วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูต้องกราบขออนุโมทนาที่ท่านอาจารย์ เมตตาตอบคำถาม ข้อ62 ที่หนูได้เรียนถามไปค่ะ ซึ่งหนูได้ไปปฎิบัติตามคำแนะนำ แล้ว
ไม่มีสภาวะหูอื้อแล้วค่ะ หนูเคยกำหนดบริกรรม ภาวนา พุท - โธ ตามลมหายใจเข้า และออกจนบางครั้งมีสภาวะสมาธิดิ่งจนเกิดนิมิตบ่อยครั้ง บางครั้งหนูพิจาราณาไม่ทัน ตกใจทุกที ซึ่งทำให้หนูรู้สึกกลัวการเกิดนิมิตค่ะ ปัจจุบันหนูไม่ได้บริกรรม พุทโธ แต่ฝึกการปฏิบัติเฝ้าดู +รู้สิ่งที่มากระทบทั้ง ภายใน และภายนอก ดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับมีอยู่ครั้งหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีเข็ม เป็น พันๆ เล่ม มาทิ่มแทงบริเวณใบหน้าและลามมาตลอดจนทั่วทั้งร่างกาย ก้อพิจาราณา ดูการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับ และดูที่จิต ก้อรู้สึกเฉยๆ ซึ่งแตกต่างจากการปฏิบัติ ที่เคยดูลมหายใจ เข้าออกและสมาธิดิ่งจนเกิดนิมิตบางครั้งพิจาราณาทัน จะรู้สึกมีปิติมาก ๆ ตัวเบา แต่พอมาฝึกปฏิบัติพิจาราณาแบบนี้ กลับไม่มีอาการ ปิติ หรือ อะไรเลยกลับรู้สึกเฉยๆ จริงๆค่ะ

ขอความเมตตาอาจารย์ แนะนำการปฏิบัติด้วยค่ะ ....... และอารมณ์รู้สึกเฉยๆนั้น เป็นอารมณ์ ที่เขาเรียกว่าอุเบกขาใช่หรือไม่ค่ะ เพราะบางครั้งหนูเคย สังเกตตัวเองค่ะ ว่าพอหนูตั้งใจทำบุญ จะรู้สึกปิติ พอทำไปแล้ว ตามที่ตั้งใจไว้ ก็รู้สึกเฉยๆค่ะ

ขออนุโมทนาบุญ ในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
เมื่อปฏิบัติกรรมฐานแล้วมีอาการเหมือนเข็มทิ่มแทงตามร่าง กาย และได้พิจารณา ดูการเกิด ตั้งอยู่ และดับไป (กฎไตรลักษณ์) ผลที่ตามมารู้สึกเฉย ๆ นั้น คือการปล่อยวางเพราะปรากฏการณ์(เข็มทิ่มแทง) ไม่มีตัวตนจึงปล่อยวาง เกิดเป็นอุเบกขา แสดงว่าวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปฏิบัติถูกทางแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ ทุกผัสสะที่ปรากฏขึ้นในดวงจิตขณะจิตนิ่ง ให้พิจารณาเหมือนเข็มทิ่มแทง ปล่อยวางเป็นอุเบกขาให้ได้ทุกผัสสะ จะมีดวงตาเห็นธรรม เหมือนดั่งที่อุปติสสะพูดว่า
“ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่ เหตุ พระศาสดาตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและตรัสถึงความดับไว้ด้วย พระศาสดาปรกติตรัสอย่างนี้ ” .....ถ้าทำได้อย่างนี้....สาธุ ๆ ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 14 พ.ค. 2010, 21:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันได้ฝึกปฏิธรรมแบบ ยุบหนอ-พองหนอ ตามแนวทางของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมธีราชมหามุณี ขณะนี้มีปัญหาคือ ทำอย่างไรจึงจะกำจัดถีนมีนถะนิวรณ์ซึ่งเกิดขึ้น พอเริ่มสวดมนต์ก็จะง่วงมาก แม้กระทั่งเดินจงกรมก็ง่วง พยายามระลึกรู้และกำหนด เวลานั่งสมาธิจึงมีอาการพงะไปด้านหลัง พยายามตั้งสติ กำหนด พอออกจากสมาธิความง่วงก็หายไป จึงอยากทราบวิธีปฏิบัติที่จะขจัดความง่วง

คำตอบ
วิธีกำจัดถีนมิทธะ (ง่วงเหงา ซึมเศร้า) ที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติกรรมฐาน ทำได้หลายวิธี อาทิ จำกัดการรับประทานอาหารให้น้อยลง รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย (มังสวิรัติ) งดรับประทานอาหารมื้อเย็น หรือเดินจงกรมให้มากขึ้น หรือหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก 20 ครั้ง หรือล้างหน้า หรืออาบน้ำ หรือนอนศีรษะต่ำ หรือเดินลมปราณ ฯลฯ

การนั่งสมาธิแล้วมีการผงะไปข้างหลลัง ให้ใช้จิตกำหนดรู้หนอๆ ๆ ๆ หรือดูอาการผงะ ว่าเป็นตามกฎไตรลักษณ์


2.แทบทุกครั้งที่ไปทำบุญ เวลาได้ยินเสียงสวดมนต์จะต้องน้ำตาไหล และมีความต้องการอยากสวดมนต์ให้เหมือนพระ เวลาที่เห็นคนทำดี หรือ เมื่อระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าอยู่หัว หรือ คุณครูบาอาจารย์ จะต้องน้ำตาไหล ทุกครั้ง พยายามกำหนด รู้หนอ รู้หนอ น้ำตาไหลหนอๆ เป็นเพราะสติอ่อน จิตใจอ่อนไหว ใช่หรือไม่

คำตอบ
ได้ยินเสียงสวดมนต์แล้วน้ำตาไหล เป็นอาการของคนสติอ่อน แก้โดย เจริญสติให้เข้มข้นขึ้นจนกระทั่งรับทันเสียง (อายตนะภายนอก) ที่เข้ากระทบหู (อายตนะภายใน) แล้วผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ ที่สุดเสียงดับ (อนัตตา)การปรุงแต่งอารมณ์ ( สังขาร) ไม่เกิดน้ำตาไม่ไหล


3. อยากทราบว่าการที่เราต้องทำงานกับเชื้อจุลินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อรา แบคทีเรีย หรือ ไวรัส แล้วต้องกำจัดทิ้ง (Dis-infectant, หรือ Sterilization) เมื่อทำงานเสร็จ หรือการที่ต้อง เผาเข็มเขี่ยเชื้อ ทุกครั้งเมื่อทำการ culture เชื้อ ถือว่าผิดศีลข้อที่ 1 หรือไม่ ทำให้เราต้องบกพร่องในศีล 5
ท้ายสุดนี้ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดคุ้มครองท่านอาจารย์ ให้มีสุขภาพแข็งแรง ดำรงขันธ์ยาวนานเพื่อช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้นานแสนนาน


คำตอบ
การกำจัดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส โดยวิธี Dis-infection หรือ Sterilization หรือ โดยการเผาเข็มเขี่ยเชื้อไม่ผิดศีลข้อที่ 1 (ปาณาติบาต) คือ ฆ่าสัตว์เพราะจุลินทรีย์ที่กล่าวถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณ ครอง(ไม่ใช่สัตว์)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนดิฉันได้ว่าจ้างคนมาสวดมนต์ที่บ้าน เนื่องจากการงานเขาดีขึ้นหลังจากที่เขาบนว่า " ถ้าการงานดีขึ้นจะจ้างคนมาสวดมนต์ที่บ้าน " หลังจากเสร็จพิธี พระที่เพื่อนดิฉันรู้จักซึ่งได้นิมนต์ท่านมาในงานนี้ด้วยนั้น ท่านถามพวกเราว่า รู้ไม๊ว่าวันนี้ใครได้บุญ และใครได้บาป ก็มีหลายท่านตอบว่า ได้บุญกันทั้งนั้นเพราะทุกคนคิดดี ทำดี ตั้งใจสวดมนต์ถวายพระ
พระท่านตอบว่า คนที่ได้บุญคือ พระพุทธเจ้า เนื่องจากท่านเป็นผู้ไม่มีกิเลสแล้ว คนที่ได้บาปคือคนที่รับจ้างมาสวดมนต์ เนื่องจากเขารับค่าจ้างจากการสวดมนต์ ส่วนคนที่มาในงานนั้นได้บุญด้วย ถ้าตั้งใจสวด

ดิฉัน เลยอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ที่พระท่านว่านั้น ถูกหรือผิด อย่างไรค่ะ เพราะหลายท่านที่ฟังในวันนั้นล้วนเชื่อตามที่พระท่านพูดหมดเลย ยกเว้นดิฉันคนเดียวค่ะ


คำตอบ
ถ้าการสวดมนต์เป็นบาป พระพุทธเจ้าคงไม่ใช้ให้พระอานนท์นำสาวกไปทำบาปด้วยการสวดรัตนปริตร เพื่อช่วยเหลือชาวเมืองเวสาลีให้พ้นวิบัติอันเนื่องมาจากภัยแล้ง ถ้าการสวดมนต์เป็นบาป พระพุทธเจ้าคงไม่ทำบาปให้สาวกดู ด้วยการสวดโพฌงคปริตรถวายพระมหากัสสปะให้หายจากอาพาธ ฯลฯ

ผู้ใดนิมนต์ภิกษุมาสวดมนต์ที่บ้าน หากภิกษุมีความเห็นว่า ปัจจัยที่ญาติโยมถวายนั้น “ เป็นค่าจ้างสวดมนต์ ” ความเห็นนั้นเป็นมิจฉาทิฎฐิ (เป็นบาป) ถ้าภิกษุมีความเห็นว่า ปัจจัยที่ญาติโยมถวายนั้นเป็นการสร้างทานบารมีของผู้ถวาย ความเห็นนี้เป็นสัมมาทิฎฐิ (เป็นบุญ)

เช่นเดียวกับคนที่มาในงาน ถ้าตั้งใจสวดได้บุญ (สวดด้วยการมีสติ) ถ้าไม่ตั้งใจสวด (ขาดสติเป็นบาป)

คุณเป็นคนเดียวในวันนั้น ที่เชื่อพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธะให้เชื่อสิ่งที่มีเหตุ-ผลรองรับ หรือให้เชื่อด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดีแล้ว .......สาธุ ๆ ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าหนูจะลบโปรแกรมอกุศลทิ้งต้องปฏิบัติอย่างไรคะ หนูก็เป็นแบบนี้เหมือนกันค่ะ ทำไมมาสนในธรรมะต้องเป็นแบบนี้ด้วยคะ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าหรือไม่คะ ถ้าเป็นกรรมเก่าทำอะไรมาหรือคะ

คำตอบ
ถ้าจะลบโปรแกรมจิตที่เป็นบาปนี้ทิ้งไป ต้องฝึกจิตให้นิ่งและให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญา เห็นแจ้งพิจารณาความคิดที่เป็นอกุศลนี้ให้ดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความคิดที่เป็นอกุศลเข้าสู่อนัตตา (มิใช่ตัวมิใช่ตน) ผู้ที่มีปัญญาเข้าถึงสัจจธรรมนี้จะปล่อยวางความคิดที่เป็นอกุศลนั้นได้ โปรแกรมจิตที่เป็นอกุศลจะถูกลบออกไปจากจิตของตัวเองได้

2. หนูจะสามารถทราบได้อย่างไรคะว่าครูบาอาจารย์ ของหนูอยู่ที่ไหน และควรจะปฏิบัติธรรมอย่างไหนที่จะถูกกับจริตของตนเองคะ หนูจะรู้ได้อย่างไรคะ( หนูเคยไปฟังธรรมะบรรยายของท่านอาจารย์ มีคำพูดนึงว่า " บางคนกว่าจะหาครูบาอาจารย์เจอ ก็เสียเวลาในการปฏิบัติ" หนูไม่อยากเสียเวลาน่ะค่ะ แล้วหนูจะรู้ได้อย่างไรคะว่าครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนและต้องปฏิบัติแนวไหนน่ะ ค่ะ )

คำตอบ
ครูบาอาจารย์ของหนูอยู่ที่ตัวหนูเอง ทุกขณะตื่น ที่สิ่งกระทบภายนอก(อายตนะภายนอก) เข้ากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) ให้ตามดูสัมผัสที่เกิดขึ้น ว่าทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ และหนูจะปล่อยวางสิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่ตาได้เห็น สิ่งที่จมูกได้กลิ่น สิ่งที่ลิ้นสัมผัส ที่สั่งร่างกายสัมผัสร้อน เย็น อ่อน แข็ง สิ่งที่ทำให้ใจคิดปรุงแต่ง เพราะต่างๆ เหล่านี้เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง – ทุกขัง - อนัตตา) มิใช่ตัวมิใช่ตน ทุกสิ่งปล่อยวางหมด ไม่หลงยึดถือว่าเป็นของเรา เราเป็นเพียง “ ผู้ดู ” มิใช่ผู้ที่จะเอาใจไปผูกติดเป็นทาสให้เสียหาย จิตใจของหนูจะมีความเป็นไท ตรงตามที่พระพุทธะชี้ทางให้เวไนยสัตว์ดำเนินชีวิตตามแนวนี้ นั่นแหละครูที่แท้จริง อยู่ที่ตัวหนูเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากการที่เห็นมีคำถามหลาย ๆ
คำถามที่เกี่ยวกับการคิดอกุศลหรือการคิดปรามาสพระรัตนตรัย
โดยอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจในบางคน ดิฉันขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
เป็นกรรมเก่าหรือมารที่มาขัดขวางในการทำความดีคะ และเราจะสามารถลบโปรแกรมอกุศล
(ตามที่ท่านอาจารย์ได้ตอบไว้) ได้อย่างไรคะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ
การคิดอกุศล (มิจฉาสังกัปปะ) มีต้นเหตุมาจากความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) หรืออีกนัยหนึ่ง คือ จิตขาดสติ ความรู้ไม่จริง (อวิชชา) จึงครอบงำจิต เวลาจิตที่ไม่รู้จริงทำงานในรูปของความคิด จึงคิดผิด คิดสิ่งที่เป็นอกุศล เช่น คิดเรื่องกาม เรื่องพยาบาท เรื่องเบียดเบียน ฯลฯ

วิธีที่จะลบโปรแกรมจิต ที่เป็นอกุศลนี้ มีอยู่ 2 ทางคือ ผู้ที่มีความชำนาญในการฝึกจิตนิ่ง (จิตมีสมาธิ) มายาวนาน ให้นำความคิดที่เป็นอกุศลนั้น มาพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) จนเห็นโทษ เห็นทุกข์ เห็นการดับไป (อนัตตา) ของความคิดที่เป็นอกุศลแล้ว สัมมาญาณ (สัมมาทิฏฐิขั้นโลกุตระ) จะเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่จิตไม่นิ่ง ต้องฝึกสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเกิดวิปัสสนาญาณ คือปัญญาเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริง (สัมมาทิฏฐิขั้นโลกุตระ) ความคิดอกุศลจึงจะถูกลบออกไปจากโปรแกรมจิตได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนป่วยเป็นโรคมะเร็ง มีอาการปวดมาก ต้องฉีดมอร์ฟินช่วย จะมีวิธีอย่างไรที่จะนำธรรมะ ไปใช้ในการช่วยอธิบายให้ผู้ป่วยคนนี้ระงับความเจ็บปวดได้

คำตอบ
ถ้าจะหนีทุกขเวทนา (อาการปวด) ให้ย้ายจิตไปรับสิ่งกระทบภายนอก เช่น ฟังเสียงสวดมนต์ เสียงบรรยายธรรม เสียงเพลงที่รับกับจริต ฯลฯ จากเทปหรือ ซีดี หรืออ่านหนังสือ หรือใช้ตาดูสิ่งสวยๆ งามๆ

ดีที่สุดที่จะหนีพ้นทุกขเวทนาได้ คือ สวดมนต์ เช้า - เย็น ปฏิบัติจิตภาวนาอยู่เสมอที่นึกได้ และเมื่อว่างจากงานภายนอก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวดมนต์ในรถ ไม่ได้สวดหน้าพระพุทธรูป จะได้บุญหรือไม่

คำตอบ
คำว่าบุญ หมายถึง ความดี, การทำความดี, กุศล, ความสุข ฯลฯ การสวดมนต์ในรถ เป็นการทำความดี ทางกาย วาจา ใจ ฉะนั้นสวดมนต์แล้วได้บุญ สวดมนต์หน้าพระพุทธรูป มีจิตจดจ่อ (สติ) กับการสวดมนต์มากกว่าจึงได้บุญมากกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีลูกที่สอนยาก ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย จะแก้นิสัยของลูกให้ดีขึ้นได้อย่างไร

คำตอบ
ต้องแก้ที่พ่อแม่ ทำตัวเองให้เป็นคนใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล(มัธยัสถ์)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสวดมนต์ ถ้าสวดในใจ กับสวดออกเสียง อย่างไหนได้บุญมากกว่า

คำตอบ
ถ้าจิตไม่สะอาดสวดดังๆก็ได้บุญน้อย ถ้าจิตสะอาดสวดในใจ(ไม่ออกเสียง)ได้บุญมากกว่า
ถ้าจิตสะอาดสวดออกเสียงได้บุญมากที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย ถ้าผู้ตายไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้ว จะได้รับส่วนกุศลนั้นหรือไม่

คำตอบ
ได้รับถ้าเครื่องมือ(จิต)พร้อมที่จะรับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณีที่เรานำแมวจรจัดที่หลงมาอาศัยอยู่ที่บ้านไปทำหมัน จะเป็นการทำบาปหรือไม่ เนื่องจากทำให้เขาเจ็บปวด และเราก็ไม่ทราบว่าเขาต้องการมีลูกหรือเปล่า แต่เจตนาของเราคือไม่อยากให้พวกเขาแพร่พันธ์เร็วมาก เพราะเราไม่มีเวลาและกำลังในการดูแลเอาใจใส่พวกเขาค่ะ

คำตอบ
การทำหมันแมว เป็นบาปแน่นอน ผู้สั่งคือจำเลยที่ 1 ผู้ทำหมันเป็นจำเลยที่2 เมื่อใดที่อกุศลกรรมตามทัน อกุศลวิบากที่เราได้รับคือ ไม่มีทายาทสืบทอดตระกูล (เป็นหมันไม่มีลูก)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) หลังจากกลับจากการไปเข้าคอร์สกรรมฐานหลักสูตร 7-10 วัน พอกลับมาบ้านจะพบว่ามีปัญหาที่บ้านทุกครั้ง รุนแรงกว่าปรกติ ซึ่งโดยปรกติจะไม่ค่อยมีเรื่องอะไร ก็พยายามเจริญสติอยู่แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมีเรื่องหลังจากไปเข้ากรรมฐานทุก ครั้ง ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ อย่างไรก็ตามจะไม่ละทิ้งการเจริญสติปัฎฐานแน่นอนค่ะ

คำตอบ
เป็นเรื่องธรรมดาของการทำความดี ต้องมีมารคอยผจญ มันเป็นหน้าที่ของมารโดยเฉพาะ ที่จะกักขังสัตว์ให้อยู่ใต้อำนาจของเขาฉะนั้นทุกวันที่ทำความดี ท่านเจ้าคุณโชดก แนะนำศิษย์ให้แผ่บุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอๆ และแผ่เมตตาให้กับมารด้วย (ขอท่านจงเป็นสุขเถิด)


2) การที่เราทำอะไรไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดืหรือไม่ดี แล้วเราได้รับผลทันทีเช่นเดียวกันไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ แต่ก่อนภายใน 1-2 เดือน แต่เดี่ยวนี้ยิ่งไวขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือใน 1 อาทิตย์ หมายความว่ากรรมดีหรือกรรมไม่ดีพอๆ กันแล้ว หรือหมายความว่ากรรมเก่าๆ เบาบางลงจึงเหลือแต่กรรมที่ทำในชาตินี้ หรือว่ากรรมดีเราหมดแล้ว กรรมสนับสนุนอื่นๆ จึงสามารถส่งผลทันที ขอคำอธิบายด้วยค่ะ กราบขอบพระ

คำตอบ
การกระทำทั้งดีหรือไม่ดีให้ผลทันที แสดงว่ากิเลศลดน้อยลง จิตสะอาดมากยิ่งขึ้น คนที่จิตสะอาดถ้าทำกรรมดีจะได้รับผลดีง่าย แต่ถ้าทำไม่ดีจะได้รับผลร้ายง่าย ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรม พึงระมัดระวังไม่ประมาทในกุศลกรรมทั้งปวง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่ากรณีที่คนตายก่อนถึงอายุขัย และยังวนเวียนอยู่ในบ้าน หากเราพูดออกไปท่านเหล่านั้นจะได้ยินเสียงของเราหรือไม่เพราะตอนสวดมนต์จะ ได้เชิญท่านเหล่านั้นมาฟังและอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ และคนที่หมดอายุขัยและไปสู่สุขคติแล้วเราสมควรจุดธูปเชิญท่านมาฟังหรือร่วม อนุโมทนาบุญทุกครั้งที่เราทำบุญได้หรือไม่
กราบขอบพระคุณค่ะ


คำตอบ
กายหยาบมีหูเนื้อหูหนัง กายละเอียดมีหูทิพย์ เมื่อเราพูดออกไปเขาได้ยินเสียง เมื่อเขาพูดออกมา หากจิตเรานิ่งเรา ก็ได้ยินเสียงแต่ระดับการได้ยินลึกกว่าเสียงที่มนุษย์พูดเข้าหูเรา
คำว่าตายแล้วไปสู่สุคติ หมายความว่า ตายแล้วไปเกิดใหม่(ปฏิสนธิ) ในร่างมนุษย์ เทวดา หรือพรหม ถ้าเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา สามารถรู้เห็นการกระทำของมนุษย์ได้ง่าย เพราะอยู่ใกล้กัน ส่วนเทวดาในชั้นอื่น หากเรามีจิตเมตตา ปรารถนาจะเชิญท่านมาสวดมนต์หรือฟังธรรม เช่น ธัมจักรกัปปวัตตนะสูตร อนัตตลักขณะสูตร ฯลฯ สามารถทำได้ ด้วยการกล่าวเชิญเทวดา (ชุมนุมเทวดา) และยังเป็นการดีที่จะได้มีเพื่อนเป็นเทวดาอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รียนถามเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิครับ ผมฝึกสมาธิโดยการภาวนาพร้อมดูลมหายใจเข้าออกหายใจเข้าภาวนาพุทธ หายใจออกภาวนาโธ มีการพัฒนามาโดยลำดับคือรู้ลมหายใจคำภาวนาหายไปจนถึงลมหายใจละเอียดหายและ หายไป แต่ตอนนี้ผมจะมาติดอยู้ที่เมื่อเริ่มภานาจิตจะดิ่งลงสู่ความสงบตัดความ รู้สึกตัวไม่รับรู้ถึงเสียงรบกวนรอบข้างไม่รับรู้ถึงเวทนาทางกายที่เกิดขึ้น (ความปวดเมื่อย) คล้ายๆ หลับครับจนซักพักหนึ่งประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะถอนออกมารับรู้สิ่ง ต่างที่อยู่รอบตัวเป็นอยู่แค่นี้ครับขออาจารย์โปรดช่วยแนะนำเพื่อให้เจริญ ยิ่งขึ้นด้วยครับว่าผมฝึกสมาธิมาถูกต้องหรือเปล่าครับ

ด้วยความเคารพ


คำตอบ
เมื่อใดมีจิตถอนออกมารับรู้สิ่งต่างๆที่อยุ่รอบตัวให้ พิจารณาสติปัฏฐาน 4 คือพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติกรรมฐาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ฝึกการดูจิตมาเป็นเวลาเกือบปีแล้วระยะหลังๆ ก็เห็นความปรุงแต่งของจิตรวมทั้งมีสติเวลาเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ก็จะดูไปตรงๆซึ่งทำให้มีความทุกข์น้อยลงมากกว่าแต่ก่อน ปัญหาคือ เมื่อปฏิบัติไปภายใน 1 เดือนจะต้องมี 2-3 วันที่เกิดอาการฟุ้ง และไม่สามารถหยุดความฟุ้งได้ กำหนดลมหายใจหรือพิจารณาดูเวทนาแทบไม่ได้เลย จนกว่าจะได้อ่านหนังสือ ธรรมะ หรือ ฟังธรรมะบรรยาย เป็นการกระตุ้น จิตจึงจะกลับไปเจริญวิปัสสนาได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นคะ


คำตอบ
ที่เกิดอาการฟุ้ง 2 - 3 วันเป็นเพราะธาตุในร่างกายไม่สมดุล ตัวอย่างเช่น ในกระเพาะอาหารมีกรดเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดคุมจิตยาก ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นทันทีในร่างกายจะไปกระตุ้นระบบอวัยวะบางส่วนทำงานมาก ขึ้น เกิดอาการปวด(ทุกขเวทนา)คุมจิตให้สงบได้ยาก แต่เมื่ออ่านหนังสือหรือฟังธรรมบรรยายแล้วจิตสงบดี เป็นเพราะคุณย้ายสติไปไว้ที่การอ่าน การฟัง ทำให้จิตไม่รับทุกขเวทนามาปรุงเป็นอารมณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 14 พ.ค. 2010, 21:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร