ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ (พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33785 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 ส.ค. 2010, 15:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ (พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์) |
พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ เนื่องในวันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้เป็น “วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และวันแม่แห่งชาติ” ผู้เขียนจึงขอเสนอบทธรรมวิจัย ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติธรรมของผู้เขียนต่อผู้อ่าน เพื่อเป็นวิทยาทานถวายเป็นพระราชกุศล ดังจะกล่าวต่อไปนี้ ข้อปฏิบัติสำคัญที่สุดซึ่งจะเกื้อหนุนให้ผู้ปฏิบัติได้มีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญา บริสุทธิ์รู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมต่างๆ ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และในจำนวนนี้ได้รวมถึงวิธีการกำหนดสติ เพื่อพิจารณาให้รู้เท่าทันสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ หรือ สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งประกอบด้วย กายานุปัสนา คือ การพิจารณากาย เวทนานุปัสนา คือ การพิจาณาความทุกข์ความสุข จิตตานุปัสนา คือ การพิจารณาสภาพจิต และธรรมานุปัสนา คือ การพิจารณาสภาวธรรม ในการปฏิบัติกายานุปัสนานี้ ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องตั้งสติให้รู้สึกตัวอยู่ทุกอิริยาบถว่า เรากำลังกระทำอะไรอยู่ เช่น นั่ง ยืน นอน เดิน วิ่ง ขับรถ ฯลฯ รวมทั้งพิจารณาไปถึงอวัยวะทุกชิ้นส่วนของร่างกาย เริ่มแต่ เกศา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตโจ (ผิวหนัง) แล้วจึงพิจารณาให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงอวัยวะภายในต่างๆ ให้มากที่สุด การพิจารณาตามประเด็นนี้ค่อนข้างจะลำบาก สำหรับผู้ปฏิบัติที่มิได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับสรีระวิทยามาก่อน สำหรับผู้ปฏิบัติที่กำลังหรือเคยศึกษาแพทย์จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะได้ศึกษาพบเห็นอวัยวะเหล่านี้ทั้งทางภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติมาเป็นระยะๆต่อเนื่องกันมาโดยตลอดแล้ว สำหรับผู้เขียนเอง ได้ประสบปัญหาในการปฏิบัติธรรมเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะไม่เคยได้ศึกษาสรีระวิทยามาก่อน แต่ด้วยความเพียรจึงได้ลงทุนซื้อหาหนังสือ เกี่ยวกับโครงสร้างและระบบการทำงานของร่างกาย ที่มีรูปภาพแสดงอวัยวะภายในส่วนต่างๆ มาศึกษาพิจารณา จึงช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ขึ้นมากทีเดียว และเมื่อได้ปฏิบัติธรรมแล้วก็ได้พบความจริงขึ้นมาประการหนึ่งว่า ในร่างกายของเรานั้นมีระบบควบคุมการทำงานอยู่สองระบบด้วยกัน คือ ระบบประสาท และระบบต่อมไร้ท่อ ระบบแรกใช้เส้นประสาทเป็นสื่อสำหรับการรับรู้และสั่งการ ส่วนระบบหลังใช้วิธีการขับของเหลวที่เรียกว่า ฮอร์โมน ออกมาแล้วส่งเข้ากระแสโลหิตส่งไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ทั้งสองระบบนี้มีศูนย์ควบคุมการทำงานร่วมกันเสมือนกับศูนย์บัญชาการใหญ่ ที่ มีระบบการสื่อสารที่ใช้สาย (Wire) และไร้สาย (Wireless) หรือ คลื่นวิทยุนั่นเอง (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 ส.ค. 2010, 15:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ |
![]() ตามหลักพุทธศาสนาแล้ว มุนษย์ และสัตว์จะเกิดหรือปฏิสนธิขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ ความพร้อมที่จะให้กำเนิดของพ่อกับแม่ ซึ่งได้แก่ความแข็งแรงสมบรูณ์ของตัวอสุจิจากพ่อ และการสุกงอมของไข่ในมดลูกของแม่ที่มาผสมกันจนเกิดเป็นเซลล์ หรือ “กลละ” แล้วมีความเจริญเติบโตก่อตัวเป็นรูปร่าง มีความพร้อมที่จะรับปฏิสนธิวิญญาณ ให้เข้ามาสวมในร่างซึ่งต้องเป็นช่วงเวลาเดียวกับวันเวลา ที่ครบกำหนดการแสดง ผลของ “ชนกกรรม” หรือวิบากของกรรมเก่าที่ส่งผลให้มนุษย์ หรือสัตว์นั้นมาเกิด การเจริญเติบโตของทารกในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ของแม่ ทั้งในส่วนที่เป็นร่างหรือรูปขันธ์ และอารมณ์จิตใจหรือนามขันธ์นั้น ตามหลักวิชาการแพทย์เท่าที่ผู้เขียนมีความรู้เข้าใจเพียงเล็กน้อยจึงเห็นว่า น่าจะขึ้นอยู่กับฮอร์โมนที่ต่อมไร้ท่อในร่างกายของแม่ผลิตให้เป็นสำคัญ ดังนั้น จึงมีคำกล่าวแนะนำแก่แม่ในระหว่างตั้งครรภ์กันมาตั้งแต่โบราณว่า ให้แม่หมั่นทำบุญกุศลทำจิตใจให้ชื่นบานสบาย ไม่มีอารมณ์เสียหงุดหงิดฉุนเฉียวมีโทสะจริตให้มากเกินไป ลูกที่คลอดออกมาจะได้เป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นกุศล ไม่เห็นแก่ตัวตระหนี่อิจฉาริษยาพยาบาท ทั้งยังมีคำกล่าวอีกด้วยว่า หากต้องการให้ลูกมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็ให้แม่หมั่นเฝ้ามองรูปภาพของผู้ที่ มีหน้าตาสวยงาม อาทิ นางสาวไทย ดาราภาพยนตร์ เป็นต้น เพราะการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของแม่ผลิตฮอร์โมน ที่เป็นปัจจัยในการสร้างอารมณ์ดีร้ายเหล่านี้ขึ้น แล้วจะถ่ายทอดไปถึงทารกที่เกิด ใหม่ได้ ![]() นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าทารกนั้นจะถูกคลอดออกจากครรภ์ของแม่แล้วก็ตาม แต่ถ้าทารกนั้นยังดื่มน้ำนมของแม่อยู่ ก็จะยังมีการถ่ายทอดนิสัยอารมณ์จากแม่ไปให้แก่ทารกอีกต่อไป เพราะฮอร์โมนที่ถูกผลิตโดยต่อมไร้ท่อในร่างกายของแม่นั้น มีส่วนช่วยในการผลิตน้ำนมด้วย จึงกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับทารกในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ และในวัยที่รับประทานนมของแม่ จึงมีอย่างลึกซึ้งยิ่งใหญ่ไพศาลยากที่จะพรรณาให้ครบถ้วนด้วยวาจา หรือเป็นลายลักษณ์อักษรได้ดังที่มีปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงที่ว่า “...จะเอาโลกมาทำปากกา แล้วเอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมดมหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ...” (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 ส.ค. 2010, 15:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ |
![]() หากความเข้าใจของผู้เขียนที่ได้กล่าวข้างต้นถูกต้อง ไม่ขัดแย้งกับหลักวิชาการแพทย์ ก็เป็นการยืนยันได้ว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็น ศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังวิชาวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ ได้โดยไม่จำกัดขอบเขต และเวลาสุดแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะนำเอาไปประยุกต์ในเรื่องใดประเด็นใด ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น มิได้หมายความว่า พ่อจะไม่มีพระคุณไม่มีความหมายอะไรแก่ลูกๆเลย ขอได้โปรดเข้าใจว่า หากขาดพ่อแล้ว องค์ประกอบที่จะทำให้มนุษย์และสัตว์เกิดย่อมจะไม่สมบรูณ์ พ่อจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกในลำดับถัดมา รวมทั้งเป็นครูคนแรกของลูกอีกด้วย พระคุณของพ่อจึงมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าของแม่เลยแม้แต่น้อย คำว่า “วันแม่” นี้เป็นวันที่ได้สมมุติบัญญัติกันขึ้นมา เพื่อให้เราได้มีสติรำลึกถึงพระคุณของแม่ และเท่าที่ถือปฏิบัติกันมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ลูกๆ จะถือกันว่า วันนี้เป็นวันพิเศษที่สมควรหากระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิคุณ ส่วนวันอื่นๆ แม่จะเป็นอย่างไร มีทุกข์สุขอย่างไรก็ไม่สนใจ ผู้เขียนจึงใคร่ขอเสนอแนะว่า การกำหนดสติรำลึกถึงพระคุณของแม่ ของพ่อ หรือของผู้ที่มีพระคุณต่อเรานั้น หากสามารถกระทำได้แล้ว ควรจะกระทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีโอกาสมีเวลาก็หมั่นไปพบปะเยี่ยมเยือนสอบถามทุกข์สุข ทราบว่าท่านชอบอาหารคาวหวานอะไร ขอให้ซื้อติดไม้ติดมือเล็กๆ น้อยๆ ไปฝากท่าน จะทำให้ท่านรู้สึกปิติปลาบปลื้มยินดีชื่นอกชื่นใจไม่น้อย หากไม่สามารถไปพบปะเยี่ยมเยือนท่านได้จริงๆ ขอให้ถือปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันว่า ก่อนเข้านอนให้กราบที่หมอน แล้วตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของท่านวันละหนึ่งครั้งเท่านั้นก็พอ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงข้อปฏิบัติ ที่จะสร้างความเป็นสิริมงคลความเจริญแก่ผู้ปฏิบัติไว้ ๓๘ ประการ ดังปรากฏในพระมงคลสูตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้ ปูชา จะ ปูชนียานัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา มาตา ปิตุอุปัฏฐานัง การบำรุงมารดาบิดา กตัญญุตา มีความกตัญญู เอตัมมังคลมุตตมัง นี่เป็นมงคลอย่างสูงสุด หากท่านผู้ใดปฏิบัติได้ ความเป็นสิริมงคล ความสุขความเจริญ ย่อมจะหลั่งไหลมาสู่ตัวท่านอย่างแน่นอน ผมขออนุโมทนาด้วยความจริงใจ ![]() ![]() ![]() เรียบเรียง ณ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๑ http://web.rtarf.mi.th/~suriyon/suri_doc/122.htm |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 11 ส.ค. 2010, 19:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | บัวไฉน [ 12 ส.ค. 2010, 21:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พ ร ะ คุ ณ ข อ ง แ ม่ |
ยกมา- การกำหนดสติรำลึกถึงพระคุณของแม่ ของพ่อ หรือของผู้ที่มีพระคุณต่อเรานั้น หากสามารถกระทำได้แล้ว ควรจะกระทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีโอกาสมีเวลาก็หมั่นไปพบปะเยี่ยมเยือนสอบถามทุกข์สุข ทราบว่า ท่านชอบอาหารคาวหวานอะไร ขอให้ซื้อติดไม้ติดมือเล็กๆน้อยๆไปฝากท่าน จะทำให้ท่านรู้สึกปิติปลาบปลื้มยินดีชื่นอกชื่นใจไม่น้อย หากไม่สามารถไปพบปะเยี่ยมเยือนท่านได้จริงๆ ขอให้ถือปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันว่า ก่อนเข้านอนให้กราบที่หมอน แล้วตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของท่านวันละหนึ่งครั้งเท่านั้นก็พอ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงข้อปฏิบัติ ที่จะสร้างความเป็นสิริมงคลความเจริญแก่ผู้ปฏิบัติไว้ ๓๘ ประการ ดังปรากฏในพระมงคลสูตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้ ปูชา จะ ปูชนียานัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา มาตา ปิตุอุปัฏฐานัง การบำรุงมารดาบิดา กตัญญุตา มีความกตัญญู เอตัมมังคลมุตตมัง นี่เป็นมงคลอย่างสูงสุด หากท่านผู้ใดปฏิบัติได้ ความเป็นสิริมงคล ความสุขความเจริญ ย่อมจะหลั่งไหลมาสู่ตัวท่านอย่างแน่นอน ![]() ขอบคุณ คุณกุหลาบสีชา ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |