วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 22:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16690

๓. ทุสสเจดีย์ เจดียสถาน ณ พรหมโลก ซึ่งฆฏิการพรหมหรือพระพรหมผู้นำสมณบริขารมีบาตรและจีวร เป็นต้น มาถวายแด่พระโพธิสัตว์เมื่อคราวออกบรรพชา และนำพระภูษาเครื่องทรงในฆราวาสที่พระโพธิสัตว์ สละออกเปลี่ยนมาทรงจีวร นำไปประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์ ครั้นพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้ว พระรากขวัญเบื้องซ้ายกับพระอุณหิส (มงกุฎจากเครื่องอาภรณ์มหาลดาปสาธน์ที่นางมัลลิกาทูลอัญเชิญสวมพระพุทธสรีระศพ) ถูกนำไปประดิษฐานอยู่ในทุสสเจดีย์ ณ พรหมโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2009, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dharma-gateway.com/buddha/bu ... phy-13.htm

พุทธประวัติทัศนศึกษา ๑๓

พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)



ตอนที่ ๗๖

นางมัลลิกาถวายเครื่องมหาลดาประสาธน์

ขณะนั้น นางมัลลิกาผู้เป็นภรรยาของท่านพันธุละเสนาบดี ซึ่งมีนิเวศน์อยู่ในนครนั้น ครั้นได้ทราบว่า ขบวนอัญเชิญพระพุทธสรีระศพจะผ่านมาทางนั้น นางก็มีความยินดีที่จะได้อัญชลีอภิวาทเป็นครั้งสุดท้าย นางจึงดำริด้วยความเลื่อมใสว่า

“นับตั้งแต่ท่านพันธุละล่วงลับไปแล้ว เครื่องประดับอันมีชื่อว่า มหาลดาประสาธน์ เราก็มิได้ตกแต่งคงเก็บรักษาไว้เป็นอันดี ควรจะถวายเป็นอาภรณ์ประดับพระพุทธสรีระพระชินศรีในอวสานกาลบัดนี้เถิด

อันเครื่องอาภรณ์มหาลดาประสาธน์นี้งามวิจิตร มีค่ามากถึง ๙๐ ล้าน เพราะประกอบด้วยรัตนะ ๗ ประการ ในสมัยนั้นมีอยู่เพียง ๓ เครื่อง คือ ของนางวิสาขา ๑ ของนางมัลลิกาภรรยาของท่านพันธุละ ๑ ของเศรษฐีธิดาภรรยาท่านเทวปานิยสาระ ๑ ซึ่งเป็นอาภรณ์ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นของสำหรับผู้มีบุญ

ครั้นเมื่อขบวนอัญเชิญพระพุทธสรีระศพ ผ่านมาถึงหน้าบ้านนางมัลลิกา
นางจึงได้ขอร้องแสดงความประสงค์จะบูชาด้วยอาภรณ์มหาลดาประสาธน์ มหาชนผู้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพ ก็วางเตียงมาลาอาสน์ ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระลง

ให้นางมัลลิกาถวายอภิวาท เชิญเครื่องมหาลดาประสาธน์มาสวมพระพุทธสรีระศพ เป็นเครื่องบูชา ขณะนั้นพระพุทธสรีระศพก็งามโอภาสเป็นที่เจริญตาเจริญใจ
ปรากฏแก่มหาชนทั้งหลาย ต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการเป็นอันมาก แล้วมหาชนก็อัญเชิญพระพุทธสรีระศพเคลื่อนจากที่นั้น ออกจากประตูเมืองบูรพทิศ ไปสู่มกุฏพันธนเจดีย์

ครั้นถึงยังที่จิตรกาธาร อันสำเร็จด้วยไม้จันทน์หอม งามวิจิตรซึ่งได้จัดทำไว้ ก็จัดการห่อพระพุทธสรีระศพด้วยทุกุลพัสตร์ภูษา ๕๐๐ ชั้น แล้วก็อัญเชิญลงประดิษฐานในหีบทอง ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมันหอมตามคำพระอานนท์เถระแจ้งสิ้นทุกประการ


...
...แซ่ซ้องสาธุการเป็นอันมาก :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มา

[url]http://www.nhongsang.com/forum/index.php?topic=32.30
[/url]

อ้างคำพูด:
หลังจากได้ทำพิธีสักการะบูชาพระบรมศพครบ 7 วัน...มัลลกษัตริย์และเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย..จึงเตรียมอัญเชิญพระพุทธ สรีระไปถวายพระเพลิง..

โดยในตอนแรก..หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..จะอัญเชิญพระสรีระไปทางทิศใต้ของพระนคร...เพื่อถวาย พระเพลิงยังภายนอกพระนคร...

แต่ก็ไม่สามารถจะอัญเชิญไปได้..เพราะเกิดเหตุมหัศจรรย์..ยกพระศพไม่ขึ้น..

จึง ได้ไปเรียนถามพระอนุรุทธเถระ..ซึ่งมีทิพพจักขุญาณ..ซึ่งพระอนุรุทธเถระก็บอก ถึงเหตุผลว่า..เป็นเพราะทำไม่ต้องประสงค์ของเหล่าเทวดา...เทวดาจึงไม่ยอมให้ พระพุทธสรีระเขยื้อนเคลื่อนจากที่...

ซึ่งเหล่าเทวดามีความประสงค์ ให้..อัญเชิญพระสรีระเข้าพระนครก่อน...โดยเข้าทางประตูทางทิศเหนือ..เพื่อ อัญเชิญผ่านไปสู่ใจกลางพระนคร..แล้วค่อยออกจากพระนคร..ไปทางทิศตะวันออก ..เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานถวายพระเพลิงที่ "มกุฎพันธนเจดีย์" ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกแห่งเมืองกุสินารานคร...

หลังจากได้ ทราบความประสงค์ของเหล่าเทวดาแล้ว..ก็จัดการอัญเชิญเคลื่อนย้ายพระสรีระไป ตามทิศทางตามประสงค์ของเทวดา..ซึ่งได้อัญเชิญพระศพขึ้นประดิษฐานบนเตียงมาลา อาสน์...ซึ่งตกแต่งด้วยอาภรณ์อันวิจิตร

...แล้วเคลื่อนขบวนอัญเชิญ ไปเข้าประตูทางทิศเหนือเข้าสู่ใจกลางของพระนคร...เหล่าประชาชนต่างพากันมา สโมสรเข้าขบวนแห่ตามพระศพสุดประมาณ...เสียงดุริยางค์ดนตรีแซ่ประสานกับ เสียงมหาชน...ดังสนั่นลั่นโกลาหลเป็นมหัศจรรย์..

ทั้งดอกมณฑารพอันเป็นดอกไม้ทิพย์ในสรวงสวรรค์...ก็ล่วงหล่นลงมาสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า...

ขบวน มหาชนอัญเชิญศพได้ผ่านไปในวิถีทางท่ามกลางพระนครกุสินารา...ประชาชนทุกถ้วน หน้าต่างพากันสักการะบูชาทั่วทุกสถาน...ตลอดทางที่ศพจะแห่ผ่านไปตามลำดับ...

ขณะนั้น..นางมัลลิกา..ผู้เป็นภรรยาของท่านพันธุละเสนาบดี..ซึ่งมี นิเวศน์อยู่ในนครนั้น...ครั้นได้ทราบว่า...ขบวนอัญเชิญพระศพจะผ่านทาง นั้น...

นางก็มีความยินดี...ที่จะได้อัญชลีอภิวาทเป็นครั้งสุดท้าย...นางจึงดำริด้วยความเลื่อมใสว่า...

"นับ ตั้งแต่ท่านพันธุละล่วงลับไปแล้ว..เครื่องประดับอันมีชื่อว่า..."มหาลดา ประสาธน์"... เราก็มิได้ตกแต่ง...คงเก็บรักษาไว้เป็นอันดี..ควรจะถวายเป็นอาภรณ์ประดับพระ พุทธสรีระพระชินสีห์ในอวสานกาลบัดนี้เถิด.."

อันเครื่องอาภรณ์ "มหาลดาประสาธน์" นี้..งามวิจิตรและมีค่ามาก..เพราะประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ (นางวิสาขาก็มีเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์นี้เช่นกัน..ซึ่งถือว่าเป็น อาภรณ์ของผู้มีบุญ)

...ครั้นเมื่อขบวนอัญเชิญพระศพผ่านมาถึงหน้าบ้านนางมัลลิกา...นางจึงได้ขอร้องแสดงความประสงค์จะบูชาด้วยอาภรณ์มหาลดาประสาธน์นี้

...มหาชน ผู้อัญเชิญพระพุทธสรีระศพก็วางเตียงมาลาอาสน์...ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระลง ...ให้นางมัลลิกาถวายอภิวาท...เชิญเครื่องมหาลดาประสาธน์สวมพระพุทธสรีระ ..เป็นเครื่องสักการะบูชา..ซึ่งห่มได้พอดีกับพระสรีระของพระพุทธเจ้า..จึง นับได้ว่า..นางมัลลิกา..มีความสูงและลักษณะที่เหมือนกับพระทธเจ้า..ซึ่งมี ไม่กี่คนที่จะทำอย่างนี้ได้..

ขณะนั้นพระพุทธสรีระก็งามโอภาส..เป็นที่เจริญตาเจริญใจ...ปรากฎแก่มหาชนทั้งหลาย และต่างพากันแซ่ซ้องสาธุการเป็นอันมาก

แล้วมหาชนก็อัญเชิญพระศพเคลื่อนจากที่นั้น.. ออกจากประตูเมืองด้านทิศตะวันออก.. ไปสู่.."มกุฏพันธนเจดีย์"

...ครั้นถึงยังที่จิตรกาธาร..อันสำเร็จด้วยไม้จันทน์หอมงามวิจิตร...ซึ่งได้จัดทำไว้แล้ว

ก็ จัดการพันพระศพ...ด้วยผ้าขาวซับด้วยสำลี..แล้วห่อด้วยผ้าขาว 500 คู่...แล้วก็อัญเชิญลงประดิษฐานในรางเหล็ก...(เราจึงถือเป็นคติ..การใส่โลง ..ซึ่งเดิมเป็นรางเหล็ก..ไม่ใช่รางไม้)...ซึ่งเต็มด้วยน้ำมันหอม...ตามคำพระ อานนท์แจ้งไว้ทุกประการ

ครั้นเรียบร้อยแล้ว...ก็อัญเชิญพระพุทธ สรีระนั้นขึ้นประดิษฐานบนจิตรกาธาร...ทำสักการะบูชา แล้วก็นำเพลิงเข้าจุด..เพื่อถวายพระเพลิง...แต่เพลิงก็ไม่ติดตามประสงค์ ...แม้จะพยายามจุดเท่าไหร่..ก็ไม่บรรลุผล..

พระอนุรุทธเถระ..ซึ่ง ทราบวาระจิตของเหล่าเทวดาทั้งหลาย..ก็บอกว่า..เทวดาทั้งหลายยังไม่ประสงค์ ให้ถวายพระเพลิง...เพราะต้องการรอให้พระมหากัสสปเถระมาถึงเสียก่อน..

เวลานั้นพระมหากัสสปเถระเจ้า..พาพระภิกษุสงฆ์ 500 รูปเดินทางจากเมืองปาวา..ไปเมืองกุสินารา..เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

แต่ ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน..แสงแดดกล้า..พระเถระเจ้าจึงพาพระภิกษุสงฆ์เข้า หยุดพักร่มไม้ริมทาง..ด้วยดำริว่าต่อเพลาตะวันเย็น..จึงจะเดินทางต่อไป

ครั้นพระเถระเจ้าพักพอหายเหนื่อย..ก็เห็นอาชีวกผู้หนึ่ง..เดินถือดอกมณฑารพกั้นศีรษะต่างร่มมาตามทาง..(แสดงว่าดอกไม้สวรรค์ใหญ่โตมาก)

ก็นึกฉงนใจ..ด้วยดอกมณฑารพนี้..หามีในมนุษย์โลกไม่..เป็นของทิพย์ในสุราลัยเทวโลก
จะไม่อุบัติในเมืองมนุษย์โดยไม่มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า..คือ

..เวลาพระบรมโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์
..เวลาประสูติ
..เวลาตรัสรู้
..เวลาแสดงธรรมจักร
..เวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์
..เวลาเสด็จลงจากเทวโลก
..เวลาปลงอายุสังขาร
..และเวลาพระสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เท่านั้น

ซึ่งทั้งหมดก็เกิดขึ้นหมดแล้ว..เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือปรินิพพาน..

จึง ทำให้พระมหากัสสปเถระเจ้าปริวิตกถึงพระบรมศาสดาว่า...ไฉนกาลบัดนี้..จึงเกิด มีดอกมณฑาอีกเล่า..หรือพระบรมศาสดา..จักเสด็จปรินิพพานแล้ว...

..นึกสงสัยดังนั้น..จึงได้ลุกเข้าไปถามอาชีวกผู้นั้นว่า..

"ดูกร..อาชีวก..ท่านมาแต่ที่ใด"...

"เมืองกุสินารา..พระผู้เป็นเจ้า"...

"ท่านยังได้ทราบข่าวคราวพระบรมครูของเราบ้างหรือ..อาชีวก" ...พระเถระเจ้าถามสืบไป

"พระสมณโคดม..ครูของท่านนิพพานเสียแล้วได้ 7 วัน..ถึงวันนี้" ...และอาชีวกกล่าวต่อไปว่า..

"ดอกมณฑารพนี้..เราก็ได้มาแต่เมืองกุสินารา..เนื่องในการนิพพาน..ของพระมหาสมณะโคดมพระองค์นั้น"...

เมื่อ ภิกษุทั้งหลาย..ที่เป็นปุถุชน..ได้ฟังถ้อยคำของอาชีวกบอกเช่นนั้น..ต่างก็ ตกใจและพากันร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง..

ส่วนฝ่ายพระสงฆ์ที่เป็นพระขีณาสพ (พระอรหันต์)..ก็เกิดธรรมสังเวชสลดจิต.."สังขารทั้งหลาย...ไม่เที่ยงหนอ"...

เวลา นั้น..มีภิกษุรูปหนึ่งบวชเมื่อแก่ที่เป็นปุถุชน..ชื่อ..สุภัททะ..เป็นวุฑฒะ บรรพชิตมีจิตดื้อด้าน..ด้วยสันดาลพาลชน..เป็นอลัชชีมืดมน..ย่อหย่อนในธรรม วินัย..ลุกขึ้นกล่าวห้ามภิกษุทั้งหลายว่า..

"ท่านทั้งปวง..อย่าร้องไห้ร่ำไรไปเลย..บัดนี้..เราพ้นอำนาจพระมหาสมณะแล้ว..

เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่..ย่อมจู้จี้..เบียดเบียนบังคับบัญชาห้ามปรามเราต่าง ๆ นานา..ว่าสิ่งนี้ควร..สิ่งนี้ไม่ควร

บัดนี้..พระองค์ปรินิพพานไปก็ดีแล้ว..เราปรารถนาจะทำสิ่งใด..ก็จะทำได้ตามใจชอบ..ไม่มีใครบังคับบัญชา..ห้ามปรามแล้ว"

พระมหากัสสปเถระเจ้า..ได้ฟังคำของพระสุภัททะ..กล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดาเช่นนั้น..ก็สลดใจยิ่งขึ้น.. และดำริว่า..

"ดู เถิด..พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปเพียง 7 วัน เท่านั้น..ก็ยังเกิดมีอลัชชี..มิจฉาจิต..คิดลามกเป็นได้ถึงเช่นนี้..ต่อไป เมื่อภายหน้าจะหาผู้คารวะในพระธรรมวินัยไม่ได้..หากไม่คิดหาอุบายแก้ไข ป้องกันให้ทันท่วงทีเสียแต่แรก..

เราจะพยายามทำสังคายนา..ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จงได้" ..

ดังที่พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า..

"ดูก่อน..อานนท์..ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว..บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย..

"ธรรมและวินัย"..นั้น..จักเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย.. เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว."

(ซึ่ง ต่อมา..พระกัสสปเถระ..ก็เป็นองค์ประธานสังคายนาครั้งแรก..ณ.ถ้ำสัตตบรรณคูหา ..ซึ่งถือเป็นสถานที่สังคายนาครั้งแรก..เดี่ยวจะมาอธิบายรายละเอียดให้ฟัง ภายหลัง)...

หลังจากพระเถระเจ้า..ทำไว้ในใจเช่นนั้นแล้ว..ก็กล่าว ธรรมกถา..เล้าโลมภิกษุสงฆ์ทั้งหลายให้ระงับดับความโศกแล้ว..รีบพาพระสงฆ์ บริวารเดิน ทางไปยังนครกุสินารา..ตรงไปยัง "มกุฏพันธนเจดีย์"....

ครั้น ถึงยังพระจิตรกาธาร..ที่ประดิษฐานพระพุทธสรีระศพพระบรมศาสดาแล้ว..ก็ทำจีวร เฉวียงบ่า..ประคองอัญชลี..กระทำประทักษิณเวียนพระจิตรกาธารสามรอบแล้ว..

เข้าสู่ทิศเบื้องพระยุคลบาท..น้อมถวายอภิวาทแล้วตั้งอธิษฐานจิตว่า..

"ขอ ให้พระบรมบาททั้งคู่ของสมเด็จพระบรมครู..ผู้ทรงพระเมตตาเสด็จไปประทาน อุปสมบทแก่ข้าพระพุทธเจ้า..ผู้มีนามว่ากัสสปะ..ณ ร่มไม้พหุปุตตนิโครธ

ทั้งยังทรงพระมหากรุณา..โปรดประทานมหาบังสุกุลจีวรส่วนพระองค์ให้ข้าพระองค์ได้ร่วมพระพุทธบริโภคโดยเฉพาะ..

จงออกมา..รับอภิวาทแห่งข้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ..ซึ่งตั้งใจมาน้อมถวายคารวะ ณ กาลบัดนี้เถิด"

ขณะ นั้น..พระบรมบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า..ได้แสดงอาการประหนึ่งว่า ..พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่..ได้ทำลายคู่ผ้าที่ห่อหุ้มอยู่ทั้ง 500 ชั้น..กับทั้งรางเหล็กออกมาปรากฎในภายนอก...ในลำดับแห่งคำอธิษฐานของพระมหา กัสสปะเถระเจ้า..พุทธบริษัททั้งปวง..เห็นเป็นอัศจรรรย์พร้อมกัน

ทัน ใดนั้น..พระมหากัสสปะเถระ..ก็ยกมือขึ้นประคองรองรับพระยุคลบาทของพระบรม ศาสดาขึ้นชูเชิดเทิดทูลไว้บนศีรษะ..แล้วก็กราบทูลขออภัยโทษว่า..

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า..ข้าพระองค์มิได้อยู่ปฏิบัติพระองค์..ไปอยู่เสียในเสนาสนะป่าอรัญญิกาวาส..

แม้ พระองค์จะทรงพระกรุณาประทานโอกาสว่า.."กัสสปะ..ชราแล้ว..ทรงบังสุกุลจีวร เนื้อหนา..พานจะหนัก..จะทรงคหบดีจีวรอันทายกถวายบ้าง..ก็ตามอัธยาศัย.. จงอยู่ในสำนักตถาคต"..

แม้จะทรงพระมหากรุณาถึงเพียงนี้..กัสสปะก็มิ ได้อนุวัตรตามพระมหากรุณา..ได้ประมาทพลาดพลั้งถึงดังนี้..ขอภควันตะมุนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดอดโทษานุโทษแก่ข้าพระองค์..อันมีนามว่า "กัสสปะ" ณ กาลบัดนี้"

ครั้นพระมหากัสสปะ กับพระสงฆ์บริวารทั้ง 500 และมหาชนทั้งหลายกราบนมัสการพระบรมยุคลบาทโดยควรแล้ว..

พระ บาททั้งสอง..ก็ถอยถดหดหายจากหัตถ์พระมหากัสสปะ..นิวัตตนาการคืนเข้าดังเก่า ..ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตั้งอยู่เป็นปกติ มิได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจากที่แต่ประการใด..เป็นมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ อีกวาระหนึ่ง..

พอพระมหากัสสปะ..ถวายบังคมพระบรมศพแล้วเท่านั้น ..ก็มีเปลวไฟออกมาจากทิศทั้ง 4 ด้วยอานุภาพของเหล่าเทวดา..พุ่งเข้าสู่รางเหล็ก..สู่พระสรีระของพระพุทธเจ้า ..ซึ่งพอพุ่งใส่ได้พอสมควร..ก็มีธารน้ำพุ่งออกมาจากอากาศเพื่อดับเช่นกัน..

เป็นที่น่าอัศจรรย์ของเหล่าพุทธบริษัททั้งปวงที่อยู่ ณ.สถานที่นั้นกันเป็นจำนวนมาก..

กาลในครั้งนั้น..ตรงกับวันแรม 8 ค่ำเดือน 6 หลังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว 8 วัน

ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง..เรียกว่า.. "วันอัฏฐมีบูชา"



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 464

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระมหากัสสปเถระเจ้า..ได้ฟังคำของพระสุภัททะ..กล่าวคำจ้วงจาบพระบรมศาสดาเช่นนั้น..ก็สลดใจยิ่งขึ้น.. และดำริว่า..

"ดู เถิด..พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานไปเพียง 7 วัน เท่านั้น..ก็ยังเกิดมีอลัชชี..มิจฉาจิต..คิดลามกเป็นได้ถึงเช่นนี้..ต่อไป เมื่อภายหน้าจะหาผู้คารวะในพระธรรมวินัยไม่ได้..หากไม่คิดหาอุบายแก้ไข ป้องกันให้ทันท่วงทีเสียแต่แรก..

เราจะพยายามทำสังคายนา..ยกพระธรรมวินัยขึ้นไว้เป็นที่เคารพแทนองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จงได้" ..

ดังที่พระพุทธองค์ทรงเคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า..

"ดูก่อน..อานนท์..ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว..บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย..

"ธรรมและวินัย"..นั้น..จักเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย.. เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร