วันเวลาปัจจุบัน 08 พ.ย. 2024, 02:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผม มีปัญหา ขอเรียนถามท่าน อาจารย์ ดังนี้ครับ ครั้งหนึ่งผมได้เคยทำการบนบานไว้กับ องค์พระพุทธรูปหลวงพ่อบ้านแหลมไว้ว่า หากวันใดลูกมีบ้านเดี่ยว เป็นของตัวเอง(สมัยก่อนฐานะการเงินไม่ค่อยดีครับ) จะสร้างห้องพระถวายหลวงพ่อ แต่ปัจจุบันนี้ผมผ่อนบ้านเดี่ยวที่ซื้อไว้ใกล้จะหมดแล้ว แต่อาจจะไม่สามารถสร้างห้องพระได้ ดังที่เคยบนบานไว้ครับ สถานที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าที่ควร ได้แต่สร้างเป็นตู้ไม้ และตั้งพระพุทธรูปหลวงพ่อบ้านแหลมไว้ข้างบน และพยายามกราบไหว้ สวดมนต์บูชาหลวงพ่อก่อนนอน กระผมจึงไม่ค่อยสบายใจนักครับ และกลัวบาป หากไม่ได้ทำการ แก้บน

ท่านอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับกระผมด้วยครับ กลัวบาปและกลัวจะเกิดสิ่งไม่ดีหากไม่ได้แก้บนครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
คำว่า “บนบาน” หมายถึง การขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถ้าสำเร็จแล้วจะให้สิ่งตอบแทน

พระพุทธโคดมมิได้เคยสอนพุทธศาสนิกให้ประพฤติบนบาน หากปรารถนาเข้าถึงสิ่งใดแล้ว ต้องทำเหตุให้ถูกตรง สิ่งใดที่บุคคลให้สัจจะไว้แล้วไม่ประพฤติตาม เรียกผู้นั้นว่าไม่มีสัจจะ ผู้ไม่มีสัจจะย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ตนปรารถนา

เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ ทำไมผู้ถามปัญหาไม่กันพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้าน ( เท่าที่ทำได้ ) ไว้ทำเป็นห้องพระล่ะครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 03 ส.ค. 2012, 02:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้อ่าน/ฟัง การบรรยายของอาจารย์แล้ว ทำให้เกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติสมาธิเป็นอย่างมากครับ ช่วงนี้ผมจึงมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็จะพยายามทำสมาธิบ่อยๆ แต่ผมพบปัญหาดังนี้ครับ
1. อยากทราบว่า ที่เค้าว่าให้กำหนดลมหายใจที่ปลายจมูกนั้น (หรือที่ท้องก็ตาม) ขณะนั่งสมาธิ ผมได้จินตนาการ (ในความมืด) เห็นปลายจมูกผมตลอดเวลานั้น ผมทำถูกต้องหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ถูก รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะในการกำหนดลมหายใจ ที่ถูกต้องด้วยครับ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าไม่กำหนดไว้ที่ไหนสักที่มันจะคิดเรื่องโน่นเรื่องนี่ตลอดเลยครับ

2. เมื่อผมพยายามนั่งสมาธิ (โดยใช้ขาขวาทับขาซ้าย) ไปเรื่อยๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมจะปวดมากๆ ตั้งแต่ก้นกบ, ต้นขา หรือบริเวณที่มีการพับขาขวาทั้งหมด ผมใช้วิธีคิดว่า "ปวดหนอๆๆๆ" ไปเรื่อยๆ หรือคิดว่า จริงๆ ไม่ได้ปวด หรอก แต่เราคิดไปเองว่ามันปวด สุดท้ายก็ไม่ได้ผลครับ ต้องยอมแพ้ทุกที มันจะชาไปทั้งขา ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาจากอาจารย์ดร.สนอง มา ณ ที่นี้ด้วยครับ


คำตอบ
(๑) ต้องเอาจิตจดจ่อ หรือระลึกอยู่กับลมหายใจที่ผ่านเข้า - ออกทางจมูก มิใช่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับปลายจมูกที่เห็นด้วยจิต

(๒) การคิดที่บอกเล่าไป เป็นการใช้สมองคิด ซึ่งไม่ถูกตรงตามแนวทางของผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อใดเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับองค์บริกรรมว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมล้มเลิก ในที่สุดอาการปวดดังกล่าวจะดับไป ซึ่งจะมีผลทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งโต๊ะหมู่บูชา
1. หนูอยู่แฟลต มีพื้นที่จำกัด มีหิ้งพระก็เล็ก หนูเลยนำพระหน้าตัก 5 นิ้ว 3 นิ้ว รวม 11 องค์ มาวางบนหลังตู้แทนหิ้งพระจะเป็นอะไรไหมคะ?

2. หิ้ง หรือ โต๊ะหมู่ อาจารย์ว่าควรหัวไปทางทิศใดจึงจะเหมาะสมค่ะ? หรือไม่จำเป็น? เพียงเลือกพื้นที่วางในที่ที่เหมาะสม ..ซึ่งหนูได้ปรึกษาพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ท่านบอกว่าจะวางทิศไหนก็ได้ทั้งนั้น ถือเอาสะดวกวางในที่ที่อันควร

3. มีคนแสดงตนว่าเป็นผู้ดูจิตแนะนำว่า หากให้ชีวิตมั่นคง เจ้านายรัก ได้รับความเชื่อถือ ต้องใช้โต๊ะหมู่บูชา แล้วหันไปทางทิศใต้ แล้วเอาแก้วที่ครอบองค์พระออก อาจารย์ว่าคำแนะนำที่ว่านี้ถูกต้องไหมคะ? เพราะตรงข้ามกับข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า ควรหันหน้าพระไปทางทิศตะวันออก ห้ามหันไปทางทิศใต้และทิศตะวันตก

4. และไม่ควรมีหิ้งพระหลายหิ้ง จะทำให้ครอบครัวไม่เป็นปึกแผ่น ไปคนละทิศละทางไม่มีความสุข ไม่มั่นคง จะเป็นตัวสำรองตลอด จริงหรือไม่คะ?

5. โต๊ะหมู่บูชาจะมีโต๊ะใหญ่เป็นฐาน หากหนูใช้โต๊ะที่มีอยู่แล้ว และสูงกว่าแทนโต๊ะใหญ่ที่เป็นฐานรองแทน จัดวางในห้องโถง/ห้องรับแขกได้ไหมคะ? จะได้ไม่เตี้ย กลัวจะเผลอไม่สำรวมเดิน ยืน นั่ง นอน

6. ปกติก่อนนอนหนูกราบหมอนสวดมนต์หากไม่ดึกจะนั่งสมาธิ หิ้งพระถวายดอกบัวและน้ำอาทิตย์ละัครั้ง และไหว้พระก่อนออกจากบ้าน หนูปฏิบัติตนเช่นนี้เหมาะสมไหมคะ?

7. หนูพยายามถือศีล 5 ไม่ให้ด่างพร้อย แต่สังเกตตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนไป คือ เงียบขรึม ไม่ค่อยอยากพูดจา อยากจะพูดจะฟังแต่ธรรมะ เพราะในที่ทำงานพูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ ส่อเสียด เหน็บแนม ตำหนิ แซว อำ ล้อเล่นกันเกือบทุกนาที จะเงียบก็ตอนพักกลางวันประมาณ 12.15 น. จะหลับกัน เพราะประหยัดไฟ หนูเปิดธรรมะให้ฟัง ..การที่หนูทำตัวเช่นนี้ มีความรู้สึกแบบนี้ ผิดเพี้ยนหรือไม่คะ?

8. เมื่อหนูนึกถึงแนวทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ทีไร หนูรู้สึกอึดอัด เพราะจะทำอย่างไรไม่ให้มีการเกิด เหมือนจะเร่งทำความดีทำบุญกุศลเพราะกว่าจะรู้ตัวมีดวงตาเห็นธรรมก็ล่าช้า คิด ๆ แล้วก็คงยาก ก็คิดต่อว่าหากต้องเกิดอีกก็ขอให้เกิดในตระกูลที่ดีมีธรรมะบริสุทธิ์ ...ที่เป็นเช่นนี้ถือว่าหนูฟุ้งซ่านเกินไปหรือไม่คะ?

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
(๑) ไม่เป็นไรครับ เพราะเจ้าของมีจิตศรัทธาและเอาไว้ในที่สูง เทวดาที่คุ้มรักษาพระพุทธรูปไม่ตำหนิ

(๒) อาจารย์สอนกรรมฐานบอกถูกแล้ว และการวางพระพุทธรูปไว้ในที่เหมาะสม ( สะดวก ) นั้น หมายถึงวางไว้ในที่สุดและไม่มีพฤติกรรมลบหลู่

(๓) ถูกต้องของผู้แนะนำ แต่ไม่ถูกต้องของผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใน ส่วนข้อแนะนำจากอินเตอร์เน็ตนั้น สามารถทำได้เมื่อมีสถานที่เหมาะสม

คำว่า “ห้าม” หมายถึง ไม่ให้กระทำ ตลอด ๔๕ พรรษาที่ออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธองค์มิได้เคยห้ามผู้ใดมิให้ประพฤติ แต่ทรงสอนในทำนองที่ว่า ผู้ใดประพฤติอกุศลธรรมแล้ว ผลไม่ดีย่อมเกิดตามผล และผู้ประพฤติต้องรับผลแห่งอกุศลวิบากนั้น ดังตัวอย่างที่จะเห็นได้ในกรณีของพระเทวทัต พระเจ้าสุปปพุทธะ ฉันนภิกษุ ฯลฯ พระพุทธองค์มิได้ทรงห้ามบุคคลทั้งสาม มิให้ประพฤติไม่ดีตามที่เขาเหล่านั้นปรารถนา

(๔) จริงตามความเห็นของผู้แนะนำ แต่ไม่จริงตามผู้รู้ที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม

(๕) ได้ครับ

(๖) หากปฏิบัติด้วยความศรัทธาในคุณธรรม ( พระปัญญาคุณ พระบริสุทธคุณ และพระมหากรุณาคุณ ) ของพระพุทธองค์ ถือว่าถูกต้องครับ

(๗) คำว่า “เพี้ยน” ในที่นี้หมายถึง มีพฤติกรรมผิดแปลกไปจากคนอื่น ดังนั้นที่ถามไปจึงถือว่าเพี้ยน แต่เป็นการเพี้ยนที่เกิดประโยชน์กับชีวิต จงเพี้ยนต่อไป

(๘) ถือว่าฟุ้งซ่านเกินไป เพราะจิตขาดสติระลึกอยู่กับปัจจุบัน อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องด้วยพรรษาที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสบวชเป็นพระ และได้จำวัดที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จะมีห้องคอมพิวเตอร์ที่เก็บรวบรวมเกี่ยวกับเรื่องธรรมะไว้เยอะ แต่เป็นของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งยกไว้เป็นส่วนกลางเวลา จะเข้าใช้ต้องขอรับกุญแจห้องจากท่านก่อน ผมเข้าใช้และเห็นว่าข้อมูลทั้งหมดน่าสนใจจึง Copy มาโดยไม่ได้ขออนุญาตท่านก่อน และขออนุญาตอีกครั้งเมื่อต้องการข้อมูลเพิ่มเติม จึงขออนุญาตในครั้งที่สอง สงสัยว่าอาการเช่นนี้เป็นปาราชิกหรือไม่ครับ หากอาจารย์ตอบไม่ได้พอจะแนะนำผู้รู้ ที่ผมจะสามารถสอบถามได้หรือไม่ครับ ความจริงพระปริยัติธรรมมีอยู่เยอะ เพียงแต่คิดว่าท่านจะเห็นเป็นเรื่องของธรรมะที่เผยแพร่ต่อๆกันได้ จึงไม่มั่นใจที่จะปรึกษาครับ

รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ

คำตอบ
คำว่า “ปาราชิก” หมายถึง อาบัติหนัก ๔ อย่าง ที่ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ คือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ และอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน

ในกรณีที่บอกเล่าไป ไม่ถือว่าเป็นการลักของเขา เพราะเจ้าของข้อมูลได้อนุญาตให้ไว้เป็นส่วนกลาง และยังได้อนุญาตให้นำกุญแจห้องไปเปิดใช้ข้อมูลได้ จึงถือว่าเป็นการอนุญาตแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีเรื่องรบกวนเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.ดิฉันได้มีโอกาสฟังวิทยุรายการธรรมะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่นกที่ถูกช้างเกเรฆ่าลูกนกจนตาย ภายหลังแม่นกสามารถเอาชนะช้างเกเรตัวนั้นได้ ด้วยความร่วมมือของเพื่อน ๆ ตอนนั้นขณะที่ฟังจนเกือบจบดิฉันกลับไม่ได้รู้สึกดีใจต่อวีรกรรมของแม่นก กลับรู้สึกว่าเวลาที่เรามีความพยาบาทแล้ว คิดที่จะแก้แค้นเราได้สร้างอกุศลกรรมมากมายเช่น ในกรณีนี้ แม่นกชักชวนเพื่อน ๆ ให้มาร่วมสร้างวิบากอกุศลกรรมด้วย การคิดเช่นนี้ของดิฉันถือว่าผิดปกติหรือไม่คะ

2.มีโอกาสฟังการแสดงธรรมของอาจารย์ผ่านอินเตอร์เน็ต เกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ได้เมตตาถ่ายทอดธรรมะ ของพระพุทธเจ้าเรื่องห่วงว่า สามีภรรยาเป็นห่วงผูกมือ ทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา ลูกเป็นห่วงผูกคอ อยู่ ๆ วันหนึ่งดิฉันก็เกิดเห็นภาพในความคิดว่า ลูกกำลังขี่คอแม่ชัดเจนมากค่ะ เห็นแล้วรู้สึกสลดว่าขี่คอจนตายกันไปข้างหนึ่ง และถ้าลูกของลูกก็ต้องขี่คอซ้อนทับกันไปเรื่อย ๆ อันนี้ยังไม่รวมกับทรัพย์สมบัติและสามีภรรยาที่เป็นห่วงที่มือ และขาอีก สิ่งที่ดิฉันคิดถือว่าฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ

3.ดิฉันได้เคยดูดวงทางโทรศัพท์ตอนกลางคืน แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา อยู่ ๆ ประโยคหนึ่งในโอวาทสี่เหลี่ยวฝานก็ลอยมาในความคิด ประโยคที่ว่า โหราศาสตร์หยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่ว ทำให้ดิฉันรู้สึกโง่มากที่ดูดวง เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะอะไรคะ ที่ทำให้คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้เอง

4.ดิฉันเคยช่วยแม่ไปเก็บต้นไม้ที่ชาวบ้านตัดทิ้ง แล้วเอามาทำฟืน ขณะที่มือของดิฉันสัมผัสไปกับซากใบไม้เก่า ๆ ก็รู้สึกสังเวชว่าร่างกายของเรานี้ยังมีค่าน้อยกว่าซากไม้เหล่านี้อีก เพราะได้เคยฟังธรรมจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรียนถามอาจารย์ว่า เป็นเพราะะอะไรคะ ที่ทำให้คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้เอง

5.ก่อนการปฏิบัติทธรรมในแต่ละวัน จะต้องอธิษฐานทุกครั้งหรือเปล่าคะ และจะต้องอธิษฐานอย่างไรคะ ดิฉันปฏิบัติธรรมเองที่บ้านค่ะ ฟังครูบาอาจารย์จากอินเตอร์เน็ต ที่ฟังบ่อยก็จะมี ท่านเจ้าคุณโชดก และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะรู้ได้อย่างไรว่าดิฉันควรจะปฎิบัติตามแนวไหนคะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาจากอาจารย์ดร.สนอง มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


คำตอบ
(๑) ผิดปกติสำหรับคนที่มีสัมมาทิฏฐิ ตรงกันข้าม ไม่ผิดปกติ สำหรับคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ

(๒) ไม่ถือว่าเป็นการคิดฟุ้งซ่าน การเห็นภาพลูกขี่คอแม่ เป็นการเห็นด้วยจิตที่สงบจากอารมณ์ปรุงแต่งทั่วไป แต่เห็นด้วยความถี่คลื่นจิตที่เป็นระเบียบดีแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นการคิดฟุ้งซ่านของคนที่มีจิตเข้าถึงโลกิยญาณ

(๓) เหตุเกิดจากจิตใต้สำนึก เก็บบันทึกสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิไว้ภายใน

(๔) เป็นเพราะจิตได้ระลึกถึง คำที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เคยพูดไว้ในอดีต ที่ผู้ถามปัญหาได้ยินได้ฟังธรรมของท่านมาก่อน

(๕) สมถกรรมฐานแนวใดที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และวิปัสสนากรรมฐานตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ ที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง การปฏิบัติธรรมทั้งสองอย่างนั้น ถือว่าถูกต้อง

การปฏิบัติธรรมในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องอธิษฐานทุกครั้ง ขอเพียงแต่มีศีล มัสัจจะคุมใจ และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วเป็นอันใช้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ขอรบกวนถามข้อสงสัยเพิ่มเติมจากอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. เมื่อนำสิ่งของและอาหารไปถวายสังฆทานแล้ว พระ (1 รูป) ท่านอนุญาตให้นำอาหารส่วนที่เหลือไปทานต่อได้ ขอถามอาจารย์ว่าอาหารที่เหลือนั้น เราสามารถนำกลับไปทานต่อที่บ้านได้หรือไม่คะ กรณีที่นำกลับไม่ได้ เราควรทำอย่างไรกับอาหารที่เหลือคะ

2. การซื้อล็อตเตอรี่ถือเป็นบาปหรือเปล่าคะ แตกต่างกับการเล่นหวยอย่างไรคะ

3. คนที่ถูกทำคุณไสย์มีกรรมเก่ามาอย่างไรและควรแก้ไขอย่างไรคะ

4. การเห็นความเดือดร้อน การถูกทำร้ายหรือความวุ่นวายของคนอื่น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นกรรมของคนคนนั้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่าเราควรปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเรียกว่าเป็นการวางเฉยหรือมีอุเบกขากับเรื่องดังกล่าว

5. เพียงการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้จากการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิให้กับดวงจิตดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนเป็นทุกข์อยู่นั้น สามารถช่วยให้พวกเขาไปเกิดได้หรือไม่คะ

6. เมื่อเราสวดมนต์ตามปกติในห้องพระ ถือเป็นการบูชาพระหรือหลวงพ่อที่มีอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง และขออนุโมทนากับกุศลจิตของอาจารย์ ในการให้คำตอบเป็นทานแก่ทุกคำถามด้วยค่ะ


คำตอบ
(๑) ได้ครับ

(๒) ไม่แตกต่างกัน เพราะทั้งสองเป็นการกระทำที่ให้ผลเป็นความวิบัติของชีวิต

(๓) เหตุเป็นเพราะเคยประพฤติเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมาก่อน ผู้ใดระลึกได้แล้วสามารถป้องกันมิให้เวรเกิดขึ้น ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล และมีสติคุมให้ได้ทุกขณะตื่น

(๔) ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในทางโลก ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกตรงกับอำนาจที่ตนมี แต่ผู้รู้จริงแท้ย่อมไม่เอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับอกุศลกรรมของคนอื่น การจะทำได้เช่นนี้ต้องพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้มีสติระลึกได้ทันสิ่งที่ตาเห็น และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วการเข้าถึงอุเบกขารมณ์ จึงจะเกิดขึ้นได้

(๕) ในครั้งพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสอุทิศส่วนพระราชกุศลว่า “ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์อุทิสผลบุญกุศล หลังจากได้ถวายข้าวยาคู อาหารอย่างอื่น ผ้าเสนาสนะ ฯลฯ ให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ผลปรากฏว่า เปรตญาติ ( ปรทัตตูปชีวี ) มาอนุโมทนาบุญ แล้วเปลี่ยนเพศไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสรวงสวรรค์

(๖) การสวดมนต์บท อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ … . , หรือการสวดมนต์บท อิติปิโสภควา … . , ถือว่าเป็นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากที่มีกัลยาณมิตร ท่านหนึ่งในสถานที่ทำงานได้นำหนังสือของท่านอาจารย์ ดร.สนอง มาให้หนูได้อ่านจึงได้รู้ว่าเราเป็นคนที่ห่างไกลธรรมะมากเหลือเกิน แต่มาวันนี้ได้เริ่มศึกษาธรรมะ ถ้ามีเวลาว่างกัลญานมิตรท่านนี้พยามบอก สอน และเตือนในเรื่องธรรมมะอยู่เสมอหาหนังสือมาให้อ่าน ถ้าหากหนูมีบุญพอ คงจะได้มีโอกาสพูดคุยซักถามปัญหากับท่านอาจารย์ซักครั้ง

หนูมีครอบครัวแล้วค่ะมีบุตรชายสองคน อยู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ และน้องชาย แต่บ้านหลังนี้ไม่เคยมีความสงบสุข เท่าที่หนูจำความได้พ่อจะคอยหักหาญน้ำใจแม่ตลอด มีเมียน้อยบ้าง ดื่มเหล้าอาระวาดบ้างบ่นว่าให้แม่สารพัด คนที่ต้องรับกรรมก็เป็นแม่ทุกที หนูสงสารแม่ทุกครั้งที่มีปัญหากัน ถ้าหนูไม่ไปห้ามก็กลัวท่านจะตีกันตาย เพราะหนูเป็นลูกคนโต ถ้าเราไปห้ามก็กลายเป็นเราไปพูดกับท่านแรง ส่วนน้องชายดิดยาบ้าถึงขนาดประสาทหลอน ฉุนเฉียว เมื่ออยากยาจะขอเงินกับแม่ ไม่ได้ก็จะอารมณ์ฉุนเฉียวโมโหร้าย ทำให้พ่อมีข้ออ้างดื่มเหล้า

ปัญหาทุกอย่างตกลงที่แม่แด่เพียงผู้เดียว ถ้าพ่อไม่กินเหล้าท่านก็จะเป็นที่รัก และเป็นที่ยำเกรงของลูกมากวันหนึ่งพ่อและน้องชายสัญญากันว่าจะเลิกสุราและยาบ้า เมื่อน้องชายเลิกยาพ่อกับแม่จึงให้หนูรับน้องไปทำงานด้วย หนูจึงพาน้องไปทำงานด้วยอยู่มาวันหนึ่ง หนูบอกเตือนเขาบางสิ่งเขาไม่พอใจ เขาทำร้ายร่างกายหนูในสถานที่ทำงาน หนูโกรธเขามากแต่กัลญาณมิตรท่านนี้ คอยบอกคอยเตือนให้เราอภัยให้เขากลับมาทำงานตามเดิม แต่หนูจะไม่ยุ่ง ไม่สอน ไม่เตือนอะไรกับเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เขาดำเนินชีวิตของเขาเอง (พ่อกับแม่เลี้ยงดูน้องชายแบบตามใจมาตั้งแต่เล็กอยากได้อะไรก็ต้องได้)

ทุกวันนี้หนูจะพยายามไม่พูดกับพ่อกับแม่เรื่องน้องชาย ถ้าพูดท่านก็เข้าข้างน้องชาย เพราะให้เงินเยอะแต่เวลาขอกลับคืนไปเท่าไหร่ท่านไม่คิด ก็เลยไม่อยากพูดพูดไปก็ทำให้ท่านไม่สบายใจ เวลาน้องชายมีเงินก็จะกลับไปเสพยา พ่อก็กลับมาดื่มเหล้าหนักกว่าเดิม แต่พ่อแม่ไม่ค่อยจะยอมรับท่านจะพร่ำสอนว่าให้เรารักน้อง แต่น้องไม่เคยนับถือเราเป็นพี่เลยซักครั้ง หนูคิดจะหนีไปให้พ้นกับปัญหาทั้งหมดนี้ แต่ก็หนีไม่เคยได้ต้องกลับมาทุกครั้ง เพราะสงสารและห่วงพ่อกับแม่ แล้วเวรกรรมมันจะตกที่ลูกชายของหนูแบบนี้หรือเปล่าค่ะ

ทุกวันนี้หนูสวดมนต์ภาวนาทุกวัน แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พวกเขาให้เจ้ากรรมนายเวร พยายามเจริญอาณาปานสติทุกวัน เพื่อจะได้หลุดพ้นปัญหาทั้งปวงค่ะ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพและขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่เมตตาและสละเวลาตอบปัญหาให้กับคนที่ด้อยปัญญาเช่นหนูค่ะ

คำตอบ
ผู้อยู่อาศัยร่วมกับพ่อแม่ แล้วประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีต่อพ่อแม่ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นลูกกตัญญู ซึ่งส่งผลให้ชีวิตและงานเจริญไพบูลย์

บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม พระองค์มิเคยตรัสให้ผู้ใด เข้าไปแก้ปัญหาให้กับผู้อื่น แต่ทรงตรัสให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ทั้งนี้เพราะบุคคลมีกรรม ( การกระทำ ) เป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งมนุษย์ออกเป็นสองฝ่ายตามการกระทำของตน คือ มนุษย์ที่มีจิตใจชั่วช้าเลวทราม และมนุษย์ที่มีจิตใจประณีตดีงาม

ดังนั้น ผู้ถามปัญหาพึงเลือกปฏิบัติเอาตามที่ชอบเถิด หากประพฤติได้ถูกตรงตามคำสอนของผู้รู้จริงแท้ และรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ( สัพพัญญู ) ความสวัสดีของชีวิตและความหมดไปของปัญหาย่อมเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้ถามปัญหาปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว ย่อมเป็นที่มั่นใจได้ว่า ชีวิตย่อมมีโอกาสพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่รู้จักอาจารย์จากหนังสือที่อาจารย์เขียน ที่ร้านหนังสือค่ะ ปกติเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เพิ่งจะมาสนใจทางด้านธรรมะอย่างจริงจัง เมือตอนที่ชีวิตประสบปัญหาผิดหวังในความรัก ประกอบกับได้กัลยาณมิตรที่ดีชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรม จึงให้ความสนใจธรรมะเรื่อยมาจากวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะ 10 ปีแล้ว

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นดังนี้ค่ะ
1. เมื่อเดือน ก.พ. ต้นปี 55 นี้ ดิฉันกับเพื่อนอีก 3 คนได้ไปเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมแบบ 3 วัน ของวัดอัมพวัน สิงห์บุรี โดยการกำหนดยุบหนอ พองหนอในการนั่งสมาธิ และการย่างหนอในการเดินจงกรม ระหว่างที่เดินจงกรม จิตสงบ มีความรู้สึอยู่ที่ฝ่าเท้าเวลาที่ก้าวเดิน ย่าง เหยียบ จากเดินเปลี่ยนเป็นนั่งสมาธิ ระหว่างนั่งกำหนดยุบหนอ พองหนอ ได้เกิดอาการตัวโยก หน้าจะทิ่มพื้น โยกไปข้างหน้า และข้างหลังโดยที่ระหว่างนั่งดิฉันไม่ได้หลับ พอเกิดอาการดังกล่าวได้กำหนดโยกหนอๆ ไปเรื่อย จนหมดอาการไปเอง อยากทราบว่า ทำไมดิฉันจึงมีอาการตัวโยกระหว่างนั่งสมาธิทั้งๆ ที่ไม่ได้นั่งหลับ มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอด โดยกำหนดตามสภาวะที่เกิดขึ้น

2. เมือเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน อีกครั้ง คราวนี้ได้เข้าคอร์สแบบนั่งและเดินอย่างล่ะ 1 ชั่วโมง เดินก่อนแล้วนั่งปรากฎว่า ดิฉันนั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงกว่า แต่กลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปแป๊บเดียวจริงๆ ไม่ปวดขา แบบที่คนอื่นเค้าปวดกัน แบบที่พระอาจารย์บอกว่า ให้ดูเวทนาแล้วกำหนดปวดหนอ ตามเวทนาแต่ละคน ไม่มีอาการปวดเมื่อย กลับรู้สึกสบาย เหมือนได้ไปพักที่ไหนสักแห่ง หัวว่างเปล่า ไม่มีอาการง่วง หาวแต่ประการใด เป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่ดิฉันไม่ได้หลับไปเพราะได้ยินเสียงรอบๆ ข้างด้วยค่ะ ไม่ทราบว่า อาการแบบนี้คืออะไรค่ะ

3. หลังจากนั้นช่วงหัวค่ำ ได้ทำวัตรเย็นและเดินจงกรม นั่งสมาธิอีกรอบ คราวนี้ แทนที่จะเกิดอาการข้างต้นแบบรอบเช้าและรอบบ่าย กลายเป็นว่า รอบนี้ดิฉันเห็นภาพตัวเองตั้งแต่เด็กๆ วัยประถม มัธยม ภาพเพื่อนเก่าๆ คนเก่า เหตุการณ์ที่ทำให้เราเสียใจ ดีใจ มันฉายให้ดูเหมือนดิฉันกำลังดูหนังชีวิตตัวเองอยู่ ดูเฉยๆ นะค่ะ ไม่ได้คิดปรุงตามสิ่งที่เห็นในระหว่างการนั่งสมาธิ กำหนดคิดหนอๆ แต่พอออกจากสมาธิก็มีอาการเหน็บชาปวดขา และสิ่งที่ได้คิดได้เห็นระหว่างนั่ง มันเกิดจากดิฉันฟุ้งซ่านหรือเปล่าค่ะ และสิ่งกระทำถือว่าปฏิบัติถูกแล้วใช่ไหมค่ะ
มีข้อสงสัยเท่านี้ค่ะ กราบขอบพระคุณที่อาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพและนับถือ


คำตอบ
(๑) เป็นเพราะจิตมิได้จดจ่อ ( ขาดสติ ) อยู่กับองค์ภาวนา มารจึงสามารถบันดาลให้อาการตัวโยกตัวโคลงเกิดขึ้น

(๒) เป็นเพราะจิตเข้าถึงสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) และหากเมื่อใดจิตตั้งมั่นแน่วแน่ ( ฌาน ) จิตจะไม่รับสิ่งกระทบภายนอกอื่นใดเข้าปรุงอารมณ์ แม้นิวรณ์ ๕ ( กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกุจจะ และอวิชชา ) ก็ไม่อาจทำให้จิตรับเข้าปรุงเป็นอารมณ์ได้

(๓) ในช่วงหัวค่ำ จิตได้รับการพัฒนาจนเข้าถึงสมาธิสูงสุดที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ หรือ ฌาน แล้วทิพพจักขุ ( โลกิยญาณ ) จึงไปสัมผัสกับอดีตหนหลังของตัวเอง การเห็นเช่นนี้มิได้เป็นเหตุนำจิตสู่ความพ้นทุกข์ จึงถือว่าผิด เพราะปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูนั่งสมาธิแล้วมันชอบปวดต้นคอมาก หนูไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทุกวันนี้ถึงปวดหนูก็พยายามกำหนด ปวดหนอ มันก็หายบ้างไม่หายบ้าง ไม่ทราบจะทำอะไร รบกวนอ.ด้วยค่ะ

2. การที่หมอนวด ตามร้านทั่วไป ช่วยนวดแก้อาการ ปวดเมื่อยต่างๆ ให้เขาหายเมื่อย แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขา จะมาจองเวรหมอนวดไหม

คำตอบ
(๑) นั่งสมาธิแล้วปวดที่ต้นคอ เป็นเพราะขันธมารมาขัดขวางการทำความดีของผู้ถามปัญหา หากประสงค์จะให้อาการปวดที่ต้นคอหายไป ต้องเร่งความเพียรบริกรรมคำว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ ไม่หายปวดต้นคอไม่เลิกบริกรรม ผู้มีสัจจะประพฤติดับเหตุได้ถูกตรงอย่างนี้ จึงจะสามารถผ่านขันธมารตัวนี้ไปได้

(๒) ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้อื่น ผู้นั้นย่อมได้รับการจองเวรจากฝ่ายตรงข้าม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านอาจารย์ดังนี้
1.การเลี้ยงกุมารทองหรือลูกกรอกโดยคอยอุทิศบุญทำกุศลให้ ให้อาหารและที่อาศัย นับว่าเป็นการมีผีเป็นเพื่อนหรือไม่ครับ

2.การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง จัดว่าเป็นศีลขาดหรือว่าด่างพร้อยครับ

3.อาจารย์เคยบอกว่าผู้ให้สิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น ผมมีคำถามว่าถ้าเราบริจาคเงินสร้างสื่อธรรมมะเป็นทาน สิ่งที่กลับมาหาเราจะ เป็นเงินหรือธรรมมะครับ หรือสละเงินสร้างวิหาร สร้างพระ เมื่อปัจจัยลงตัวเราจะมีทรัพย์สร้างบ้านยังงั้นหรือครับ?

4.ระหว่างถวายทานกับผู้มีคุณธรรมสูง กับบริจาคทานกับคนหมู่มากเช่นสร้างโรงทาน อานิสงค์แบบไหนจะมากกว่ากันครับ

5.หากตั้งใจทำความดีหรือเริ่มลงมือทำดีมากๆเมื่อใด มักจะมีอุปสรรคปัญหามาคอยเล่นงานซะจนย่ำแย่แทบทุกครั้งไป จนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ สาเหตุเกิดจากอะไร และควรแก้ไขอย่างไรครับ

6.ศีลที่บริสุทธิ์มีผลทำให้ทานบริสุทธิ์และให้ผลเร็วกว่าคนที่ทุศีล ข้อนี้จริงหรือไม่ครับ

ขอขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินอาจา่รย์ไป ข้าพเจ้าขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
(๑) คำว่า “เพื่อน” หมายถึง ผู้ร่วมธุระ , ผู้ชอบพอรักใคร่กัน , ผู้อยู่ในสภาพเดียวกัน

คำว่า “คนใช้” หมายถึง คนที่มีหน้าที่คอยรับใช้

ฉะนั้น การเลี้ยงกุมารทองหรือลูกกรอก เพื่อจุดประสงค์เอาผีเป็นคนรับใช้ จึงไม่เรียกว่า มีผีเป็นเพื่อน

(๒) ไม่เรียกว่าประพฤติทุศีลข้อ ๓ แต่เรียกว่า มีศีลด่างพร้อย

(๓) กรรมอยู่เจตนา เจตนาบริจาคทรัพย์สร้างธรรมะเป็นทาน อานิสงส์ที่เกิดขึ้นผู้ให้ได้ปัญญา สละทรัพย์สร้างวิหาร สร้างพระ ผู้ให้ย่อมได้รับอานิสงส์คือได้พบพระพุทธศาสนา มีบริวารมาก มีชื่อเสียง เป็นที่ยกย่อง ฯลฯ

(๔) ในครั้งพุทธกาล พรรษาที่ ๗ พระพุทธโคดมได้เสด็จไปจำพรรษาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดา ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามเทวดาสองตนในทำนองที่ว่า

พระพุทธโคดม : อังกุรเทพบุตร เหตุใดเธอจึงถอยออกไปนั่งอยู่ห่างไกลจากตถาคตถึง ๑๒ โยชน์

อังกุรเทพบุตร : ในครั้งที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ให้ทานเป็นอันมากแก่มหาชน แต่ทานของข้าพเจ้าว่างเปล่าจากทักขิไนยบุคคล

พระพุทธโคดม : อินทกเทพบุตร เหตุใดเธอจึงยังคงนั่งอยู่หลังพุทธมารดา โดยมิต้องถอยห่างไกลเหมือนอังกุรเทพบุตร

อินทกเทพบุตร : ในครั้งที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าได้ถวายข้าวเพียงทัพพีเดียวแก่พระอนุรุทธะ ผู้เป็นทักขิไนยบุคคล

ดังนั้น ผู้ถามปัญหาพึงพิจารณาด้วยสติปัญญาของตัวเองเถิด

(๕) บุคคลตั้งใจทำความดี ย่อมมีมารมาขัดขวาง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผู้ใดปรารถนาให้ตัวเองมีกำลังต้านทานอำนาจของมารได้ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังพละ ๕ ( สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ) กล้าแข็งกว่าพลังอำนาจของมาร การทำความดีจึงจะสำเร็จลุล่วงลงได้

(๖) จริงครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากถามเกี่ยวกับจิตบางครั่งมีการลบหลู่พระรัตนไตร์ครับ บ้างทีมันขึ้นมาเองครับ ทั่งที่ใจรักเคารพในคุณพระรัตนไตรมากครับ เกิดจากเพราะอะไรครับ และมีวิธีแก้ไขยังไงให้ไม่มีและไม่เกิดจิตเหล่านี้หรือบรรเทาให้น้อยลงได้อย่าไรครับ และ จิตที่เกิดมานี้นอกจากทำให้จิตตก จะเป็นบาปหรือเปล่าครับ ทั่งที่เจตนาไม่อยากคิดเลยครับ ขออาจารย์ชี้แนวทางด้วยครับขอบพระคุณ อาจารย์ที่เคารพมากในที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
ครั้งใดที่บุคคลมีจิตลบหลู่ในพระรัตนตรัย ครั้งนั้นบุคคลย่อมขาดสติกำกับการทำงานของจิต ซึ่งให้ผลตามมาเป็นบาปเกิดขึ้น แล้วถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตของผู้ขาดสติ หากปรารถนาให้พ้นไปจากการระลึกในสิ่งที่ไม่ดีเช่นนี้ได้ ต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะ นำดอกไม้ ธูปเทียน ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดจบแล้ว ต้องกล่าววาจาขอขมากรรมที่เคยปรามาส ( ดุถูก ) พระผู้ทรงคุณธรรมสูง หลังจากขอขมากรรมแล้วต้องมีสัจจะ ไม่ปรามาสผู้อื่นใดอีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพค่ะ
ต้องขอรบกวนอาจารย์ในการชี้แนะทางที่ถูกที่ควร และขอขอบพระคุณที่ท่านในความเมตตาที่กรุณาสละเวลาค่ะ

คำถามของหนู คือ

ขณะนี้คุณแม่อายุ 80 กว่า มีความตระหนี่มาก แม่ไม่ศรัทธาในศาสนา ไม่เห็นประโยชน์ของการทำบุญใด ๆ ถ้าจะทำบุญ เราต้องแอบทำ แม่เคยลำบากมาก่อน พยายามที่จะประหยัดเงินที่จะเลี้ยงลูก ๆ ตอนนี้ลูกๆเติบโตและเลี้ยงดูตนเองได้หมด แต่แม่ยังมีนิสัยประหยัดและตระหนี่มาก ลูกๆ มักจะบอกโกหกเธอเพื่อให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เราใช้จ่ายในทุกอย่างและทำบุญ ลูก ๆ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับแม่ ลูก ๆ ไม่ต้องการที่จะโกหกแม่ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
การกล่าววาจาที่ไม่ถูกตรงกับความเป็นจริง ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ ๔ ผู้ปรารถนาพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องเว้นประพฤติดังกล่าว

ความตระหนี่ ( มัจฉริยะ ) หากยังมีอยู่ในจิตใจของใครผู้ใด ผู้นั้นยังมีจิตเศร้าหมองด้วยกิเลส โอกาสที่จะพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

หากผู้ถามปัญหาเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ย่อมประพฤติตามหลักกาลามสูตร ด้วยการพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้เข้าถึงโลกิยญาณ ( อภิญญา ๕ ) และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) ให้เข้าถึงโลกุตตรญาณ ( ญาณ ๑๖ ) ได้เมื่อใดแล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ได้อย่างถูกตรงว่า แท้จริงแล้วความเป็นแม่ ลูก ญาติ พี่น้อง ฯลฯ เป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่ไม่มีอยู่จริงกับผู้ที่เข้าถึงอริยธรรมในพุทธศาสนา แล้วย่อมทำให้มีใจปล่อยวางเป็นกลาง ด้วยรู้ เห็น เข้าใจ ได้อย่างถูกตรงว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จึงแบ่งสัตว์บุคคลออกเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายชั่วช้าเลวทราม และฝ่าประณีตดีงาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฝึกจิตให้เป็นสมาธินานพอสมควร และได้อ่านหนังสือธรรมะหลายเล่ม ผมสนใจเกี่ยวกับการปิดอบายภูมิ การปิดอบายภูมิต้องปฏิบัติให้ได้โสดาบัน คือต้อง ทำจิตให้ไม่มีกังวล ในสังโยชน์ 3 ข้อแรกคือ
1. สัคกายทิฏฐิ ที่เห็นว่าอัตภาพร่างกายไม่เป็นของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีเรา
2. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า
3. สีลัพตปรามาส ปฏิบัติศีล 5 อย่างเคร่งครัด
ผมคิดว่าข้อปฏิบัติ 3 ข้อนี้ไม่ยากนัก แต่การปฏิบัติให้ได้ 3 ข้อนี้ ยากมาก จึงสงสัยว่าคงจะมีอะไรหลายอย่างที่ไม่รู้และลึกซึ้ง ยากแก่การปฏิบัติ จึงอยากทราบว่า มีอะไรบ้าง จึงขอความกรุณา ช่วยแนะนำด้วยครับ



คำตอบ
(๑) ผู้ที่หมดสักกายทิฏฐิ สามารถดูได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เช่น จิตเป็นอิสระจากอาการเจ็บปวดใดๆของร่างกาย จิตเป็นอิสระจากเสียงก่นด่าของคนที่อยู่รอบข้าง จิตเป็นอิสระจากความตายที่จะต้องมาถึงตนในวันข้างหน้า ฯลฯ ความปลอดจากอารมณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ความสิ้นไปของสักกายทิฏฐิ

(๒) คำว่า “วิจิกิจฉา” หมายถึงความสงสัย ผู้มีจิตเป็นอิสระจากวิจิกิจฉา ต้องไม่สงสัย แต่มีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวในคุณของพระพุทธเจ้า ในคุณของพระธรรม และในคุณของพระอริยสงฆ์ คนที่จะหมดวิจิกิจฉาได้อย่างแท้จริง ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึง มรรคญาณ ( ญาณตัวที่ ๑๔ ) ได้แล้ว วิจิกิจฉาสังโยชน์จึงจะหมดไปจากจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นผู้ถามปัญหาต้องดูที่ใจตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง ความสิ้นไปของวิจิกิจฉา จึงจะหมดไปจากจิตของตนได้

(๓) คำว่า “สีลัพพตปรามาส” เป็นความเห็นผิดว่า บุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ด้วยศีลและวัตร เช่น จิตเห็นผิดว่า กิน เดิน นอน เหมือนอย่างโค เหมือนอย่างสุนัข เมื่อตายแล้วจะมีความสุข หรือมีจิตเห็นผิดว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างสัตว์ ตลอดจนสร้างสรรพสิ่ง คอยรับบาปจากการกระทำผิดของสาวก หรือกระทำการใดๆให้พระเจ้าพอใจ โดยเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า หรือมีจิตเห็นผิดว่า การบวงสรวงเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ภูตผี ปีศาจ โดยเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วจะมีความสุข หรือมีจิตเห็นผิดว่า การบูชาเทวดาโดยไม่คำนึงถึงความบกพร่องในศีลที่ตนมี โดยเชื่อว่าตายแล้วจะมีความสุข และสุดท้ายการกระทำใดๆที่หวังความสุขในภพหน้า โดยมิได้ประพฤติตามมรรค ๘ เช่น ยืนขาเดียว ใช้ของแหลมทิ่มแทงตนให้บาดเจ็บ นอนบนหนามแหลมคม ไต่บันไดมีด ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ผู้ใดประพฤติแล้ว ถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาส

ฉะนั้น ผู้หวังความพ้นทุกข์ พึงดูใจตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงอริยธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ค่ะ คือ ช่วงนี้หนูรู้สึกว่าตัวเองสามารถสัมผัสและรับคลื่นอารมณ์ของคนรอบข้างได้ โดยที่เขายังไม่ได้แสดงคำพูด ท่าทาง หรือปฏิกิริยาอาการใดๆเลย (คล้ายกับว่าหนูกำลังเป็นตัวของเขาคนนั้นในขณะนั้นเลยค่ะ) ซึ่งหากเป็นอารมณ์ด้านบวก ก็ไม่มีปัญหาเพราะเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อต้องรับอารมณ์ด้านลบ หนูจะรู้สึกเครียด หงุดหงิด และมีอาการต่างๆ เช่นเดียวกับที่เขาคนนั้นกำลังเป็นอยู่เลยค่ะ

หนูเลยต้องการเรียนถามทานอาจารย์ค่ะว่า
1. อาการที่หนูกำลังเป็นเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมหรือไม่คะ

2. เมื่อเกิดอาการขึ้น หนูควรจะทำอย่างไรต่อไป

3. การเปิดรับคลื่นอารมณ์ในลักษณะนี้ สามารถกำหนดเพื่อเปิดรับหรือปิดรับคลื่นอารมณ์ได้หรือไม่

จึงเรียนมาเพื่อท่านอาจารย์โปรดพิจารณาให้ข้อแนะนำให้ด้วยนะคะ เพราะตอนนี้หนูไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้วค่ะ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ



คำตอบ
(๑) อาการที่บอกเล่าไป เป็นผลเกิดจากการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง คือปฏิบัติธรรมแล้วยังเข้าไม่ถึงธรรม ปัญหา ( อารมณ์ติดลบ ) จึงได้เกิดขึ้น

(๒) วิธีแก้ปัญหาในข้อ ( ๑ ) ต้องเอาจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ไปพิจารณาอารมณ์ติดลบที่เกิดขึ้น ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เมื่อใดจิตเห็นอารมณ์ติดลบเป็นอนัตตา อารมณ์ติดลบย่อมไม่ใช่ตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางแล้วว่างจากอารมณ์ดังกล่าวนั้น ปัญหาก็จะหมดไป นี่คือปัญญาเห็นถูกตามธรรมที่ผู้รู้นิยมพัฒนาให้เข้าถึง

(๓) เปิดรับคลื่นอารมณ์ได้ แต่จิตยังไม่มีกำลังปิดรับคลื่นอารมณ์ที่เห็นผิดได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปิดรับคลื่นอารมณ์ที่เห็นให้ได้ ต้องพัฒนาจิตตามข้อ (๒)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากต้องใช้ชีวิตคู่ร่่วมกับสามีที่มีอุปนิสัย เป็นคนมีอัตตาสูง ลำพอง ไม่นอบน้อมดูหมิ่นดูแคลน ไม่ให้เกรียติยกย่อง ไม่ไว้วางใจเรา ทั้งยังหลบหลู่และก้าวร้าวต่อบุพการี ของเราไม่ยินดีพร้อมทั้งตำหนิเมื่อเราสงเคราะห์ญาติหรือตอบแทนพระคุณบุพการี (ส่วนทรัพย์ที่นำไปสงเคราะห์ญาตินั้นหนูหามาได้เองค่ะไม่เคยเบียดเบียนเขาเพราะเห็นว่าไม่ควร และก้อได้แบ่งเป็นสัดส่วนตามสมควรแล้ว) เขาจะเอาแต่ญาติฝ่ายตน แต่หนูไม่ทำอย่างเขาปฎิบัติเท่าเทียมกันหมดค่ะ หนูต้องปฏิบัติตัวอย่างไรคะอาจารย์ แล้วในจิตหนูคิดจะเลิกราอยู่เสมอเสมอ จะเป็นการหนีกรรมที่ต้องชดใช้ต่อเค้าหรือป่าวคะ หนูควรทำอย่างไร โปรดเมตตาชี้แนะ ด้วยเถิดค่ะ

ขอขอบพระคุณอย่างสูง ค่ะ

คำตอบ
อายุขัยร่างกายของมนุษย์สั้นมาก เมื่อเทียบกับอายุขัยร่างกายของเทวดาหรือพรหม เขามิได้ประพฤติการเป็นสามีที่ดี พึงเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติอกตัญญูเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เสื่อมจากความเป็นมนุษย์เหมือนเขา วันใดที่จิตปฏิเสธจะอยู่ในร่างกายของสามี พลังของบาปย่อมผลักดันจิตวิญญาณของเขา ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพแน่นอน ผู้ที่มีชีวิตเจริญรุ่งเรืองในชาตินี้ เขามีขันติ มีเมตตา มีสติ มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม และประพฤติตนเป็นผู้ให้ ฉะนั้นพึงดูให้ออก แล้วเลือกเอาเองว่า เราจะประพฤติตนอย่างไรต่อกรณีที่เกิดขึ้นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร