ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
โรคกรรมหรือโรคกาย (ท่าน ว.วชิรเมธี) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=34545 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 17 ก.ย. 2010, 17:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | โรคกรรมหรือโรคกาย (ท่าน ว.วชิรเมธี) |
![]() โรคกรรมหรือโรคกาย เรื่องโดย ท่าน ว.วชิรเมธี ![]() เดือนนี้เป็นเดือนที่สิบแล้วค่ะ ช่วงสามเดือนแรกที่เป็น หนูไปโรงพยาบาลอาทิตย์ละ ๒-๓ ครั้ง บางครั้งก็มากกว่า เพื่อตรวจหาอาการ ทั้งทางสูติฯ ทางเดินอาหาร แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จนคุณหมอทางเดินอาหารแนะนำให้ไปพบแพทย์ทางด้าน Pain เพราะหนูปวดบริเวณช่องท้องด้านล่างค่ะ สุดท้ายคุณหมอสรุปว่าเป็นโรค Visceral Hyperalgesia ซึ่งเป็นการปวดเรื้อรังจากปลายประสาท ช่วงแรกที่ป่วย หนูไม่ได้คิดอะไร นอกจากเมื่อไรจะหาย เพราะมันทรมานและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากค่ะ สุดท้ายไปดูดวงเขาบอกว่าอาการของหนูจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ดีขึ้น ไม่แย่ลงหนูเลยกลับมานั่งคิดว่า ที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะกรรมที่หนูก่อขึ้นมาเอง หนูเคยทำแท้ง 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกตอนอายุ 17 กับแฟนคนแรก ด้วยความที่ยังเด็กจึงไม่ระวังเท่าที่ควร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า จะให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ สำหรับแฟนเองก็ไม่ได้มีความคิดแม้กระทั่งว่าจะแต่งงานกัน ถึงแม้หนูจะแอบหวังว่า เขาจะรับผิดชอบ แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการ สุดท้ายจึงเลิกกัน เพราะหนูทนอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ได้ ส่วนครั้งที่สองตอนหนูอายุประมาณ 22-23 กับแฟนที่เป็นคนไต้หวัน คราวนี้หนูยอมรับค่ะว่าประมาท เพราะช่วงที่ยังไม่รู้ว่าท้องก็ทานยาไปเยอะเหมือนกัน บวกกับความรู้สึกว่าเราไม่ได้รักผู้ชายคนนี้และไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวกับเขา แม้ว่าแฟนคนนี้มีความคิดที่จะแต่งงานกับหนู แต่เขาเองก็กลัวและไม่กล้าบอกพ่อแม่หนูด้วย ทำให้หนูตัดสินใจเอาเด็กออก หนูค่อนข้างมั่นใจว่าโรคที่หนูประสบอยู่เกิดจากกรรมที่หนูได้ทำไป ถึงแม้หนูจะเกิดมาในครอบครัวที่สบาย อบอุ่น แต่หนูก็ได้ทำในสิ่งที่หนูจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต รวมถึงเมื่อหนูได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หนูก็คงต้องชดใช้กรรมต่อในภพภูมิอื่น ตลอดหลายปีที่ปีที่ผ่านมา หนูอธิษฐานแผ่ส่วนบุญ ขออโหสิกรรมให้กับดวงวิญญาณที่เป็นลูกของหนูทั้งสองดวง ในทุกครั้งที่เข้าวัดทำบุญขณะเดียวกัน หนูก็จะทำบุญทำทานให้เด็กๆ ในทุกวันเกิด แต่กระนั้นหนูก็ทราบดีว่าอาจจะยังไม่เพียงพอ หนูเคยลงไปเข้าคอร์สนั่งสมาธิสามวันสองคืน ยอมรับค่ะว่าหนูไม่ถนัด หรือจะเรียกว่าไม่ชอบเลยก็ได้ หนูเลยพยายามทำบุญด้วยวิธีอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดค่ะ หนูอ่านบทความเรื่อง “พุทธศาสนากับการุณยฆาต” ของท่าน ว. ใน secret หน้าปกคุณวอลเตอร์ ลี เลยทำให้หนูอยากเรียนขอคำแนะนำที่จะทำให้หนูได้ชดใช้กรรมที่หนูทำ หนูทราบค่ะว่าเป็นบาปมหันต์ แต่หนูขอแค่ให้ได้ชดใช้กรรม ผ่อนหนักเป็นเบา และดีขึ้นจากโรคภัยที่หนูเป็น อีกหนึ่งเรื่องที่หนูเป็นกังวล คือหนูกำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ หนูกลัวมากค่ะว่า ถ้าหนูท้อง ลูกของหนูจะไม่ปกติ เพราะกรรมของหนู หนูไม่อยากให้กรรมที่หนูทำต้องไปตกกับลูกของหนูและครอบครัวค่ะ หนูกราบขอคำแนะนำด้วยค่ะ ![]() ขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติ (ธรรมนิยาย) หลายกฎ แต่กฎที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราโดยตรงมีอยู่สองกฎ นั่นก็คือ จิตนิยาม (กฎการทำงานของจิต) และกรรมนิยาม (กฎแห่งกรรม) แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ ว่ามีส่วนกำหนดวิถีชีวิตของเราด้วยเหมือนกัน เวลาเกิดมีปัญหาอะไรในชีวิตขึ้นมาเราจึงมักสรุปเอาอย่างง่ายๆ ว่าเป็นเพราะ “กฎแห่งกรรม” เพียงอย่างเดียวทั้งๆที่ในความเป็นจริง ความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนเราอาจเป็นผลมากจากกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ ด้วยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะวินิจฉันกันว่าเรื่องของคุณเป็นผลของกฎแห่งกรรมหรือเปล่า เราก็ควรจะมารู้จักกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ ด้วย กฎธรรมชาติที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนเรามีอยู่ด้วยกัน 5 กฎ เรียกว่า “นิยาม” ประกอบด้วย ![]() คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งมักส่งอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนเราในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น คนอีสานมักมีนิสัยสู้ชีวิตมากกว่าคนภาคเหนือ เพราะอีสานมีความกันดาร ในขณะที่ภาคเหนือมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรมากกว่า หรือคนภาคใต้มีความคิด ทางการเมืองมากกว่าคนทุกภาค เพราะสภาพแวดล้อมที่ถูกกดขี่หรือถูกระทำมีมากกว่าคนภาคอื่น หรือชาวยุโรปมีนิสัยรักการอ่ามากกว่าคนเอเชีย เพราะยุโรปมีอากาศหนาวที่ยาวนานเขาจึงขลุกอยู่ในบ้าน และนั่นเปิดโอกาสให้ได้อ่านมาก เพราะมีเวลาอยู่ในที่ร่มมากกว่าคนทางเอเชีย ตัวอย่างเหล่านี้คือผลของสิ่งแวดล้อม ที่มีส่วนเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของเราแต่ละคน ![]() คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการสืบต่อพันธุกรรม คือ โครงสร้างทางกายภาพที่เราได้รับมาจากพ่อแม่ เช่น ร่างกาย ผิวพรรณ หน้าตา เพศสภาพ (ชายหรือหญิง) ระบบการทำงานของอวัยวะ รวมทั้งโรคบางโรคที่ติดต่อได้ทางพันธุกรรม ซึ่งสามารถส่งผ่านจากพ่อหรือแม่สู่ลูกเป็นต้น ![]() คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการทำงานของจิต เช่นกระบวนการคิด การจำ การรับรู้ การตอบสนองต่อโลกและปรากฏการณ์ การเก็บกดปมปัญหา การตื่นรู้ เป็นต้น ![]() คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา และผลของการกระทำนั้นๆ ซึ่งเป็นไปในลักษณะหว่านพืชเช่นใดได้ผลเช่นนั้น ![]() คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในโลก ( Cosmic Law ) ในลักษณะสรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน เกี่ยวเนื่องกันในลักษณะห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์ ทำให้เราได้ตระหนักรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกดำรงอยู่อย่างเอกเทศโดยไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยมกับสิ่งใดเลย กฎธรรมชาติทั้ง ๕ นี้ หนูควรรู้เอาไว้เป็นความเข้าใจพื้นฐานว่า ชีวิตของเราใช่จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรมเท่านั้น ยังมีกฎอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ในทางปฏิบัติ หนูก็จะสามารถดูแลตัวเองอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เช่น บางทีผลของโรคอาจเกิดจากกฏพีชนิยาม ซึ่งเป็นเรื่องความผิดปกติของร่างกายหรือ พันธุกรรมก็เป็นได้ ถ้ามองในแง่นี้ หนูก็จะไม่ทิ้งการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันแต่ขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นผลของกรรมด้วยก็เป็นได้ ซึ่งหากมองแง่นี้หนูก็จะได้กลัวบาปกลัวกรรม ไม่เผลอทำผิดซ้ำซาก แต่ถ้าหนูฟังธงลงไปว่า โรคที่เกิดกับฉันเป็นผลของกรรมแน่ๆ หนูก็จะ (เข้าใจผิดๆเพียงแง่เดียว) แล้วมุ่งไปที่การแก้กรรม และติดจมอยู่กับ “อดีตกรรม” ไม่รู้จบสิ้น จะแก้ก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นความผิดในอดีต จึงต้องทนอยู่กับ “ความรู้สึกผิด” วันแล้ววันเล่า นี่แหละที่กล่าวกันว่า “ปล่อยให้อดีตมากรีดปัจจุบัน” แต่ครั้นไม่เชื่อกรรมเลย หนูก็จะมุ่งรักษาแบบสมัยใหม่อย่างเดียว แต่ยิ่งรักษากลับพบว่าไม่ดีขึ้นชีวิตก็มองไม่เห็นทางออกอีกเช่นกัน ทางสายกลางในเรื่องนี้ก็คือ ความป่วยของหนูมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่ว่า อาจจะเป็นผลของทั้ง “กรรม” และ “กาย” มาบรรจบกัน ดังนั้นในทางกายก็ควรให้หมอดูแลรักษาไปตามกรรมวิธีของแพทย์ ส่วนใจ (ที่หมกมุ่นกับความรู้สึกผิด) หนูก็ต้องรักษาด้วยการหาธรรมะมาเยียวยาด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรบอกตัวเองว่า ในฐานะที่เป็นปุถุชน ทุกคนมีสิทธิ์พลาดกันได้ แต่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ปล่อยให้เกิดซ้ำอีก และควรฝึกการเจริญสติให้มาก เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือกรรม ด้วยการไม่หลุดเข้าไปในความคิดฟุ้งซ่าน เพราะในความคิดฟุ้งซ่าน กรรมเก่าจะมีบทบาทมาก ด้วยเหตุนี้จึงควรระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันไว้เสมอ เมื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ หนูจะพบความสุขในปัจจุบันขณะ และไม่ท้อแท้กับการสู้ชีวิตใหม่ในวันต่อๆ ไป อนึ่ง หากยังรู้สึกผิดอยู่บ่อยๆ ก็ควรแก้ไขด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศล และให้ชีวิตเป็นทางแก่สรรพสัตว์ ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้พอสมควร ที่มา... http://www.kanlayanatam.com/sara/sara224.htm ![]() ![]() ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38561 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=31140 |
เจ้าของ: | หุบเขาไร้รัก [ 17 ก.ย. 2010, 19:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โรคกรรมหรือโรคกาย (ท่าน ว.วชิรเมธี) |
สาธุ ค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 19 ก.ค. 2011, 23:19 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: โรคกรรมหรือโรคกาย (ท่าน ว.วชิรเมธี) | ||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | saovapa [ 23 ก.ย. 2011, 16:44 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: โรคกรรมหรือโรคกาย (ท่าน ว.วชิรเมธี) | ||
![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |