วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 16:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


ความประมาท (๑)

วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๑๔
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


...ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย ก็อีกนั่นแหละตรงกันข้าม ถ้าหากเป็นผู้ไม่ประมาท พิจารณาถึงลมหายใจเข้าหายใจออก อย่างที่พูดมานั้น เห็นเป็นของมีค่ามีประโยชน์ เราไม่ตายก็เพราะลมหายใจเท่านี้ ตั้งสติกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ จนกระทั่งจิตสงบ เลยเป็นสมาธิภาวนา จิตสงบจนเข้าถึงสมาธิเกิดปัญญาวิปัสนา เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรม สละปล่อยวางอุปาทาน ความยึดถือทั้งปวง หายจากความยึดมั่นสำคัญในสิ่งต่างๆ ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย อันนี้ต่างหาก

จิตตรงนั้นถ้าหากว่าละจากขันธ์ จากสังขารร่างกายนี้ ร่างกายนี้แตกดับไปแล้ว จิตตรงนั้นมันจะไม่ไปเกาะเกี่ยวในภพใดชาติใด จะไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก จะไม่มาขับรถชนคนตาย หรือไม่มีถูกรถทับตาย ตกต้นไม้ตาย ตกบันไดตาย ฯลฯ ใจตรงนั้น คือ ทางแห่งความไม่ตาย ได้แก่ ความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย หมายถึงตรงนั้นต่างหากหรอก

ทีนี้เราเข้าใจตื่นๆ ยังไม่เข้าไม่ถึงหลักธรรมของจริง ดังนั้น ในการฟังธรรมเทศนา จึงได้เตือนในเบื้องต้นว่า “ทำจิตให้สงบ ให้ตั้งมั่นอยู่ในที่เดียว” ขณะที่จิตตั้งอยู่ในที่เดียว เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ จิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เห็นความสุขสงบอยู่นั่น จิตที่มันประมาทขึ้นมา เผลอแพล๊บเดียว ออกไปจากความสงบนั่น แว๊บเดียว อันนั้นก็เป็นความประมาทอันหนึ่ง เป็นความประมาทอย่างละเอียด

เราอย่าให้ประมาทได้ จนกระทั่ง ให้อยู่ในที่เดียวแน่วเลยทีเดียว ถ้าหากมันออกไป ก็รู้ตัวว่ามันออกไปจากที่นั่น มันจะส่งไปสู่อารมณ์ใด มันจะไปยึดในสิ่งใด ก็รู้อยู่ในขณะนั้น

คำว่า “รู้” ในที่นี้ พูดอีกนัยหนึ่งว่า เพื่อให้รู้เรื่องของจิต ถ้าจิตเข้าถึงอารมณ์อันเดียวแล้ว จิตจะเป็นของช้า คือตามทัน ตามรู้ได้ ถ้าจิตไม่มีอารมณ์อันเดียวแล้ว จิตจะเป็นของเร็ว ไม่สามารถที่จะจับจิตได้ จิตคิดนึกส่งไปในอารมณ์ต่างๆ สารพัด รอบด้านรอบโลก เราจะวิ่งตามไป เพื่อไปยึดมา อันนั้นอย่าไปหวังเลย คนที่จะไปตามจิตแบบนั้น ไม่มีหวังที่จะคุมจิตได้

ถ้าหากเรามายึดเอาที่เดียว อันเดียว เช่น ยึดลมหายใจ จิตมันแน่วอยู่ในอารมณ์อันเดียว เราไม่ต้องไปตามมันก็อยู่แล้ว เมื่อมันอยู่ในที่เดียวแล้ว เราก็รู้จักจิตที่มันแว๊บออกไปจากที่นั่น จะไปยึดจะไปถือ จะไปลุ่มหลงจะไปมัวเมาในเรื่องใด จะไปติดไปพันในเรื่องใด เห็นชัดเลยด้วยตนเอง

คำว่า “จิตส่งออกไปสู่อารมณ์ต่างๆ” เช่นไปเกิดความรัก รักลูกหลาน รักการงาน รักสิ่งของ ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ มันออกไปจากอันเดียวนั้น เราก็เห็นได้ อ๋อ! มันออกไปจากนี่เอง ตรงนี้เอง มันออกไปจากตรงนี้ มันไปรักลูกหลานพี่น้อง รักพ่อรักแม่ก็ดี ยึดโน่นยึดนี่ ชอบใจโน่นนี่ก็ดี มันออกไปจากตรงนี้เอง ตรงที่จิตเป็นหนึ่ง

ได้เห็นตัวเดิม และได้เห็นตัวที่มันออกไปจากตรงนั้น เราก็ไปรู้เรื่องของมัน อย่างนั้นเรียกว่า ไปรู้เท่า รู้ตัวของจิตที่มันไปเกาะเกี่ยว ไปยึดถือ เรียกว่า จิตเป็นกิเลส กิเลสมันออกไปจากอันนี้ ถ้ามันอยู่ในที่เดียวไม่มีกิเลส

รู้เรื่องอย่างนี้แล้ว ทีนี้มันก็สนุกในการดูกิเลส สนุกดูจิตที่เป็นกิเลส มันจะเป็นกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสขนาดไหนก็รู้หมด มันรู้เท่ารู้ทันทุกขณะทุกเวลาเลย ผู้ที่สังวรอย่างนี้ เรียกว่า สติ ตามเห็น จิต หรือ จิต ตามเห็น จิต คือว่า จิตมันช้า ตามทัน ถ้าไม่เข้าถึงตรงนั้นแล้ว เราจะวิ่งตามตะครุบจิตให้มันอยู่ ให้มันทันจิต ก็แล้วเท่านั้น เหมือนกันกับเราวิ่งตามเงา วิ่งไปเถิดวิ่งเท่าไรก็วิ่งไป วิ่งจนเหน็ดเนื่อย จนขาอ่อน มันก็ไม่ทันสักที วิ่งตามเงาเป็นอย่างนี้

ถ้าหากเราหยุดเสีย เงาก็หยุดอยู่กับตัวของเรา ต่อไปจากปลายเท้าของเรานั่นแหละ เงาไม่ได้ไปอื่นไกล เราอยู่ตรงไหน มันก็อยู่ตรงนั้น จิตถ้าหากไม่วิ่ง มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ ทีนี้เราไปวิ่งตะครุบจิต อยากจะได้จิต เห็นว่าจิตมันวิ่งก็วิ่งตามจิต ก็เหมือนกันกับตะครุบเงา ไม่มีทางที่จะตามจิตได้ ถ้าเราหยุด (คิด) จิตมันก็อยู่ที่เดิม มันก็รู้เท่า นิ่งอยู่เฉยๆ เงาก็จะไม่ปรากฏ ไม่มีตัวไม่มีตนเลย สักแต่ว่าเป็นเงา ถ้าหากเรางอกแงก หรือติง (ขยับ) ด้วยประการต่างๆ เงาจะปรากฏงอกแงกขึ้นมาได้ เงาจะปรากฏมีอาการกิริยาด้วยประการต่างๆ ขึ้นมา เพราะตัวของเรา

จิต ถ้าหากนิ่งแล้วก็ไม่มีอะไร อาการที่จิตคิดนึกออกไปจากการเป็นหนึ่งนั้น เรียกว่าอาการของจิต อาการของจิตนั้น เป็นกิเลส ถ้าหากไปหลงไปเมาตามอาการของที่ออกไป อันนั้น เรียกว่า กิเลส

ถ้าหากเราหัดให้ชำนิชำนาญ คือเห็นโทษในการที่มันวิ่งออกไป มันไปยึดไปถือ มันมัวเมาด้วยประการต่างๆ มันหลงด้วยประการต่างๆ แล้ว เราเข้าใจชัดตามเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายนั้น ทีนี้ถึงแม้จะมีอาการ มันก็ไม่ถึงกับไปยึดถือ ไปหลงไปมัวเมา ก็เป็นสักแต่ว่าอาการ เรามาหัดให้ชำนิชำนาญเสียก่อน แล้วจึงค่อยติดอย่างนั้นเป็นนิสัย ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตายอย่างนี้

เพราะฉะนั้นผู้ซึ่งต้องการอยากจะหัดจิต คือ หัดทำจิตของตนให้เป็นผู้ไม่ประมาท อันเป็นทางแห่งความไม่ตาย จงอย่าไปทอดธุระปล่อยวางจิต ให้ยึดจิตตรงนี้แหละ

คำว่า “ไม่ให้ปล่อยวาง” คือ ไม่ให้ทอดธุระ เอาเฉพาะเรื่องจิตตรงนี้ ไม่ให้เผลอ อย่าไปเอาที่อื่น ครั้นถ้าเอาแต่จิตในเฉพาะที่นี้แล้ว (จิตเป็นหนึ่ง) มันเป็นการปล่อยวางสิ่งอื่นเอง สิ่งอื่นนอกจากจิต มันก็ปล่อยวางหมด ไม่ไปยึด มันจึงเข้าถึงความสงบ

เมื่อเข้าถึงความสงบแล้ว จึงจะเห็นตัวจิตชัดเจน อันนั้นจึงจะเข้าถึงความไม่ประมาท หนทางที่เป็นไปเพื่อความไม่แตกไม่ดับ มันอยู่ตรงนี้

...จนกระทั่ง เรามีสติตั้งมั่น พิจารณากัมมัฎฐานของตน คือ พิจารณาลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อยู่อย่างติดต่อ จนมันปล่อยวางลงได้ ลมหายใจก็ไม่พิจารณา จิตเข้าไปสงบ เป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ สงบอยู่ในที่เดียว ขณะที่มองดูความสงบอยู่ มันอาจจะแว๊บออกไปด้วยประการต่างๆ จิตจะไปในที่ใดๆ เราก็เห็นชัดอยู่ทุกเมื่อทุกขณะ อันนั้นเรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทโดยสมบูรณ์ อันนั้นแหละ ได้ชื่อว่า หนทางแห่งความไม่ตาย

หากผู้ใดคอยประคองจิตอันนั้นให้ติดต่อไว้ได้ รักษาคุณงามความดีอันนั้นไว้ได้ตลอดกาลเวลา ถึงคราวสังขารร่างกาย แตกดับสลายลงไป จิตตรงนั้นจะไม่ได้ไปเกิด-ดับในที่ใดๆ จิตอันนั้นจะไม่มีภพชาติ อย่างนั้นจึงจะเป็นผู้มีชื่อว่าไม่ตาย เรียก อมตํ ปทํ เป็นทางแห่งความไม่ตาย

...ความประมาทของเรามันน้อยลงไปแล้ว หรือยังมากอยู่ ถ้ามีความประมาทมาก เราก็พยายามชำระสะสาง บรรเทาความประมาทอันนั้น ให้มันค่อยน้อยลงไป จนกระทั่งความไม่ประมาทมันมากขึ้นๆ จนกระทั่งยังเหลือแต่ความไม่ประมาท โดยบริสุทธิ์หมดจด ตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในที่เดียว มีความรู้รอบคอบ รู้ขณะจิตของเราอยู่ทุกขณะ มีความผ่องใสเบิกบานอยู่ตลอดเวลา อันนั้นจึงจะได้ชื่อว่า อมตํ ปทํ เป็นหนทางแห่งความไม่ตาย

อธิบายมาในวันนี้ เอาเพียงเท่านี้ เอวํ ฯ

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แก้ไขล่าสุดโดย หนวดเต่า เมื่อ 04 ต.ค. 2010, 16:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร