาลภายหลังเมื่อศิษย์เองแก่ชราไปแล้ว
หรือแม้เมื่อจะสิ้นลมหายใจก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้เสมอ
การที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้อบรมตัวอย่างที่ดี
จากอาจารย์ในแง่ต่าง ๆ เมื่ออยู่ในสำนัก
ย่อมเป็นเชื้ออันเร้นลับฝังอยู่ในสันดานของศิษย์โดยไม่รู้สึก
สำหรับจะงอกงามเป็นสติปัญญาในการก้าวหน้า
หรือการกลับตัวจากในทางที่ผิดในโอกาสหลังได้เสมอไป


ในกรณีปรกติ ครูบาอาจารย์ย่อมยกสถานะทางวิญญาณของศิษย์
ให้สูงต่อขึ้นไปจากที่บิดามารดาได้ยกขึ้นไว้แล้ว
เพราะเป็นบุคคลที่โลกจัดไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

อาจารย์ต้องอดกลั้นอดทนเป็นพิเศษ
และเอาใจใส่สอดส่องเป็นพิเศษ
จึงจะสามารถปลูกฝังความสูงทางวิญญาณลงไปในจิตใจ ของศิษย์ได้สำเร็จ,
นั่นแหละ คือเมตตาของอาจารย์.

อาจารย์ต้องทำการศึกษาและอบรมตนเองให้มากเป็นพิเศษอยู่เสมอ
จึงมีอะไรเพียงพอที่จะปลูกฝังให้แก่ศิษย์,
นั่นแหละ คือปัญญาหรือวิชชาของอาจารย์

อาจารย์จักต้องเสียสละมากอย่างนี้เสมอไป
จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะตกเป็นลูกจ้างของศิษย์
แต่กลับมีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะของศิษย์ทุกคน


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศิษย์ที่มีความ กตัญญูจึงเป็นบุคคลที่มีความถูกต้อง
และสมประกอบอยู่ในนิสัยสันดานของตน
มีความเหมาะสมที่จะทำโลกนี้ให้ร่มเย็น
ด้วยความอดกลั้น อดทน และความเฉลียวฉลาดของตนสืบไป

ความระลึกถึงบุญคุณของอาจารย์
มีแต่จะให้อยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนสืบไปไม่มีที่สิ้นสุด
เพื่อ รักษาเกียรติแห่งสำนักของอาจารย์
และอุทิศส่วนกุศลแก่อาจารย์พร้อมกันไปในตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้โดยตรงว่า

เมื่อระลึกถึงคุณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
มีทางที่ควรทำทางเดียวเท่านั้น

คือการทำความดีอันกว้างขวาง อุทิศแก่บุคคลนั้น
หรือเป็นที่ระลึกถึงบุคคลนั้น

การเซ่นสรวงหรือการร้องไห้เป็นต้น
ไม่มีประโยชน์อันใดแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเลย

ฉะนั้น ผู้ที่รักอาจารย์ และรู้คุณของอาจารย์
จึงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก


พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้พระนามว่า พระบรมครู
เพราะทรงสามารถยกวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้นได้จนถึงที่สุด
ไม่ถูกความทุกข์ท่วมทับอีกต่อไป จนทำให้บุคคลนั้น ๆ ได้นามว่าพระอริยเจ้า

พระธรรม ของพระองค์ก็คือวิธีการยกวิญญาณให้ขึ้นสูงพ้นจากน้ำ
คือความทุกข์โดยสิ้นเชิงได้นั่นเอง

พระสงฆ์ คือผู้ที่ได้ทำตามนั้นแล้วสืบอายุของพระธรรมมาจนถึงพวกเรา
ทำพวกเราให้มีโอกาสได้รับสิ่งประเสริฐ
เหมือนกับได้รับจากพระพุทธเจ้าโดยตรง


พระสาวกทั้งหลายเหล่านี้
ทนรับความยากลำบากทุกประการในการสืบอายุพระศาสนา
ทั้งนี้ก็เพราะความกตัญญูในพระผู้มีพระภาคเจ้า
เรากล่าวได้โดยไม่ต้องกลัวผิดว่า
ศาสนาเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราในสมัยนี้ได้
ก็เพราะความกตัญญูของเหล่าพระสาวก
ที่ตั้งใจทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์นั่นเอง

ความกตัญญูของพระสาวกทำให้พระศาสนาสืบอายุมาได้เป็นพัน ๆ ปี
โลกนี้มีศาสนาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร
ก็เพราะความเสียสละด้วยอำนาจความกตัญญูของบรรดาพระสาวกทั้งหลาย


โลกมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
เพราะพุทธบริษัทปักใจทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์
เพื่อสนองพระคุณของพระพุทธองค์


เราจึงเห็นได้ว่า ความกตัญญูเป็นธรรมที่คุ้มครองโลก
สมควรที่เราทั้งหลาย จะช่วยกันรักษาเอาไว้อย่างมั่นคง


กล่าวโดยแท้จริงแล้ว ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของพุทธบริษัท
ล้วนแต่เกิดขึ้นมาเพราะความกตัญญูกตเวที
เป็นไปได้เพราะกตัญญูกตเวที
และมุ่งหมายจะชุบย้อมธรรมะคือความกตัญญูกตเวทีนี้
ให้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของบุตรหลานอันเป็นอนุชนสืบไปอย่างมั่งคง

(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 14:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


จารีตประเพณีต่าง ๆ เช่นการปลงศพผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นต้นนั้น
มุ่งหมายจะซักซ้อมความกตัญญูกตเวทีในหัวใจของคนทุกคน
ยิ่งกว่าที่จะมุ่งหมายอย่างอื่นได้
จึงได้เกิดประเพณีทุ่มเทเพื่อการจัดงานอย่างไม่คำนึงถึงความหมดเปลือง
และความยากลำบากทุก ๆ ประการ

ทั้งนี้เพราะเห็นความจำเป็นในทางที่โลก
เราจักต้องเป็นโลกที่อาบย่อมอยู่ด้วยความกตัญญูกตเวที
จึงจะเป็นโบกที่ร่มเย็นโดยนัยที่กล่าวแล้ว


ศาสนาและจารีตประเพณีของคนทุกชาติทุกภาษา
ล้วนแต่มีหลักเกณฑ์อย่างนี้

แต่สำหรับพุทธศาสนาเรานั้น
ยังมีหลักการที่จะระมัดระวังให้ความหมดเปลืองนั้น
หมดเปลืองไปในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมพร้อมกันไปในตัวด้วยอีกโสดหนึ่ง

ความกตัญญูของพุทธบริษัททั้งหลาย
จึงเป็นไปเพื่อทำให้โลกร่มเย็นอย่างน่าชื่นใจแม้จริง


ถ้าหากทุกคนในโลก ยอมรับรู้ถึงความจริงอันประเสริฐสุด
คือความที่มนุษย์ทุกคนเป็นหนี้บุญคุณต่อกันและกัน
แม้แก่คนที่เป็นศัตรูของกันและกันดังที่กล่าวแล้ว
โลกนี้จะเต็มไปด้วยการแข่งขันแย่งชิงกันทำความดี
เพื่อเปลื้องหนี้บุญคุณของตน ๆ ให้ตนพ้นหนี้อันนี้


ถ้าหัวใจของคนทุกคนในโลกนี้เต็มไปด้วยความกตัญญูกตเวทีจริง ๆ แล้ว
โลกนี้จะเป็นโลกที่งดงามยิ่งกว่าเทวโลก
น่าอยู่ยิ่งกว่าเทวโลก ปลอดภัยยิ่งกว่าเทวโลก
และน่าบูชาน่าปรารถนายิ่งกว่าเทวโลก โดยไม่ต้องสงสัยเลย

จงคิดดูให้ดีเถิด การที่คนเรามีความอดออมต่อกันและกัน
ไม่หุนหันพลันแล่น ทำอะไรลงไปด้วยโทสะทั้งหมด
ก็เนื่องจากยังระลึกคนนั้นคนนี้ ระลึกบิดามาดา
พี่ป้าน้าอาของเขา ที่เคยมีความดีต่อเรา
เราจึงไม่ใจไม้ไส้ระกำต่อผู้ใดผู้หนึ่งลงไปได้ง่าย ๆ

แม้หากเราจะผลุนผลันทำลงไป
ก็ยังถึงกับเรียกตัวมาขอโทษให้อภัยกัน
เพราะเห็นแก่คนนั้นคนนี้ตาดำ ๆ บ้าง
เพราะเห็นแคนที่ตายไปแล้วบ้าง ที่เคยดีต่อเรา
หรือต่อบิดามารดาของเราเป็นต้น

ความกตัญญู เป็นสิ่งที่นับว่ามีอำนาจแปลงยักษ์ให้เป็นมนุษย์ได้
และทำโลกให้รอดและร่มเย็นได้ ดังกล่าวมาฉะนี้แล

เราทั้งหลายจงช่วยกันทะนุถนอมธรรมะอันประเสริฐข้อนี้
ให้ยังคงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของโลก
ด้วยความพร้อมเพรียงและเสียสละอย่างยิ่ง
ของพวกเราทุกคนตลอดกาลนาน เทอญฯ


:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : ธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุ
แสดงไว้ ณ โมกขพลาราม ไชยา
เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๙๗
)


:b44: รวมคำสอน “ท่านพุทธทาสภิกขุ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=58115

:b44: สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=45048

:b44: ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า “พุทธทาส”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=49396


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2019, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2019, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2021, 13:10 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 12:33 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร