วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามการฝึกจิต

อยากรู้ว่า ควรฝึกวันละกี่ชมครับ
ผมพึ่งฝึกวันเเรก ขอคำเเนะนำหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ

ฝึกปฏิบัติธรรมวันละกี่ชั่วโมง ยังไม่สำคัญเท่ากับ ฝึกได้ถูกตรงตามธรรม มีศีล มีสัจจะ และฝึกต่อเนื่องทุกวัน เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ผลสัมฤทธิ์ย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำบุญตักบาตรทุกเช้า กับการถวายเงินเป็นค่าอาหารเลี้ยงภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม
ทุก ๆ เดือน มีอานิสงส์ต่างกันอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ

ให้อาหารเป็นทานด้วยการใส่บาตรทุกวัน เมื่อกรรมดีให้ผล ย่อมมีอาหารบริโภคอุดมสมบูรณ์ ส่วนการถวายเงินถือว่าเป็นการให้ทรัพย์เป็นทาน เมื่อกรรมดีให้ผล ผู้ถวายทรัพย์เป็นทานทุกเดือน ย่อมมีทรัพย์ให้ใช้จ่ายอย่างไม่ขาดมือ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเรียนคณะสัตวแพทย์ ชั้นปีที่ 5
ที่ผ่านมาต้องฆ่าสัตว์หลายชนิดเพื่อการศึกษา ซึ่งหนูไม่อยากทำเลยค่ะ .. ไม่อยากทำแล้วค่ะ
เมื่อคิดว่าปี 6 ก็ต้องทำต่อไปและมากกว่าเก่า
และถ้าเรียนจบไปประกอบอาชีพ ก็มีโอกาสประกอบกรรม
การทำหมัน การฆ่าเห็บหมัด การตัดสินชีวิตสัตว์ และอื่นๆอีก

ความคิดและความรู้สึกดังกล่าวมานี้ ทำให้คิดจะหยุดเรียนและรับปริญญา วทบ.เฉยๆค่ะ

แต่..น้องชายก็เพิ่งดร็อปเรียน .. แม่กับพ่อผิดหวังค่ะ
หนูคิดว่า ถ้าหนูจะทำอีกคน พ่อกับแม่คงจะผิดหวังมากทีเดียว

ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรค่ะ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะ..แนวทางการคิด..ด้วย

1. อาจารย์บอกว่า " บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วง "
ถ้าพ่อแม่คาดหวัง แล้วเราทำให้ผิดหวัง .. ไม่บาปแต่ .. จะดีหรือคะหนูพูดไม่ออกจริงๆ

2. ถ้าเลือกตัดสินใจเรียนต่อ ควร ประพฤติ + รักษาใจ อย่างไรคะ
เพื่อนๆบอกว่า ปัญหาอยู่ที่ใจหนูมากกว่าค่ะ .. ควรจะทนๆไป อีกปีครึ่งเอง..

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ

(๑). พ่อกับแม่คาดหวังให้ลูกทำในสิ่งที่ผิดไปจากธรรม ลูกไม่ประพฤติตามย่อมไม่มีบาปเกิดขึ้น แต่พ่อและแม่ผู้รู้ไม่จริงแท้ จึงสร้างบาป (คาดหวัง) ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ผู้คาดหวังจึงต้องรับบาปนั้น เมื่อลูกพูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูด เพียงแต่นิ่งเฉยไว้และต้องประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีต่อพ่อแม่ แล้วชีวิตของลูกจะไม่วิบัติ

(๒). หากตัดสินใจเรียนต่อให้จบ ผู้เป็นลูกต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีบุญมากกว่าบาป แล้วบุญจะสามารถคุ้มครองชีวิตมิให้วิบัติได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฟังซีดีของท่านอาจารย์ ดร.สนองมาหลายครั้งแล้ว เกิดความเลื่อมใสในจริยวัตร ต่างๆ ของท่านอาจารย์ ดร.สนอง เป็นอย่างมาก แต่ยังไม่มีโอกาศได้ไปกราบเท้าอาจารย์ ดร.สนอง เลย เพราะอยู่ถึงชลบุรี ผมได้เจริญสติ มาประมาณ 1-2 ปี แล้ว ได้ฝึกมาหลายๆอย่าง แต่รู้สึกว่า ถูกจริตกับ พุทโธ แต่มาระยะหลัง มาบริกรรม นะมะ พะธะ ตามแบบหลวงพ่อฤา ษี ลิงดำ แล้ว รู้สึกถึงความโล่งเบา และจิตเข้าสมาธิเร็วกล่าเดิม อย่างนี้ถือว่า การบริกรรม นะมะ พะธะ ถูกจริตมากกว่าหรือป่าวคับ อยากรบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยชี้แนะด้วยคับ

- การที่ผมฝึกเจริญสติด้วยตนเอง โดยไม่มีพระอาจารย์ใด ช่วยแนะนำอย่างจริงจัง จะทำให้ผม ผิดทางได้หรือป่าว หากเป็นไปได้ อยากให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยแนะนำพระอาจารย์ ที่เป็นกัลยาณมิตรของผมด้วย

- แฟนผมเปิดร้านเพ็ทช๊อป อาบน้ำตัดขน สุนัข ต้องมีการเก็บเห็บ หมัดจากสุนัข ไปปล่อยเสมอ แต่อาจมีบ้างครั้งทำให้มันตายโดยไม่ตั้งใจ จะเป็นการสะสมบาปหรือป่าวคับ แล้วควรทำอย่างไรดี

- ปัจจุบันร้านมีแนวคิดจะนำลูกสุนัขมาจำหน่าย แต่มีเพื่อนบอกว่าเป็นบาป ไม่ควรทำ การทำแบบนี้บาปหรือป่าวคับ แล้วควรทำหรือไม่คับ

สุดท้่ายนี้ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ ดร.สนอง ด้วยความเคารพยิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์ ดร.สนอง สั่งสอนธรรมไปนานๆนะคับ

คำตอบ

ตามที่บอกเล่าไปถือว่าประพฤติธรรมได้ถูกตรงกับจริต แต่ต้องไม่ลืมพัฒนาจิตตนเองให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อนำพาชีวิตไปสู่ความเป็นอิสระ และพ้นไปจากความทุกข์

ผู้ใดมีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตมากพอ ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองได้ คือปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ผลแห่งการปฏิบัติธรรมเป็นเช่นนี้ จึงจะถือได้ว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ตรงกันข้าม ผู้ที่อบรมสั่งสมบารมีมาไม่มากพอ ควรแสวงหาครูบาอาจารย์ ผู้มีประสบการณ์ถูกตรงตามธรรม มาเป็นครูสอนกรรมฐาน หากผู้ถามปัญหาปรารถนาความเจริญในชีวิต ควรฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ภูพาน แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่าน

ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ หากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว ถือว่าผู้นั้นมีบาป ผู้ใดปรารถนาไม่ให้บาปเกิดขึ้น ต้องเลือกประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ หรือประกอบอาชีพเดิมที่เป็นบาป แต่ต้องพัฒนาบุญให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ พัฒนาบุญให้มีผลยิ่งใหญ่กว่าบาป แล้วชีวิตจะไม่วิบัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบาย เรื่อง คำถามต่อไปนี้ครับ

1) เรื่องที่คิด ในสิ่งไม่ดี ไม่เหมาะสม แต่การกระทำไม่เคยกระทำ ทำไมจิตของเราไม่เป็นตัวเราครับ เพราะจุดประสงค์แท้จริงเราอยากเป็นคนดี
แต่ในหลายครั้งจิตกลับคิดสิ่งที่ไร้สาระ สกปรก น่ารังเกียจ แม้แต่ผู้มีพระคุณ หรือ ผู้มีคุณธรรมสูงครับ บาปมาก กลัวมาก แต่ก็ยังแก้ไม่ได้
อาจารย์ให้เจริญสติให้กล้าแข็ง แล้วจะแก้ได้ ก็กระทำอยู่ แต่ยังทำไม่ได้ ถ้าไม่เจอหรือ พบก็ไม่คิด แต่หากมาพบหรือเจอกลับคิด
เช่นกัน หากกระผมได้เคยล่วงเกินท่านอาจารย์ไม่ว่าทางใด ขออาจารย์จงงดโทษ ยกโทษ อโหสิกรรมให้กระผมด้วยครับ

มีคำกล่าวว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ เมื่อเหตุดับ ทุกสิ่งก็ดับ กรณีนี้มันเกิดมาจากเหตุใดครับ

2. ชาตินี้รู้สึกตนว่าเป็นคนโง่ คนมีไหวพริบน้อย ไม่ทันคน ต้องทำบุญอย่างไร หรือปฏิบัติอย่างไร จึงจะพัฒนาตนให้เป็นคนฉลาด มีปัญญาไว (ในชาติต่อไป) ครับ

3. คำว่า มหาทานนั้น ต้องทำอย่างไรครับ ให้เหมาะกับสภาพ เศรษฐิกิจของตนเองครับ เห็นคนทำบุญ ตั้งโรงทาน แต่ตนเองกับมีรายได้ไม่มาก แค่ตนเองก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้วครับ

4. ทุกวันนี้ทำไม คนดี ( ต้องมาร่วมรับกรรมกับคนเลว) เช่น น้ำท่วมหาดใหญ่ น้ำท่วมโคราช บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว เห็นแล้วสงสารครับ

และยังมีคำทำนายของคนบางคน น่ากลัวมาก เพราะแค่ สึนามิ อันเดิมที่คนตายไปกว่าสองแสน บอกว่าเป็นแค่ชิมลาง ต่อไป จะมีอีกและอาจเกิดได้ สองฝั่งทะเลไทย อาจารย์จะแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรครับ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ

(๑). หากผู้ถามปัญหาปรารถนาให้พ้นจากบาปที่ตนระลึกได้ ต้องขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป พระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุ เจดีย์ที่บรรจุพระธรรม ฯลฯ แล้วพัฒนาจิตให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น จากนั้นต้องฝึกจิตให้มีสติกล้าแข็ง จิตที่มีศีลและมีสติอยู่ทุกขณะตื่น สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายมิให้เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ แล้วปัญหาที่ถามก็จะยุติไป

(๒). ผู้ใดปรารถนาความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันคน ผู้นั้นต้องเข้าใกล้และเสวนากับคนที่ปัญญาเห็นถูกตามธรรม และดีที่สุดหากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม จนสามารถเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว ความเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด และรู้ทันคนย่อมเกิดขึ้นได้

(๓). คำว่า “ มหาทาน ” หมายถึงทานที่ให้กับคนหมู่มาก ให้กับหมู่สงฆ์ ผู้ทรงคุณธรรมสูง ให้ทานอย่างต่อเนื่องยาวนานเจ็ดวัน ให้กับหมู่สงฆ์ที่มาจากจตุรทิศ ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า มหาทาน

การให้ทาน สามารถให้สิ่งดีงามได้ตามความเหมาะสมของตน เช่น ให้ทรัพย์เป็นทาน ให้ข้าว ให้นำ ให้ยาน ให้ที่อยู่อาศัย ให้แรงงานเป็นทาน ให้โอกาสเป็นทาน ให้อภัยเป็นทาน ให้ธรรมะเป็นทาน ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2010, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้รับประโยชน์่จากธรรมะที่อาจารย์แนะนำอย่างมากเลยค่ะ ทำให้มีหลักคิด พูด ทำได้ถูกต้องและชัดเจนขึ้น หนูขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่เคยทำไว้ทั้งในอดีตชาติและ ปัจจุบันชาติจงสำเร็จแก่อาจารย์สนอง รวมทั้งทีมงานทุกคนในชมรมกัลยาณธรรมให้มีความสุขกาย สุขใจและประสบความสำเร็จในการทำสิ่งดีงามทุกประการนะคะ

อาจารย์คะ หนูขออนุญาตถาม 2 คำถามนะคะ

1. หนูต้องการช่วยคุณแม่ทำงานเพื่อลดภาระให้ท่านทำงานน้อยลง แต่เนื่องจากที่บ้านเป็นร้านของชำซึ่งจำหน่าย เหล้า บุหรี่ อยู่ด้วย ไม่อยากขายสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ ช่วงแรก ๆช่วยทำงานไป บางครั้ง จิตตก ทุกข์ แต่สักพักก็คิดได้ว่า ต้องรักษาใจไม่ให้ตก (อะไรก็เสียได้ แต่ใจห้ามเสีย) ก็ดีขึ้นและปฏิบัติธรรม รวมทั้งสวดมนต์ทุกวันพร้อมทั้งอธิษฐานจิต ขอให้ทุกคนในครอบครัวของหนูหลุดออกจากวิบาก ที่ต้องขายสิ่งเสพติดและมิจฉาอาชีพทุกประการ ทั้งในภพนี้และทุก ๆชาติภพไป อยากขอคำแนะนำอาจารย์ค่ะ ว่าควรทำอย่างไรดีที่สุดคะ

2. เผอิญได้เจอข้อมูลที่ระบุว่า ให้หยุดทำบาปด้วยการไม่ถวายเงินทองแด่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร โดยข้อมูลอ้างว่าผิดพระบัญญัติพระไตรปิฎก เล่ม 3 หน้า 940 เล่มสีน้ำเงิน และเล่ม 3 หน้า 887 เล่มแดง ที่พระพุทธองค์ได้ระบุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...อนึ่งภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่ง ทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ก็ดีเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไป จึงจะพ้นโทษ หนูงงมากเลยค่ะ ตกลงถวายเงินให้พระไม่ได้หรือคะ แบบนั้นการทอดกฐิน ทอดผ้าป่าก็ไม่ถูกต้องหรือคะ อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะคะว่า ต้องคิดอย่างไรให้ถูกต้องตามธรรม

กราบขอบคุณอาจารย์มาก ๆเลยนะคะที่สละเวลาช่วยตอบคำถาม

คำตอบ

(๑). การเกิดมาแล้วได้อัตภาพเป็นมนุษย์ มีงานใหญ่ที่ต้องทำอยู่สองงาน คือ งานภายนอกที่ต้องทำให้กับสังคม เช่น เปิดร้านขายของ และงานภายในที่ต้องทำให้กับตัวเอง คือสั่งสมบุญ เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ปรโลก ผู้มีปัญญารู้เห็นเข้าใจ เช่นนี้ได้แล้ว ย่อมไม่ประมาทพัฒนาจิตให้มีบุญอยู่เหนือบาป เพื่อให้บาตามส่งผลไม่ทัน ทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า และจะดีที่สุดหากสามารถพัฒนาจิต แล้วปิดอบายภูมิให้ได้ ดังที่อริยบุคคลได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

(๒). ภิกษุรูปใดมีจิตเป็นทาสของทรัพย์เงินทอง ภิกษุรูปนั้นย่อมมีชีวิตวิบัติ ไม่สามารถพัฒนาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ดังที่พระพุทธโคดมตรัสกับพระอานนท์ เมื่อเห็นถุงบรรจุเงินที่โจรนำมาทิ้งไว้ที่หัวคันนา ขณะเดินบิณฑบาต ในทำนองที่ว่า
พระพุทธะ : อานนท์ เธอเห็นงูพิษไหม
พระอานนท์ : เห็นพระเจ้าค่ะ

ตรงกันข้าม ภิกษุรูปใดมีจิตเป็นอิสระจากทรัพย์เงินทอง นำเงินที่ได้จากการทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ฯลฯ ไปใช้สร้างศาสนสถาน เช่น สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม ฯลฯ ได้ถูกตรงตามเจตนารมณ์ของผู้สละทรัพย์ทำบุญ บาปย่อมไม่เกิดขึ้นกับภิกษูรูปนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องจะรบกวนถามอาจารย์ว่า ความเข้าใจคำว่า อนัตตาหรือความไม่มีตัวตน ของผมถูกต้องหรือไม่ครับ โดยการประมวลความคิดจากสมอง ไม่ได้ใช้ปัญญาเห็นแจ้งครับ

มีคนที่นั่งกรรมฐานแล้วไปพบเจอกับภพภูมิอื่น แล้วมาถามพระผู้รู้ คำตอบที่ผมได้รับการบอกเล่าอยู่บ่อยๆ คือ "ที่ไปเห็นนั้นได้เห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง" นี่ก็คือข้อมูลอย่างหนึ่งที่ใช้ในการทำความเข้าใจของผม ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่มีมนษย์แล้วโลก ดวงจันทร์หรือดวงดาวต่างๆ ที่มองเห็นกันอยู่นี้ก็จะไม่มี ที่มันมีก็เพราะมนุษย์มีความถี่ของประสาทสัมผัสที่สัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนกับที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสภพภูมิสวรรค์ได้เนื่องจากความถี่ของประสาทสัมผัสไม่ตรงกัน ก็จะบอกว่าสวรรค์ไม่มีอยู่จริง คงเช่นเดี่ยวกับเทวดาหรือสัตว์ในภพภูมิอื่นๆ ที่ไม่เห็นโลกมนุษย์ก็จะบอกว่าโลกมนุษย์ไม่มีอยู่จริง นอกเสียจากว่าเขาเหล่านั้นปรับความถี่ของประสาทสัมผัสให้ตรงกับภพภูมิมนุษย์ จึงจะรู้ว่าโลกมนุษย์มีอยู่จริง ซึ่งในเวลาเดียวกันเขาเหล่านั้นก็คงไม่เห็นภพภูมิของตัวเอง

สรุปว่า ความเข้าใจของผมคือ ภพภูมิต่างๆ รวมถึงโลกมนุษย์ มันไม่ได้มีอยู่จริง แต่ที่คิดว่ามีอยู่จริงก็เพราะสัตว์ในภพภูมินั้นๆ มีความถี่ของประสาทสัมผัสที่รับรู้ได้ แล้วไปยึดมั่นว่ามันมีอยู่จริง จริงแท้แล้วมันไม่มีตัวตน (ถ้าไม่มีสัตว์ ก็ไม่มีภพภูมิ ทุกอย่างล้วนไม่มีตัวตน)

จากทั้งหมดข้างต้นผมมีความเห็นถูกไหมครับ ...

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่ช่วยชี้ทาง
ด้วยความเคารพ

คำตอบ
ไม่ถูกครับ คำว่า “ อนัตตา ” หมายถึง สัตว์ (รูปนาม) ที่เป็นทั้งกายหยาบและกายทิพย์ ล้วนต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ รูปนามเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจตา) รูปนามเป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขา) และรูปนามต้องแตกสลายไปในที่สุด (ไม่มีอยู่จริง) รูปนามจึงมิใช่ตัวมิใช่ตน ( อนัตตตา) ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง หรือปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเห็นสรรพสิ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป คือ สิ่งที่ถูกเห็นไม่มีอยู่จริงนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2012, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: :b12:

ขุดกระทู้เก่า

:b4: :b4: :b4:

ท่านธรรมบุตรผู้เคยเข้ามาคอยนำภาพสวย ๆ เรื่องดี ๆ มาโพสต์
(แต่ก็เห็นหายไปพักใหญ่แล้ว
:b6: หรือมาในชื่อใหม่ก็ไม่รุ๊ .. อย่าให้จับได้นะ.. :b13: )

และเท่าที่ดูก็มีผู้สนใจเข้ามาติดตามกระทู้นี้เป็นจำนวนมาก
แม้กระทู้นี้จะตกไปอยู่ในหน้าหลัง ๆ ก็ตาม
ถ้าเป็นไปได้ กระทู้นี้น่าจะได้รับการปักหมุดไว้
รบกวนผู้ดูแลช่วยที

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2012, 01:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2012, 21:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2012, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: ขออนุโมทนายิ่งค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 15:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเกิดมาในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฐิ แต่หนูมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นที่คนดีขึ้นจริงๆ หนูขอน้อมรับพระรัตนตรัยเป็นสะระณะสูงสุดของดวงจิตนี้ตลอดไป รบกวนขอความเมตตาอาจารย์ช่วยแนะนำอย่างละเอียดดังนี้ค่ะ

๑. วิธีการฝึกสติ ในชีวิตประจำวัน
๒. วิธีการพัฒนาจิตใจให้เข็มแข็ง
๓. วิธีการลดทิฐิ และอัตตาในตนเอง
๔. วิธีการปราบความอิจฉา ริษยา

กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) คือเอาศีลคุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงปฏิบัติสมถภาวนา จิตจึงจะมีสติแล้วตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เอาจิตที่เป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) ไปพัฒนา ( วิปัสสนาภาวนา ) แล้วโอกาสที่จิตจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะเป็นไปได้
(๑) สวดมนต์ก่อนนอน เจริญจิตภาวนาก่อนนอน หลังจากที่ทำกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

(๒) เอาศีล ๕ ลงคุมให้ถึงใจ เร่งความเพียรพัฒนาจิตอย่างต่อเนื่อง ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงาน แล้วโอกาสที่จิตจะมีกำลังของสติกล้าแข็ง จึงจะเกิดขึ้นได้

(๓) วิธีลดทิฏฐิ ( ความเห็นผิด ) ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูผัสสะว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดที่จิตเห็นผัสสะไม่ใช่ตัวตน ( อนัตตา ) ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นย่อมเกิดขึ้น ทุกผัสสะต้องพิจารณาตามแนวทางนี้ แล้วความเห็นผิดไปจากธรรมจึงจะหมดไปได้

หลังจากนั้นใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ตามดูขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ) ล้วนต่างดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา แล้วขันธ์ ๕ จะดับไป อัตตา (ego) ที่อยู่ในขันธ์ ๕ จะดับตามไปด้วย

(๔) เมื่อใดที่บุคคลได้พัฒนาจิตจนมีความเห็นถูกเกิดขึ้น และอัตตาดับตามขันธ์ ๕ ไปแล้ว ความอิจฉาริษยาจะไม่มีกับผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นคนที่เคยดื่มเหล้าเบียร์แต่ปัจจุบันเลิกขาดมานานแล้ว เพราะผมอยากจะรักษาศีลและไม่ชอบดื่ม มีคำถามนึงที่มีคนชอบถามผมในโต๊ะสังสรรแต่ผมไม่ทราบจะตอบเค้าว่าอย่างไรดีเพื่อให้เค้ายอมรับ

เค้าถามว่า "ทำไมถึงไม่กินการกินเหล้า กินเหล้าไม่เมาไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนไม่ผิดศีล
เรารู้ลิมิตของเราดีกินนิดหน่อยไม่ถึงกับขาดสติหรอก ถ้าไม่ได้ไปสร้างภาระให้ใคร
ยังมีสติดูแลตัวเองได้ก็ไม่น่าจะผิดไม่ใช่หรอ"

ผมก็ตอบไปว่า "ผิดศีลข้อห้าไง" มันเป็นความรู้สึกข้างในว่าที่ทำมันผิดแต่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะผมรู้ว่ามันเป็นการเปิดโอกาสถ้าดื่มแล้วมันต้องมีครั้งต่อไปแน่ๆ เช่นผมดื่มวันนี้พรุ่งนี้ไปกับอีกพวกที่รู้จักกัน ก็คงต้องโดนกล่าวว่า "เมื่อวานได้ยินว่าดื่มนิ วันนี้ดื่มอีกครั้งจะเป็นไร" เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่ โดนเซ้าซี้มากๆเข้าผมจึงตอบไปอีกว่า "ผมไม่ชอบมันไม่อร่อยดื่มแล้วรู้สึกไม่ดี" เพราะนี่เป็นเหตุผลส่วนตัว ที่จะไม่มีข้างอ้างอะไรมาทำให้เค้าเซ้าซี้ต่อได้อีก ประมาณนี้ครับแต่ผมอยากจะตอบให้เป็นเหตุเป็นผลมากกว่านี้ เพื่อให้คนเหล่านั้นเข้าใจและยอมรับศีล เพื่อให้คนเหล่านั้นหยุดทำผิด ควรตอบอย่างไรครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
ผู้ใดมีจิตขาดสติ ผู้นั้นย่อมมีอารมณ์ของจิตเกิดขึ้น การดื่มสุราเป็นต้นเหตุทำให้จิตมีกำลังของสติลดลงความประมาทจึงได้เกิดขึ้น ผู้ใดเว้นดื่มสุราได้แล้ว ย่อมเกิดประโยชน์ ( อานิสงส์ ) ขึ้นกับผู้นั้น อาทิ มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่งุนงง ไม่เซ่อ ไม่หลง ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่กล่าวอกุศลวจีกรรม ( เท็จ หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ) ไม่ขี้เกียจ ไม่อกตัญญู ไม่ตระหนี่ มีความซื่อตรง ละอายชั่วกลัวบาป มีปัญญาดี ฯลฯ

สมาชิกของสังคมใดเว้นดื่มสุรา สังคมนั้นมีความเจริญ มีความสงบ มีความสุข ตายแล้วจิตวิญญาณไม่โคจรลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ พระพุทธโคดมเป็นผู้รู้จริงแท้ เป็นผู้รู้จริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ( สัพพัญญู ) จึงทรงบัญญัติ การเว้นดื่มสุราไว้เป็นวินัยให้ภิกษุปฏิบัติ และบัญญัติสุราเมระยะฯ ไว้เป็นศีลให้ฆราวาสประพฤติ

ผู้ใดมีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นมีจิตอ่อนด้วยกำลังของสติ ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ท่านเจ้าคุณฯ ได้พูดว่า “เรียนมาจนจบขั้นปริญญาเอกแล้ว แต่ยังมีสติเพียงนิดเดียว” คำพูดประโยคนี้ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงแท้ ฉะนั้นความเห็นที่ว่า “ดื่มสุราเพียงนิดเดียว มิได้ทำให้จิตขาดสติ” จึงเป็นคำพูดของคนที่ยังมีความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) เป็นคำพูดของคนที่ยังเข้าไม่ถึงความจริงแท้ ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคคลได้พัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมมีจิตเป็นอิสระจากคำพูดที่ออกจากปากคนที่อยู่ในสังคม และไม่เอาจิตเข้าไปก้าวล่วง ( หยุดทำผิด ) กับชีวิตของคนอี่นอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2012, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแม่เป็นอัลไซเมอร์เมอร์ค่ะ แต่ชอบไปวัดเพื่อสวดมนต์แต่จำบทสวดไม่ได้แม้แต่อ่านบางคำก็อ่านไม่ได้ลืม อยากให้คุณแม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีสติดีขึ้น

ไม่ทราบว่าแนวการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวของหลวงพ่อเทียนที่จะจัดขึ้นที่เชียงใหม่ 13-17 กค นี้จะเหมาะสำหรับคุณแม่หรือเปล่าค่ะ จะได้เตรียมพักร้อนพาท่านไปค่ะ ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ



คำตอบ
ผู้ใดเสวยผลของอกุศลวิบากแล้ว ผู้นั้นจำเป็นต้องเสวยผลแห่งกรรมนั้นไปจนกว่าจะหมดสิ้น ผู้รู้ย่อมดูผู้อื่น (คุณแม่) เป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าอย่าประพฤติเช่นเขา (ไม่เจริญสติอยู่เสมอ) แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา การเจริญสติตามแนวของหลวงพ่อเทียน เป็นการเคลื่อนไหวของมือ (อิริยาบทใหญ่) หากอัลไซเมอร์มีกำลังอ่อนโอกาสที่จิตจะมีสติเกิดขึ้นย่อมเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 97, 98, 99, 100, 101, 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร