ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
9 วิธี ธรรมบำบัด http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=32898 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 30 มิ.ย. 2010, 10:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | 9 วิธี ธรรมบำบัด |
![]() 9 วิธี ธรรมบำบัด ความเจ็บป่วยเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของชีวิต ทุกๆ คนต่างเคยเจ็บป่วยกันมาแล้วทั้งนั้น และยังจะต้องพบกับความเจ็บป่วยอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อมีความเจ็บป่วยยาวนานหรือร้ายแรง นอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ผู้ป่วยอาจจะได้รับความทุกข์ทางใจ นั่นก็เป็นเพราะว่าร่างกายกับจิตใจมีความสัมพันธ์กัน การใช้ธรรมะเพื่อเยียวยาความเจ็บป่วย อาจจะไม่มีผลต่อความเจ็บป่วยด้านร่างกายโดยตรง แต่ส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจ เมื่อใจปกติสุข สงบนิ่ง สบาย เมื่อนั้นก็จะส่งผลต่อร่างกายที่กำลังอ่อนแรง เพราะเมื่ออวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนสู่การทำงานตามธรรมชาติ ก็จะสามารถเสริมสร้างภูมิต้าน เพิ่มความเข้มแข็งพร้อมสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ ![]() อาจจะไม่บ่อยนักที่จะเห็นภาพ คนไข้ลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ทุกเย็น วันละประมาณครึ่ง ชั่วโมงจะช่วยให้รู้สึกสบายใจ โล่งโปร่ง ขณะที่สวดมนต์ ใจจะได้พักจากการคิดวิตกกังวลจากเรื่องต่างๆ มา จดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ ช่วยให้คลื่นสมองสงบ ลืมสิ่งที่เป็นไปชั่วคราว ![]() ในปัจจุบันมีสื่อจำนวนมากที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดด้านธรรมะ แต่เรียบเรียงด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายประกอบกับการยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติต่อได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น การอ่านหนังสือหรือฟังซีดีธรรมะ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้เข้าถึงหลักธรรมได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสื่อธรรมะประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เช่น วีซีดี ดีวีดี เป็นต้น ![]() หลักคำสอนทางธรรมจะสัมฤทธิ์ผลให้เห็นได้จริงก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ และเผื่อแผ่ผลบุญนั้นๆ ให้กับบุคคลอื่นๆ ที่กำลังประสบกับความยากลำบากหรือด้อยโอกาสกว่า เช่น การทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน บริจาคทาน หรือเป็นอาสาสมัครให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ ![]() เป็นวิธีการเจริญสติที่สะดวกสบายที่สุด เหมาะสำหรับบุคคลที่ไม่มีเวลาทำกิจกรรมต่างๆดังที่กล่าวมา เริ่มจากการดำรงสติ สงบอยู่อิริยาบถใดก็ได้เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน สักพักหนึ่ง เมื่อจะเริ่มเคลื่อนไหวตัวไปทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างมีสติ รู้สึกตัว เช่นเมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบสิ่งของ ก็รู้ตัวกำลังยื่นมือออกไปหยิบหรือจับสิ่งของนั้นๆ แล้วหยิบเข้ามาหาตัว กำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่ง กำลังก้าวขา ซ้าย ขวา หรือกำลังยกขาเพื่อก้าวขึ้นหรือลงบันได ฯลฯ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรจะมีสติและรับรู้ได้ถึงการกระทำนั้นๆ เมื่อแรกฝึกอาจหลงลืมทำตาม ความเคยชินไปบ้าง แต่เมื่อฝึกจนเกิดความคล่องตัวชำนาญ สามารถดำรงสติติดต่อกันไปพร้อมกับอริยาบถในชีวิตประจำวันได้ต่อเนื่องนานขึ้น จะเกิดสมาธิในระดับที่สามารถพัฒนาปัญญาในทางธรรม สามารถพิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ระลึกได้ถึงความผิดชอบ ชั่ว ดี กระตุ้นเตือนให้คิด ทำ พูด ในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เผลอไปเบียดเบียนตนเองด้วยความเครียด หรือเบียดเบียนคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อน ![]() ตัวอย่างเช่น โยคะ ไทเก๊ก พีลาทีส ฯลฯ ที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้รูปร่างดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจสงบลง โดยหลักการสำคัญของการออกกำลังกายดังกล่าว คือการหายใจเข้าขณะที่ร่างกายหรือกล้ามเนื้อยืดออก และหายใจออกขณะที่ร่างกายหดเข้า ซึ่งเป็นเทคนิคการหายใจที่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนเลือด ![]() คือ การเดินเป็นเส้นตรงระยะเท่าที่ทำได้ หรืออาจเดินกลับไปกลับมาถ้าอยู่ในบริเวณจำกัด และขณะที่เดินนั้นก็มีสติ รู้ตัว ทั่วพร้อมว่ากำลังยก ย่าง เหยียด เหยียบ ส่วนประกอบของเท้าเช่นฝ่าเท้า ข้อเท้า เวลายืนก็มีสติสัมผัสรู้ตัวว่า พื้นที่ยืนหรือเดินอยู่นั้น เย็น ร้อน อ่อนหรือแข็ง เมื่อเดินเซก็รู้ตัวว่าเซ เมื่อเมื่อย เบื่อ หรืออยากนั่งพัก หรือเผลอไปคิดเรื่องใด ก็มีสติตามรู้ความรู้สึกนั้นๆ กระทำการทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ อย่าฝืนจนกลายเป็นความรู้สึกเกร็งหรือบังคับร่างกาย เมื่อเดินไปสักระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ไม่วิตกกังวลหรือฟุ้งซ่าน ![]() การนั่งสมาธิตามแต่วิธีที่ถนัดราวๆ วันละ 20 นาที จะช่วยให้สมองเราปลอดโปร่ง สงบจิตใจได้ ไม่เครียด มีสมาธิ ความจำดีขึ้น คิดอะไรได้ปลอดโปร่ง แถมยังผุดผ่องอีกด้วย แต่ทว่าการฝึกสมาธิช่วง 5 นาทีแรกอาจจะรู้สึกเบื่อ หงุดหงิด แต่ถ้าทำต่ออีก 5 นาทีหรือ 10 นาที สมองซีกขวาจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ถ้าทำครบ 15 นาที ร่างกายจะหลั่งสารสุขทำให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง ระหว่างการนั่งสมาธิควรจะตาม รู้ลมหายใจเข้าออก หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ หรือเพียงได้รู้สึกถึงลมหายใจออกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง และอย่างสม่ำเสมอตามธรรมชาติ ไม่พยายามไปบังคับ กดข่ม หรือเผลอเพ่ง เช่น ถ้าลืม เผลอ หรือแม้แต่ขณะที่นั่งหลับตานั้นได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รู้รส ก็มีสติตามรู้ว่าได้สัมผัสกับสิ่งนั้นๆ และกลับมาพิจารณาลมหายใจเข้าออกต่อเนื่องไป ก็จะเกิดทั้งสติ สมาธิ และปัญญา ![]() คือ การสนทนากับผู้มีปัญญา หรือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในทางธรรมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเกิดปัญญาแยกแยะรู้ว่าสิ่งใดเป็นกุศลกรรม ทำให้ความดี ความสบายใจ หรือสิ่งใดเป็นอกุศล หรือความชั่ว คือทำแล้วก่อให้เกิดการเบียดเบียน หรือความไม่สบายใจทั้งแก่ตนเองและคนรอบข้าง จะได้ละเว้นเสีย สิ่งใดเป็นกุศลธรรมความดีจะได้ตั้งใจทำให้มากขึ้น และรู้เท่าทันความดีความชั่วทุกประการจะได้ไม่หลงเข้าใจผิด ![]() สิ่งสำคัญที่สุดคือความพอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตปกติหรือแม้แต่การดำเนินตามหลักการทางธรรม ถ้ามากหรือน้อยเกินไปย่อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตด้านอื่นเช่นกัน รวมถึงการใช้ชีวิตสุดโต่ง ทั้งการรับประทานอาหารและการทำงาน แม้จะเกิดมาจากความตั้งใจ แต่ถ้าลืมนึกถึงความพอดี และความเหมาะสมกับร่างกายก็ย่อมไม่เป็นผลดี ไม่ว่าคุณจะป่วยทางกายหรือทางใจ... ลองนำ 9 วิธี ธรรมบำบัดไปปรับใช้ แล้วจะพบว่าตัวของเราเองก็สามารถบำบัดได้เองภายใน ขอให้เรารู้เท่าทันกายและใจ เพียงเท่านี้ ธรรมก็สามารถบำบัดได้ทุกสิ่ง ที่มา...ธนาคารกสิกรไทย ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | I am [ 30 มิ.ย. 2010, 12:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: 9 วิธี ธรรมบำบัด |
ข้อสิบ แพ้คนเป็น ยอมแพ้เสียบ้าง ให้คนอื่นเขาชนะ แต่เราชนะตนเอง คือ ลดอัตตาตนเอง ชนะตนนั้นประเสริฐนัก ท่านว่า ชนะตน คือชนะโลก มาขออาศัยกระทู้เพิ่มหน่อยนะครับ ![]() ขอโมทนาด้วยนะครับ คุณลูกโป่ง ![]() ![]() |
เจ้าของ: | นนนน [ 30 มิ.ย. 2010, 13:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: 9 วิธี ธรรมบำบัด |
สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญกับบทความดี ๆ ค่ะ |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 30 มิ.ย. 2010, 14:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: 9 วิธี ธรรมบำบัด |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |